สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! – ตอนที่ 68.2 ความน่ารักของพญายม (2)

“เอ้อ”
แม้จะเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋มีสีหน้าเคร่งขรึม แต่อย่างน้อยก็ตอบคำถามของตน หลังกลืนน้ำลายเสร็จ เล่อเหยาเหยาเอ่ยถามต่อทันที
“เช่นนั้น ท่านอ๋องพาบ่าวมาที่นี่หรือขอรับ?”
เมื่อครู่ไม่รู้ แต่หลังจากค่อยๆ คิดย้อนไป เล่อเหยาเหยาจำได้ว่าตอนตนหมดสติ ตนคล้ายตกอยู่ในทะเลหมอกอันอบอุ่น ตอนนี้คิดดูแล้ว เธออาจจะถูกคนอุ้มมาที่นี่ แต่คนที่อุ้มเธอมาที่นี่ คงไม่ใช่…
ขณะที่เล่อเหยาเหยาคาดเดาอยู่ในใจ สายตาที่มองเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ค่อยๆ แฝงการค้นหาและสงสัยขึ้น
หลังรับรู้ถึงสายตาของเธอ ใบหน้างดงามเคร่งขรึมของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อดหงุดหงิดออกมาไม่ได้ ส่งเสียงฮึดฮัดบางเบาออกมา ก่อนเสมองไปทางอื่น
คล้ายกับไม่อยากตอบคำถามของเล่อเหยาเหยา แต่จากอากัปกิริยาของเขา เล่อเหยาเหยารู้คำตอบแล้ว
นอกจากนี้มองจากสีหน้าอึดอัดนั้นของพญายมที่สะท้อนออกมา พลันรู้สึกว่าพญายมก็มีความน่ารักเช่นนี้อยู่ด้วย
สิ่งที่คิดในใจนี้ ทำให้เล่อเหยาเหยาเบิกตากว้าง ปากเล็กร้อง ‘เอ๋’ ขึ้นมา ความหวาดกลัวที่มีต่อพญายมค่อยๆ ลดลงโดยไม่รู้ตัว
เพราะหลายวันที่ได้อยู่กับพญายม บางเวลาแม้พญายมผู้นี้จะน่าหวาดกลัว โดยเฉพาะบนตัวเขาแผ่พลังกดดันออกมา จนทำให้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น
แต่หากสังเกตอย่างละเอียด พญายมผู้นี้ความจริงไม่ได้น่าหวาดกลัวดังเช่นที่คนอื่นลำ่ลือกัน!?
อย่างน้อยเขาที่อึดอัดอยู่ตอนนี้ ทำให้เธอรู้สึกว่าน่ารัก เธอป่วยจนเลอะเลือนไปแล้วหรือไม่!?
ขณะที่กำลังคิดในใจ เล่อเหยาเหยาพลันเห็นว่าพญายมที่ยืนอยู่หน้าเธอ หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเองแล้ว
เห็นเช่นนั้น เล๋อเหยาเหยาจึงคิดว่าพญายมกำลังจะจากไป จึงถอนหายใจออกมา
คิดไม่ถึงว่าเวลาไม่ถึงเค่อ พญายมกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับชุดผ้าฝ้ายสีขาวตัวหนึ่งตรงมาคลุมลงบนตัวเธอ
ตรงหน้าพลันมืดชั่วขณะ จมูกสูดดมได้กลิ่นหอมของอำพันทะเลที่คุ้นเคย เล่อเหยาเหยาจึงชะงักงันไปชั่วขณะ ก่อนจะยื่นมือดึงชุดผ้าฝ้ายสีขาวบนศีรษะนั้นลงมา แววตาปรากฏความสงสัยขึ้น
พญายมโยนชุดให้เธอหมายความเช่นไร? หรือขนาดเธอป่วย เขาก็ไม่ปล่อยบ่าวรับใช้อย่างเธอไป นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว
ขณะที่เล่อเหยาเหยาไม่พอใจอยู่นั้น หูพลันได้ยินน้ำเสียงที่หนักแน่นของพญายมดังเข้ามา
“เมื่อเจ้าฟื้นแล้ว เปลี่ยนเองเถอะ!”
“เอ้อ อะไรนะขอรับ!?”
เปลี่ยนเอง!?
หรือว่า…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดยื่นมือลูบเสื้อผ้าบนร่างกายตนเองไม่ได้ ทว่ากลับเจอเนื้อผ้าที่เปียกชื้นไปทั้งตัว
ทันใดนั้น เล่อเหยาเหยาพลันนึกได้ทันที
ที่แท้เมื่อครู่พญายมอยากช่วยเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกนี้ แต่เธอตอนนั้นกลับเข้าใจเขาผิด
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาอดรู้สึกผิดต่อพญายมไม่ได้
ดวงตางดงามแฝงความรู้สึกสำนึกผิดมองไปยังพญายม ราวคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พญายมกลับไม่ให้โอกาสเธอขอโทษ เสียง ‘ปัง’ ปิดประตูไม้ดังขึ้น จากนั้นเดินจากไป
“เฮ้อ เขาโกรธแล้วสินะ!?”
มองบนประตูไม้ลายสลักที่ปิดแน่น เล่อเหยาเหยาเบะริมฝีปากแดงเบาๆ ไปมา
ทว่าเธอไม่ได้คิดมาก รีบใช้โอกาสไร้ผู้คนเวลานี้ เปลี่ยนเสื้อผ้าเปียกชื้นบนตัวอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงเมื่อครู่ไม่รู้สึกตัวใดๆ แต่เวลานี้รู้สึกถึงเสื้อผ้าเปียกชื้นบนร่างกาย ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง
ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงถอดเสื้อด้านนอกที่เปียกชื้นออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นสวมเสื้อคลุมสีขาวตัวนั้นเข้าไป
ทว่าเมื่อสวมเสื้อคลุมสีขาวตัวนั้น เล่อเหยาเหยาอดย่นหน้าผากไม่ได้
เพราะขนาดของเสื้อตัวนี้เห็นชัดว่าไม่ใช่ขนาดของเธอ
เมื่อเธอสวม คล้ายเด็กน้อยแอบสวมเสื้อผ้าผู้ใหญ่
แขนเสื้อพับขึ้นหลายทบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลางลำตัวที่หลวมโพรก ช่างเป็นเหัวมหมือนมังกุท้ายมังกรเสียจริง!
ขณะที่เล่อเหยาเหยาพูดอะไรไม่ออก ประตูไม้ลายสลักที่ปิดอยู่พลันถูกคนผลักเข้ามา
คนที่ปรากฏตัวต่อหน้าของเล่อเหยาเหยา นอกจากพญายมที่จากไปแล้วกลับมา จะยังมีผู้ใดอีก
“เสี่ยวมู่จื่อ!?”
หลังเล่อเหยาเหยาเห็นคนผู้นั้น บนใบหน้าพลันปรากฎรอยยิ้มดีใจสดใสพลางตกใจขึ้นมา
เสี่ยวมู่จื่อได้ยินความตกใจของเล่อเหยาเหยา มองท่าทางสงบสุขไร้ปัญหาของเธออีกครั้ง ใจที่ร้อนรนสงบลงใที่สุด
ด้านหนึ่งถือยาที่เพิ่งต้มเสร็จในมือ ยื่นไปที่เล่อเหยาเหยาอย่างรวดเร็ว
บนใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ
อันที่จริงเมื่อครู่เล่อเหยาเหยาทำให้เขาตกใจยิ่งนัก
ตัวร้อนผ่าว ยังมีเขาร้องเรียกอย่างไรเขาก็ไม่ตื่น สถานการณ์นั้นคล้ายกับน้องชายเขาก่อนหน้านี้
ตอนนั้นครอบครัวยากจนจึงตามหมอมารักษาไม่ได้ น้องชายเขาป่วยจนตายไป เขาจึงไม่อยากให้เล่อเหยาเหยาเป็นเหมือนน้องชายตน
ดังนั้นถึงกล้าไปขอร้องหัวหน้าขันทีลี่ หวังว่าหัวหน้าขันทีลี่จะสามารถช่วยเหยาเหยาได้ แม้เขาจะรู้ว่าท่ามกลางพายุฝนเช่นนี้ โรงหมอด้านนอกจะปิดหมดแล้ว แม้หัวหน้าขันทีลี่อาจหาคนมารักษาไม่ได้ก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้นภายในวังอ๋อง ชีวิตบ่าวรับใช้เช่นพวกเขา ไร้ค่าราวต้นหญ้าอยู่แล้ว
แต่เขากลับไม่คิดเลยว่า สุดท้ายท่านอ๋องพลันปราฏตัวขึ้น และให้หัวหน้าขันทีลี่ส่งคนไปตามหมอหลวงจากวังหลวง
เรื่องนี้สำหรับบ่าวรับใช้เช่นพวกเขา ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
ทว่าสำคัญที่สุดคือ ตอนนี้เหยาเหยาไม่เป็นอะไร เขาจึงวางใจลง
ขณะคิดในใจ เสี่ยวมู่จื่อวางถ้วยยาในมือลงบนโต๊ะน้ำชาด้านข้าง
เพราะยานี้เขาเพิ่งต้มเสร็จ จึงร้อนมาก!
“เหยาเหยา หลังยาเย็นลงแล้ว เจ้าอย่าลืมกินล่ะ เจ้าไม่รู้เมื่อครู่เจ้าไข้สูงจน่ากลัวเพียงใด ข้าเขย่าเช่นไรเจ้าก็ไม่ตื่น ข้าตกใจแทบแย่”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ พลันนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น เสี่ยวมู่จื่อยังรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่มีในใจ
เมื่อรู้ว่าเสี่ยวมู่จื่อเป็นห่วงตน เล่อเหยาเหยาก็ซาบซึ้งอย่างมาก
อันที่จริงในสังคมทาสที่ชั่วช้านี้ ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับบ่าวรับใช้เช่นพวกเขา แต่เสี่ยวมู่จื่อกลับเพื่อเรื่องของเธอจึงกังวลเช่นนี้ จะไม่ให้เธอซายซึ้งได้เช่นไร!?
เมื่อคิดตรงนี้ เล่อเหยาเหยาเอ่ยยิ้มอย่างจริงใจกับเสี่ยวมู่จื่อว่า
“เสี่ยวมู่จื่อ ขอบคุณเจ้าจริงๆ โชคดีที่ข้ามีเจ้า!”
“เฮอะๆ ที่จริงข้าไม่ได้ทำอะไร ครั้งนี้โชคดีที่ได้ท่านอ๋องช่วยเหลือ!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสี่ยวมู่จื่อคล้ายรู้สึกว่าด้านหลังตนยังมีพระพุทธรูปยืนอยู่ หลังส่งเสียงตกใจออกมา พลันหันตัวก้มลงโขกศีรษะเอ่ยขอบคุณเหลิ่งจวิ้นอวี๋
เมื่อเห็นการกระทำของเสี่ยวมู่จื่อ เหลิ่งจวิ้นอวี๋มีใบหน้าเย็นชาเช่นเดิม ทำให้คาดเดาความคิดเขาไม่ได้ ก่อนจะยื่นมือโบกไปมา เป็นนัยให้เสี่ยวมู่จื่อลุกขึ้น
“เอาล่ะ เจ้าออกไปก่อนเถอะ!”
“คือ ขอรับ”
เดิมทีเสี่ยวมู่จื่อยังลังเล ทว่าเมื่อเงยหน้ามองเหลิ่งจวิ้นอวี๋แวบเดียว พลันพยักหน้าออกไปทันที
อันที่จริงท่านอ๋องเป็นผู้ช่วยชีวิตเสี่ยวเหยาจื่อ หากให้เสี่ยวเหยาจื่ออยู่ที่นี่คงไม่เกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่
หลังคิดได้แล้ว เสี่ยวมู่จื่อโค้งตัวอย่างนอบน้อยออกไป จากนั้นปิดประตูลง
ดังนั้นภายในห้องจึงเหลือเพียงเล่อเหยาเหยาและเหลิ่งจวิ้นอวี๋อีกครั้ง
ห้องนี้ขนาดไม่เล็ก แม้จะเป็นห้องพักคนรับใช้ เปรียบเทียบกับห้องของเจ้าได้ไม่ได้ แต่หากเทียบกับห้องพักบ่าวรับใช้ที่เล่อเหยาเหยาพัก ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
 ดวงตางดงามมองไปรอบด้าน โต๊ะเก้าอี้ทำจากไม้จันทน์ชั้นหนึ่ง ตู้เตี้ยลายสลัก เตียงไม้สาลี่ขนาดกลาง ด้านบนยังปูด้วยผ้านวมหนานุ่ม สบายยิ่งนัก
นอนอยู่บนนั้น แม้จะสู้เตียงสปริงขนาดใหญ่ที่บ้านไม่ได้ แต่เทียบกับเตียงไม้กระดานขนาดเล็กในที่พักของตน ช่างสวนทางกันเสียจริง
นอกจากนี้แม้ห้องเล็กนี้จะอยู่ติดกับห้องเจ้านาย ทว่าเพียงปิดประตูไม้ก็แยกออกจากห้องเจ้านายทันที การออกแบบเช่นนี้ล้วนมีแต่ในบ้านเรือนของเหล่าคนชั้นสูง
เพราะหากเป็นเช่นนี้ เหล่าเจ้านายจะสะดวกในการเรียกสั่งคน
ทว่าเริ่มแรกเล่อเหยาเหยารู้ว่าภายในห้องของพญายมนี้ เขาพักอยู่เพียงผู้เดียว ไม่มีบ่าวรับใช้เข้าพักที่ห้องเล็กนี้มาก่อน
แต่เพราะเหตุใดเขากลับพาเธอมาที่นี่!?
น่าแปลกเสียจริง!
เล่อเหยาเหยาพลางขบคิดอย่างสงสัย ทว่าสายตากลับมองไปรอบๆ ไม่หยุด แต่ไม่มองพระพุทธรูปใหญ่ตรงหน้า
อันที่จริงตอนนี้เหลือเพียงพวกเขาสองคน บรรยากาศจึงคล้ายแปลกประหลาด
เมื่อครู่เธอเข้าใจเขาผิดจึงรู้สึกผิดต่อเขา หมายจะขอโทษเขา แต่เมื่อเห็นใบหน้าเย็นชาของเขา กลับไม่กล้าพูดออกมาประโยคเดียว
ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงกวาดสายตาไปมาไม่หยุด โดยไม่มองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า
ทว่าขนตาที่สั่นไหวเล็กน้อยและดวงตาเป็นประกายนั้น กลับแสดงถึงความกังวลในใจเธอออกมา
เดิมทีเมื่อครู่รู้สึกโกรธและไม่พอใจขันทีน้อยตรงหน้าอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นใบหน้าเล็กของเขาตอนนี้อีกครั้ง แม้เขาจะไม่พูดจา ทว่าความคิดในใจของเขากลับแสดงออกมาอยู่บนใบหน้า
รู้ว่าเขากำลังกังวล สับสน อึกอัด และยังรู้ผิดต่อเขา ความรู้สึกบนใบหน้าเขามองแล้วคล้ายสิ่งมหัศจรรย์  สามารถทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น
เฮอะๆ ช่างเป็นขันทีน้อยที่น่ารักและน่าอึดอัดเสียจริง!

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset