ศพ – ตอนที่ 98 เห็นสัญลักษณ์อีกครั้ง

ตอนที่ 98 เห็นสัญลักษณ์อีกครั้ง

ฉากนี้ทำให้ผมตกใจทันที เพราะตอนนี้ตัวผมก็ถูกยัยผีที่อ่อนแอจับเอาไว้เรียบร้อย

แต่เหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน จึงทำให้พวกเรารับมือกันไม่ทัน

นี่ยังไม่ถือว่าแปลกอะไร เพราะสิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ ทำไมยัยผีนี้ถึงมีตาที่สามละ

แต่ตอนนี้ผมจะมัวมาคิดมากไม่ได้ เมื่อเห็นปากนั้นกำลังเข้ามากัด ผมก็ใช้มือสองข้างดัน หัวของอีกฝ่ายเอาไว้ทันที

แต่ยัยผีนี้แรงเยอะโครตๆ ช่วงเวลานั้นผมจึงผลักหัวเธออย่างยากลำบาก

นอกจากนี้ในปากของยัยผีนี้ ยังพ่นลมหายใจออกมาไม่หยุด ผมหนาวสั่น ราวกับตัวกำลังจะแข็ง

 

เมื่อหานเฉ่งเฟิงและหยางเฉ่วเห็นสิ่งนี้ ก็หน้าซีดทันที

ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะกลายเป็นแบบนี้ แต่เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆอาการตกใจนั้นก็หายไป ทันใดนั้น

หยางเฉ่วก็พุ่งเข้ามา

เธอใช้เท้าถีบไปที่หัวผีผู้หญิงอย่างแรง “ ไสหัวออกไป ! ”

ยัยผีนั้นร้อง “ โอ๊ย ” ออกมาทันที ขณะเดียวกันหัวของเธอเพียงโยกออกไป แต่ร่างของเธอยังกดทับตัวผมเอาไว้แน่นเหมือนเดิม

แต่วินาทีที่เธอหันหน้าออกไป ผมกลับมองเห็นคอของผีผู้หญิงอย่างชัดเจน

มันไม่ใช่เพราะคอของเธอดูน่าหลงไหลมาก แต่ตอนที่ผมเห็นคอของยัยผีนี้ ผมก็รู้สึกเหมือนจะเห็นสัญลักษณ์ผีสามตาแยกเขี้ยวทำหน้าเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มอยู่

 

เมื่อกี้แค่สงสัย ว่าผียัยนี้อาจเกี่ยวข้องกับองค์กรลึกลับนั้น

แต่ตอนนี้ เมื่อผมได้เห็นสัญลักษณ์นี้บนร่างของเธอ

ผมก็มั่นใจได้ทันที ยัยผีนี่ไม่ใช่วิญญาณธรรมดาๆ เธอจะต้องไม่ได้ตายโหงแบบทั่วๆไปแน่

หลังจากเห็นสิ่งนี้ ผมก็มั่นใจว่าเธอจะต้องเกี่ยวข้องกับองค์กรลึกลับนั่นแน่ๆ

ขณะที่ผมกำลังตกตะลึง หยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ตะโกนด้วยความตกใจ “ ผีสามตา ! ”

ในเวลาเดียวกัน หานเฉ่วเฟิงที่อยู่หน้าห้องกลับโมโห “ นังผีชั่วสมควรตาย ฉันจะทำให้แกได้เห็นดี ! ”

ขณะที่พูด หานเฉ่วเฟิงก็ยกตุ๊กตาตัวนั้นขึ้นมา กระชากอย่างแรง ทันใดนั้นมันก็ขาดออกเป็นสองท่อนทันที

 

ส่วนผีผู้หญิงที่อยู่บนตัวผม วินาทีนั้นเธอก็กรีดร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือด เห็นได้ชัดว่าเธอเจ็บปวดมาก จากนั้นตัวเธอก็เริ่มสั่น

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ออกแรง ใช้มือผลักตัวเธอออกไป

เมื่อหยางเฉ่วเห็นสถานการณ์เปลี่ยนไป ก็ใช้เท้าถีบเธออีกครั้ง

ครั้งนี้ยัยผีนั้นไม่สามารถต้านทานได้ ตัวเธอล้มกลิ้งลงไปกับพื้นทันที

จากนั้นผมก็รีบลุกขึ้น หยิบยันต์ออกมา และเข้าไปทำร้ายผีผู้หญิงซ้ำทันที

แต่หยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆกลับดึงตัวผมเอาไว้ “ ยัยผีนี้มีความลับเยอะมาก จะให้เธอตายไม่ได้ ติงฝาน

เฟิงเฉ่วหานพวกนายสองคนไปจับตัวเธอเอาไว้ ฉันจะทำลายพลังชั่วในร่างเธอก่อน แล้วหลังจากที่เธอฟื้นตัวกลับมาค่อยมาคุยกันใหม่ ! ”

 

หลังจากพูดจบ เธอไม่รอให้ผมและหานเฉ่วเฟิงตอบกลับ หยางเฉ่วหยิบยันต์ออกมา จากนั้นเธอก็กัดนิ้วโป้งของตัวเอง นำไปเขียนลงในยันต์แผ่นนั้นทันที

ถึงผมจะไม่รู้ว่าหยางเฉ่วรู้จักสัญลักษณ์ผีสามตานั้นได้ยังไง แต่ตอนนี้ ผมก็ไม่คิดจะทำให้ผีตัวนี้ตายเช่นกัน

เพราะไม่ง่ายเลยกว่าที่จะเจอผีที่มีสัญลักษณ์ผีสามตา และยังเป็นวิญญาณที่พูดได้ด้วย

ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากได้ข้อมูลที่ลึกลับขององค์กรนั้นจากอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด

แต่หานเฉ่วเฟิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดกับหยางเฉ่วว่า “ ฉันชื่อหานเฉ่วเฟิง ! ”

หลังจากพูดจบ เขาก็ตรงเข้ามาหาผีผู้หญิงทันที

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็รีบตามเข้าไปหา ยัยผีสาวอย่างรวดเร็ว

 

เพราะตุ๊กตาของยัยผีนั้นถูกทำลาย ตอนนี้เธอจึงแทบไม่มีพลังต่อสู้ และไม่มีแม้แต่แรงต่อต้าน

ดังนั้นผมและหานเฉ่วเฟิงจึงสามารถกดตัวเธอเอาไว้ แล้วจับมือยัยผีไว้ได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จับตัวเธอกดเอาไว้กับผนัง

ในเวลานี้ หยางเฉ่วเองก็เตรียมอาวุธเสร็จแล้ว

เธอถือยันต์เลือดแผ่นนั้น ตรงเข้ามาทันที

มองผีผู้หญิงที่กำลังดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง จากนั้นหยางเฉ่วก็พูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ เจ็บหน่อยนะ แต่มันจะช่วยกำจัดพลังชั่วร้ายในร่างของเธอได้ ! ”

ยัยผีตัวนั้นสูญเสียสติปัญญาไปอย่างสมบูรณ์ เธอตะโกน “ โฮกโฮก ” ออกมาอย่างต่อเนื่อง มาถึงตรงนี้เธอก็ยังคิดจะต่อต้าน

 

ตอนนี้ตุ๊กตานั้นก็ได้ถูกทำลายไปแล้ว ถึงจะมาดิ้นรนตอนนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

หยางเฉ่วไม่ลังเลเลยสักนิด เธอยกยันต์ขึ้น เล็งไปที่หน้าอกของผีผู้หญิง และลงมือแปะยันต์ลงไปทันที

“ แปะ ” ยันต์แผ่นนั้นถูกแปะลงไปที่หน้าอกของผีผู้หญิงเรียบร้อย

จากนั้น หยางเฉ่วก็ใช้มือทั้งสองข้างเสกคาถา

ผ่านไปไม่กี่วินาทีเธอก็ตะโกนออกมาว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี้ยง ! ”

เสียงพึ่งจางหาย ยันต์แผ่นนั้นก็ระเบิดดัง “ ปัง ” จากนั้นพลังแปลกๆของคาถาก็เริ่มทำงาน ที่จริงมันไม่ได้กลืนหายเข้าไปในร่างของผี

 

ส่วนยัยผีนั้น กลับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ดิ้นทุรนทุรายไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังทรมานมาก

“ อร๊าย ! อร๊าย ! เจ็บ เจ็บเหลือเกิน…… ”

เมื่อหยางเฉ่วเห็นท่าทางแบบนั้น ก็ส่งสัญญาณให้พวกเราปล่อยมือ

ผมและหานเฉ่วเฟิงเองก็ไม่อยากอยู่ตรงนั้นต่อ หลังจากปล่อยมือจากยัยผีเสร็จ พวกเราก็ถอยออกมาสองก้าว

ผีผู้หญิงดิ้นไปดิ้นมากับพื้นไม่หยุด ดูท่าทางเธอจะเจ็บปวดมาก

แต่พวกเรากลับมองเห็นผ่านการเปิดตา ขณะที่เธอดิ้นไอสีดำก็ได้ไหลทะลักของมากจากตัวเธอเรื่อยๆ

และชุดสีเหลืองอ่อนของเธอ ก็เริ่มจางลง

 

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น เพราะพลังชั่วร้ายในร่างของเธอกำลังถูกขับออกมาอย่างต่อเนื่อง

ช่วงเวลานี้เมื่อเห็นเธอดิ้นไม่หยุด ผมก็พูดกับหยางเฉ่วว่า “ หยางเฉ่ว เธอรู้จักผีสามตาด้วยเหรอ ”

ทันใดนั้นเมื่อหยางเฉ่วได้ยินคำถามของผม เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองผมแวบหนึ่ง “ รู้นิดหน่อยนะ นายเองก็รู้จักเหรอ ”

ผมไม่ลังเล พยักหน้าเล็กน้อยทันที “ ฉันก็พึ่งรู้จักเมื่อเร็วๆนี้เอง แถมยังรู้แค่ว่ามันเกี่ยวกับองค์กรลับ สัญลักษณ์ของพวกเขาคือรูปผีสามตาที่ทำหน้าเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม งานศพเมื่อคืน ก็เจอสัญลักษณ์นี่บนตัวหมากินวิญญาณเหมือนกัน ! ”

 

หานเฉ่วเฟิงถูกบทสนทนาของพวกเราดึงดูด เขาเองก็ตั้งใจฟัง แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

เมื่อหยางเฉ่วฟังผมพูดจบ ก็พยักหน้าให้เล็กน้อย “ อือ ! ฉันเองก็รู้ไม่ค่อยเยอะหรอก รู้แค่ว่าพวกมันแบ่งเป็นห้าชนิดใหญ่ๆ คือคน วิญญาณ สัตว์ ศพ และปีศาจ ”

“ คน วิญญาณ สัตว์ ศพ และปีศาจ ” ผมไม่เข้าใจ

“ ใช่แล้ว ที่คางของสัญลักษณ์ทุกอัน จะมีอักษรณ์อยู่หนึ่งตัว เพื่อแสดงชนิดที่แตกต่างกัน ”

“ ยัยผีนี่น่าจะเป็นชนิดของวิญญาณ ! ส่วนเรื่องอื่น และเรื่องที่พวกเขาเป็นใครนั้น ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ” หยางเฉ่วพูด

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

เมื่อวานเห็นสัญลักษณ์ที่หมาเป็นคำว่า “ สัตว์ ” ถ้าเป็นอย่างที่พูด งั้นพลังที่ใช้ควบคุมเจ้าพวกนี้ก็ต้องมีเยอะมาก

ช่างเป็นเรื่องที่อยู่เหนือจินตนาการจริงๆ พลังชั่วร้ายขนาดนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไงกันแน่

ขณะที่ผมกำลังคิดในใจ หานเฉ่วเฟิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาหันมาถามผมว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่

ปกติเขาหลับลึกอยู่ในร่างของเฟิงเฉ่วหาน จึงไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นภายนอก

ดังนั้นผมจึงอธิบายให้เขาฟังสั้นๆ ว่าตอนแรกที่พวกเราเจอผีชั่วที่ป่าช้าเก่า บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับองค์กรที่ใช้สัญลักษณ์ผีสามตา

แน่นอน ว่าผมไม่ได้พูด เรื่องของมู่หลงเหยียนและโจวหยุน เลยแม้แต่น้อย

 

หลังจากหานเฉ่วเฟิงฟังจบ เขาก็แสดงท่าทางเงียบขรึม

เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด เบื้องหลังของมันมีความลับอยู่มากมาย แม้แต่ปีศาจที่มีพลังชั่วร้ายมหาศาลก็ยังมีอยู่บนโลก แถมพวกมันยังคอยทำเรื่องชั่วร้ายโดยที่ไม่มีใครรับรู้อีกด้วย

ขณะที่ผมกำลังสับสน จู่ๆผีผู้หญิงที่เคยทรมานอยู่นั้น ก็หยุดดิ้น

สีชุดของเธอได้กลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ พลังชั่วร้ายที่เคยอยู่ในร่างก็ได้สลายหายไป จนหมดแล้ว

ตาที่บนหน้าผากของเธอก็หายไปแล้ว และกลับมาสู่สภาพปกติอีกครั้ง

แต่ตอนนี้เหมือนเธอ กำลังอยู่ในอาการโคม่า นอนอยู่บนพื้นไม่ขยับตัวไปไหน

 

เมื่อหยางเฉ่วเห็นแบบนั้น ก็พูดออกมาทันที “ ฉันทำลายพลังชั่วร้ายให้เธอแล้ว ฉันคิดว่าตอนนี้เธอน่าจะได้สติกลับมาแล้ว พวกเราก็ถามเธอตรงๆ ! ยัยผีนี้ น่าจะมีข้อมูลที่พวกเราอยากจะรู้อยู่ ! ”

หลังจากพูดจบ หยางเฉ่วก็ยกมือขึ้นมาประสานกัน มองไปที่ผีตนนั้น และพูดว่า “ คลาย…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset