สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! – ตอนที่ 52 ออกจากวัง + ตอนที่ 53 ออกจากวัง (2)

ตอนที่ 52 ออกจากวัง
เสี่ยวมู่จื่อเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
ความจริงหากเป็นตำหนักอ๋องแห่งอื่นไม่มีข้อกำหนดเช่นนี้อยู่แล้ว แต่วังรุ่ยอ๋องกลับแตกต่างออกไป สาเหตุแสนง่ายดายนั่นคือทั่วราชวงศ์เทียนหยวนอาจพูดได้ว่ารุ่ยอ๋องเป็นบุคคลสำคัญที่รู้กันอย่างแพร่หลาย
เด็กน้อยอายุสามขวบจนถึงคนแก่อายุแปดสิบไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้เรื่องนี้!
ทว่าน่าเสียดายที่ทุกคนล้วนทราบดีถึงชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่รุ่ยอ๋อง ที่ทั้งโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี!
ดังนั้นแม้ตอนนี้รุ่ยอ๋องจะมีพระชนมพรรษาสิบแปดปี กลับไม่มีผู้ใดกล้าสอบถามเรื่องการอภิเษกสมรสพวกนั้น และไม่กล้าก้าวสู่ประตูวังของรุ่ยอ๋องแม้แต่ก้าวเดียว
ว่ากันจริงๆ แล้วชายหนุ่มที่สังหารคนโดยไม่กระพริบตาเช่นรุ่ยอ๋อง จะมีผู้ใดกล้าแต่งกับเขา!? ใครไม่อยากมีชีวิตกัน?
ทว่านอกจากเรื่องนี้แล้ว ความจริงยังมีอีกหนึ่งเหตุผล
นั่นคือรุ่ยอ๋องยังมีความลับอย่างหนึ่ง
แม้พูดว่าเป็นความลับ แต่ความจริงทุกคนรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เพียงแค่ไม่กล้าพูดส่งเดช ทว่าลับหลังยังแอบวิจารณ์เรื่องนี้กัน นั่นก็คือ…
ตอนเด็กรุ่ยอ๋องถูกพระมารดาแท้ๆ ทำร้าย ดังนั้นจึงทำให้เขามีนิสัยเย็นชา เอาแน่เอานอนไม่ได้ รวมถึงรังเกียจผู้หญิงเป็นพิเศษ!
หากเป็นผู้หญิงต้องเว้นระยะห่างออกไปห้าก้าว!
ดังนั้นภายในตำหนักอ๋องแห่งนี้ นอกจากเหล่าป้าๆ ในห้องครัว ก็ไม่มีสาวใช้สักคนเดียว!
เมื่อได้ยินเรื่องราวที่เสี่ยวมู่จื่อแอบบอกกับตนเอง เล่อเหยาเหยาจึงมีสีหน้าตกตะลึง
ที่แท้พญายมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นั้น ก็มีอดีตที่แสนเลวร้ายเหมือนกัน
เมื่อนึกถึงใบหน้าราวภูเขาน้ำแข็งนั้นอีกครั้ง แม้จะน่าหวาดกลัว ทว่าหล่อเหลางดงามอย่างยิ่ง ตอนนี้เด็กต้องหน้าตาน่ารักเป็นแน่ แต่ใครช่างใจแข็งทำร้ายเด็กที่อายุน้อยขนาดนั้นกัน? ทั้งยังเป็นพระมารดาอีก!?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความรู้สึกของเล่อเหยาเหยาที่มีต่อพญายม จากที่เคยหวาดกลัวค่อยๆ เห็นใจเขาขึ้นมา
ทว่าเล่อเหยาเหยาไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่น เพราะเมื่อรู้ว่าตนเองยังต้องที่นี่ต่อไปอีกสามปี คิดแล้วในใจเธอยิ่งหดหู่มากขึ้น
ทว่าเมื่อเธอหนีจากที่นี่ไม่พ้น ทำได้แค่ค่อยๆ หาเงินอยู่ที่นี่ รอให้เก็บเงินได้ครบแล้ว หลังครบสามปีจะสามารถไปจากที่นี่ ไปใช้ชีวิตที่ตนใฝ่ฝันไว้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เล่อเหยาเหยาที่ท้อแท้เศร้าใจ พลันรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา
อันที่จริงทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ เธอเป็นคนที่แม้ฟ้าจะถล่มลงมา สามารถมีความสุขท่ามกลางความทุกข์ได้
หลังจัดการอารมณ์ของตนเองได้แล้ว เล่อเหยาเหยาจึงกินอาหารต่อให้เสร็จ
แม้อาหารที่นี่จะไม่ดี แต่ร่างนี้กำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต มีกินถือว่าดีมากพอแล้ว
สุดท้ายโชคดีที่พ่อครัวลี่นึกถึงความกล้าหาญของเล่อเหยาเหยาเมื่อครู่ ตอนที่เล่อเหยาเหยาจะออกจากโรงอาหารได้แอบให้ไข่ไก่แก่เล่อเหยาเหยาและเสี่ยวมู่จื่อคนละหนึ่งฟอง
เมื่อเห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาจึงรับไว้อย่างเกรงใจ เพราะถึงอย่างไรร่างกายเล็กๆ ของเธอกำลังเจริญเติบโต จึงควรกินไข่ไก่ที่สุด
หลังขอบคุณพ่อครัวลี่ เล่อเหยาเหยาก็กลับไปทำงานที่เรือนหย่าเฟิง ส่วนเสี่ยวมู่จื่อช่วยงานที่ห้องครัว
แม้ตำหนักอ๋องแห่งนี้จะดูมีการคุ้มกันที่แน่นหนา ทว่าต่อมาเล่อเหยาเหยาจึงรู้ว่าทุกฝ่ายทุกแผนกในตำหนักอ๋องแห่งนี้ เพียงทำงานของตนเสร็จเรียบร้อย เวลาที่เหลือล้วนเป็นของตน
อีกทั้งยังสามารถออกนอกวังได้! ทว่าก่อนอื่นต้องได้รับอนุญาตจากหัวหน้าขันทีลี่และได้รับป้ายออกจากวัง จึงสามารถออกไปได้
ดังนั้นหลังได้รู้เรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาพลันทำความสะอาดตำหนักให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว จากนั้นไปหาเสี่ยวมู่จื่อที่ห้องครัว ที่ขณะนั้นกำลังเสร็จงานของตนพอดี ก่อนจะนั่งพูดคุยกับกับขันทีน้อยคนอื่นๆ อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่
“เสี่ยวมู่จื่อ เราออกไปเดินข้างนอกกันดีหรือไม่!?”
…………………………………………………………………..
ตอนที่ 53 ออกจากวัง (2)
หลังจับตัวเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาเอ่ยพูดขึ้นมา
“หา? ออกจากวัง?”
เมื่อได้ยินเสี่ยวมู่จื่อมีสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย
“ใช่ เราไปเดินเล่นกันเถอะ ยังไงเราก็ทำงานเสร็จแล้ว อยู่ที่นี่น่าเบื่อมาก ไปเดินเล่นฆ่าเวลากันดีกว่า!”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น แม้เสี่ยวมู่จื่อจะไม่ได้ฉลาด แต่บางครั้งก็ไม่ได้โง่ เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าระมัดระวัง จากนั้นดึงเล่อเหยาเหยาออกไปที่ลับตาคน เอ่ยอ้ำๆ อึ้งๆ กับเล่อเหยาเหยา
“เสี่ยวเหยาจื่อของข้า เจ้าอย่าก่อเรื่องอีกได้หรือไม่ แม้เจ้าจะออกจากวังไปได้ ก็หนีองครักษ์ของตำหนักอ๋องไม่พ้นหรอก ก่อนหน้านี้มีขันทีน้อยที่ปรนนิบัติไม่น้อยหลบหนีไป ต่อมาถูกองครักษ์ของตำหนักอ๋องจับกลับมามิใช่หรือ? อีกทั้งจุดจบของพวกที่หลบหนีลือกันว่าล้วนโดนโบยอย่างโหดเหี้ยม ดังนั้นข้าขอเตือนเจ้า ล้มเลิกความคิดที่จะหลบหนีไปซะ! รูปร่างบอบบองเช่นเจ้า ทนได้ไม่ถึงสิบไม้หรอก! ”
เมื่อรู้ว่าเล่อเหยาเหยาคิดจะหนีเป็นครั้งที่สาม เสี่ยวมู่จื่อกังวลในใจแทนเล่อเหยาเหยามาก เพราะถึงอย่างไรเขากับเล่อเหยาเหยาเข้าตำหนักอ๋องมาวันเดียวกันจึงสนิทสนมกันที่สุด และรู้ว่าการปรนนิบัติท่านอ๋องเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากเรื่องหนึ่ง แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นเพื่อนสนิทตนเดินทางผิด เขาจึงจำเป็นต้องตักเตือน
เมื่อได้ยินคำพูดที่จริงใจของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาจึงรู้ว่าเสี่ยวมู่จื่อเป็นห่วงเธอ
ความจริงเมื่อครู่หลังเธอรู้เรื่องนี้เข้าโดยไม่ตั้งใจ เรื่องแรกที่คิดถึงคือหลบหนี
ทว่าตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาจึงรู้ว่าเรื่องที่ตนคิดช่างง่ายเกินไปจริงๆ
ใช่แล้ว นับตั้งแต่เธอมาถึงที่นี่ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย บนตัวมีเงินเพียงสองตำลึงเงินติดตัว แม้หนีจากตำหนักอ๋องได้ คงออกประตูเมืองไปไม่ได้
โดยเฉพาะหลังโดนองครักษ์มากมายในตำหนักอ๋องจับตัวกลับมา จุดจบของเธอต้องน่าเวทนามากแน่ คิดดูแล้วความหวังอันแรงกล้าของเล่อเหยาเหยาถูกดับลงอีกครั้ง
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น เธอยังอยากออกจากวังไปเดินเล่นบนถนน
ประการแรกเธอไม่เคยเห็นว่าถนนของยุคสมัยนี้เป็นเช่นไร ประการที่สองตอนนี้ต้องทำความคุ้นเคยสภาพแวดล้อมโดยรอบไว้ก่อน หากวันหน้ามีโอกาส อย่างน้อยก็ไม่หลงทาง
คิดแล้ว เล่อเหยาเหยายกมุมปาก คลายคิ้วลง ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนหวาน
“ได้ เสี่ยวมู่จื่อของข้า ข้าทราบดี ข้าเพียงอยากไปเดินเล่นบนถนนอย่างเดียวเท่านั้น อีกทั้งเราเพิ่งได้รางวัลมามิใช่หรือ? แน่นอนว่าต้องไปหาอะไรกินเพื่อบำรุงตนเอง! ไปเถอะ เราไปขอป้ายออกจากวังจากหัวหน้าขันทีลี่กัน!”
เมื่อเห็นว่าเล่อเหยาเหยาไม่ได้โกหก เสี่ยวมู่จื่อจึงทนการอ้อนวอนของเธอไม่ไหว ดังนั้นจึงทำได้เพียงตอบตกลง
เมื่อมารับป้ายออกจากวังจากหัวหน้าขันทีลี่ จึงขาดไม่ได้ที่ถูกหัวหน้าขันทีลี่สั่งสอนอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง และให้เล่อเหยาเหยารีบกลับมาก่อนยามโหย่ว ( 17.00  – 19.00) เพราะทุกวันท่านอ๋องจะกลับมาถึงวังหลังยามโหล่ว ดังนั้นเล่อเหยาเหยาและเสี่ยวมู่จื่อจึงเวลาสองชั่วยามในการเดินเล่น
แม้เวลาจะไม่นาน แต่สามารถออกจากตำหนักอ๋องไปสูดอากาศได้ สำหรับเล่อเหยาเหยาแล้วถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี
เพราะตอนที่เธออยู่ในตำหนักอ๋อง มักรู้สึกว่าภายในตำหนักอ๋องมีการคุ้มกันที่แน่นหนาเกินไป และยังมีกฎระเบียบมากมายเป็นเข่ง กดดันเธอจนแทบหายใจไม่ออก
ดังนั้นหลังออกจากตำหนักอ๋อง เล่อเหยาเหยาจึงเหมือนนกน้อยถูกปล่อยออกจากกรง วิ่งไปทั่วทุกแห่งบนถนน ทำให้เสี่ยวมู่จื่อต้องวิ่งตามหลังเธอไม่หยุด
“เสี่ยวเหยาจื่อ อย่าวิ่งเร็วนักสิ รอข้าด้วย”
“ฮ่าๆ เสี่ยวมู่จื่อ ทำไมเจ้าถึงวิ่งช้าเช่นนี้ เร็วเข้า!”
เล่อเหยาเหยาหัวเราะสนุกสนาน ไม่นานทั้งสองคนจึงมาถึงถนนใหญ่ที่ใหญ่และเจริญที่สุดเมืองหลวง
…………………………………………………………………..

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset