สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 70 หอสุราทั้งหมดถูกฝังไปพร้อมกับพระชายา

        เมื่อได้ยินข่าวการหายตัวไปของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็รีบพาคนไปยังหอสุราตู้คังด้วยตนเอง

        ฉินเทียนกับหลินเฟิงที่ติดตามมามีใบหน้างุนงง

        ไม่ว่าเรื่องใด พวกเขาล้วนไม่เคยเห็นเยี่ยโยวเหยามีท่าทีรีบร้อนมาก่อน ยิ่งเป็นเรื่องที่ทำเพื่อสตรีด้วยแล้ว แม้การกระทำจะไม่ชัดเจนนัก ทว่าพวกเขากลับรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติในใจของเยี่ยโยวเหยา

        “ฮั่วจี เจ้ารู้ความผิดหรือไม่? ”

        ความน่าเกรงขามของเยี่ยโยวเหยาเต็มไปด้วยรัศมีอาฆาต โหดเหี้ยมเผด็จการ เมื่อเข้าไปในหอสุราตู้คัง เยี่ยโยวเหยาก็ขึ้นเสียงทันที

        แม่ทัพฮั่ว ‘ฮั่วจี’ ยืนอยู่ที่ประตู รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อเคารพเยี่ยโยวเหยา

        “ท่านอ๋อง กระหม่อมไม่สามารถปกป้องพระชายาได้ เป็นกระหม่อมที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง กระหม่อมยินดีรับโทษพ่ะย่ะค่ะ”

        “ยังไม่ไปตามหานางให้ข้าอีก หากเจ้าหาซูจิ่นซีไม่เจอ ก็ถือหัวเจ้ามาหาข้าก็แล้วกัน”

        “พ่ะย่ะค่ะ! ”

        แม่ทัพฮั่วผู้ซึ่งดื้อรั้นลำเอียงมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเอาซูจิ่นซีมาใส่ใจเลย บัดนี้นางได้หายตัวไปจริงๆ แล้ว กอปรกับแรงกดดันจากอำนาจอันทรงพลังและความเดือดดาลที่มหาศาลของเยี่ยโยวเหยา เขาจึงรู้สึกได้ถึงคราววิกฤต แม่ทัพฮั่วรีบตอบรับอย่างรวดเร็วและนำทหารของสกุลฮั่วที่มาถึงประตูหอสุราตู้คังแล้วไปสืบค้นภายในหอสุรา

        ชายชราที่ออกมาต้อนรับซูจิ่นซีก่อนหน้านี้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเถ้าแก่ของหอสุราตู้คัง เถ้าแก่นึกไม่ถึงว่าฮูหยินผู้สง่างามสูงส่งก่อนหน้านี้ที่ตนให้การต้อนรับ แท้จริงแล้วคือคนในข่าวลือที่ว่าเป็นพระชายาเพียงผู้เดียวที่โยวอ๋องทรงโปรดปราน

        เถ้าแก่ตะลึงอยู่เป็นเวลานาน ทันใดนั้นก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ เขารีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและคลานไปใต้เท้าของเยี่ยโยวเหยา

        “ขอท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต! กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ ว่าฮูหยินก่อนหน้านี้คือพระชายา หากทราบเร็วกว่านี้ กระหม่อมจะต้องปกป้องนางอย่างเต็มที่เป็นแน่ จะไม่ยอมให้เกศาของพระชายาหายไปแม้แต่เส้นเดียวอย่างแน่นอน ทว่าบัดนี้ได้เกิดเรื่องขึ้นกับพระชายาแล้ว แม้กระหม่อมตายร้อยครั้งก็เลี่ยงความผิดนี้ไม่ได้ ขอท่านอ๋องให้โอกาสกระหม่อมเพื่อชดเชยความผิด กระหม่อมจะระดมกำลังทั้งหมดของหอสุราตู้คัง พยายามค้นหาพระชายาอย่างเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ”

        ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยามืดสนิท ผ่านไปสักพักจึงกล่าวขึ้นว่า

        “หากเส้นผมของซูจิ่นซีหายไปแม้เพียงเส้นเดียว ข้าจะถล่มหอสุราตู้คังของเจ้า”

        ความหมายของเยี่ยโยวเหยาก็คือ หากตามหาพระชายาโยวอ๋องไม่เจอ หรือว่าเส้นผมของพระชายาโยวอ๋องหายไปแม้แต่เส้นเดียวก็จะฝังหอสุราตู้คังนี้ไปพร้อมกันเสีย!

        ร่างกายของเถ้าแก่สั่นสะท้าน เขารีบพยักหน้าทันทีราวกับโขลกกระเทียมก่อนจะเดินออกไป

        “กระหม่อมจะส่งคนทั้งหมดออกจากหอสุราไปตามหา…หาตอนนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

        แม้หอสุราตู้คังจะมีชื่อเสียงมาก ทว่าหากท่านอ๋องผู้สง่างามต้องการทำลายหอสุราเล็กๆ นี่ ก็แทบไม่ต้องเปลืองแรงขยับนิ้วสั่งเลย

        “ช้าก่อน! ”

        ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็พูดขึ้น

        “ท่านอ๋องยังมีสิ่งใดที่ต้องการรับสั่งอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”

        เถ้าแก่รีบคลานกลับมาที่ใต้เท้าของเยี่ยโยวเหยาอีกครั้งเพื่อรอคำสั่งจากเยี่ยโยวเหยา

        “ให้คนของหอสุราทุกคนออกมารวมตัวกันแล้วมาหาข้าที่นี่ ข้าจะตรวจสอบด้วยตนเอง”

        ท่านอ๋องต้องการตรวจสอบและซักถามด้วยตนเอง?

        “พ่ะย่ะค่ะ! ”

        เถ้าแก่แทบไม่คิดเลย เขารีบตอบรับแล้วถอยไปเรียกให้คนมารวมตัวกัน

        ตราบใดที่เยี่ยโยวเหยาออกโรงเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ประสิทธิภาพของการทำงานจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า

        เวลาผ่านไปเพียงครึ่งถ้วยน้ำชา [1] เถ้าแก่ก็กลับมารายงานเยี่ยโยวเหยาว่าทุกคนในหอสุราได้มารวมตัวกันครบแล้ว

        “เถ้าแก่ เจ้าแน่ใจหรือว่าครบทุกคนแล้ว ไม่ขาดไปแม้แต่ผู้เดียว? ”

        ฉินเทียนที่อยู่ด้านข้างเข้าใจดีถึงจุดประสงค์ในการนำทุกคนมารวมกันของเยี่ยโยวเหยา เพราะหากมีผู้ใดไม่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ ผู้นั้นจะต้องมีปัญหาเป็นแน่ บัดนี้ทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ทั้งหมดแล้ว จึงทำให้เขารู้สึกไม่สมเหตุสมผลเล็กน้อย

        “ข้าน้อยมั่นใจว่าครบทุกคนแล้ว จำนวนคนงานในหอสุรามีทั้งหมดเก้าสิบเอ็ดคนรวมตัวข้าน้อย เวลานี้ทุกคนล้วนอยู่ในลานทั้งหมดแล้ว”

        “โยวเหยา นี่มันไม่ถูกต้อง! หรือว่าพวกเราจะสงสัยผิดคน ผู้ที่ลงมืออาจไม่ใช่คนของหอสุรา”

        “ไม่มีทาง! ”

        เยี่ยโยวเหยาพูดเพียงแค่สามคำแล้วเดินออกไปนอกประตู

        หอสุรามีพนักงานบริการที่สวมเสื้อคลุมยาวสีเขียว ชายหญิงรวมกันได้ยี่สิบเอ็ดคน ช่างกลั่นสุราสิบคน ช่างซ่อมบำรุงยี่สิบสี่คน และผู้คุ้มกันสามสิบหกคน จัดเรียงเป็นสามแถวและยืนอย่างเรียบร้อยในลานด้านใน

        เยี่ยโยวเหยาก้าวไปข้างหน้า เดินผ่านพวกเขาทีละคน ใช้สายตาเย็นชามองตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมทั้งการแต่งกายและการแสดงออกทางสีหน้า แววตา และอื่นๆ ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่นิ้วเดียว บางครั้งก็เลือกถามพนักงานบางคนเพียงสองสามประโยค

        ท่านอ๋องช่างห่วงใยซูจิ่นซีเสียจริง!

        ฉินเทียนลอบถอนหายใจ

        ก่อนหน้านี้ เวลามีการสอบสวนนักโทษและผู้ต้องสงสัย ท่านอ๋องมักจะไม่ลงมือสอบสวนด้วยตนเองบ่อยนัก แม้นักโทษเหล่านั้นจะเป็นผู้ที่มีฐานะมากพอที่จะทำให้ท่านอ๋องต้องออกหน้าเองก็ตาม ทว่าไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ท่านอ๋องลงมาตรวจสอบกับคนที่มีฐานะทั่วไปซึ่งแตกต่างจากตนราวฟ้ากับดินเช่นนี้

        หลังจากเยี่ยโยวเหยาตรวจสอบอีกครั้งก็เหลือผู้ต้องสงสัยอยู่สิบกว่าคน พวกเขาถูกพาเข้าไปในห้องรับแขกของหอสุรา และถูกส่งมอบให้ฉินเทียนเพื่อสอบปากคำอย่างเคร่งครัดอีกครั้ง เน้นย้ำว่าหากจำเป็นก็สามารถลงมือได้

        ส่วนตัวเยี่ยโยวเหยาเองก็นั่งดื่มชาอยู่ทางด้านข้าง

        พนักงานที่ถูกเลือกมาในครั้งนี้ต่างรู้สึกทรมานเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ที่เยี่ยโยวเหยาตรวจสอบด้วยตนเองเสียอีก เพราะพวกเขาล้วนทราบดีว่าในตอนนี้ตนได้อยู่ในรายชื่อของผู้ต้องสงสัยเสียแล้ว หากมีความผิดก็จะต้องโทษ ฐานวางแผนลอบทำร้ายพระชายาอ๋อง

        ไม่มีผู้ใดกล้านิ่งนอนใจ

        “ตอนที่พระชายาอ๋องหายไป เจ้าอยู่ที่ใด? ”

        ฉินเทียนถามพนักงานที่เป็นสตรีสวมชุดสีเขียวผู้หนึ่ง

        สตรีนางนั้นรีบคุกเข่าลงบนพื้น

        “เรียนนายท่าน ตอนนั้นข้าน้อยอยู่ในห้องไม้ไผ่ที่พระชายาอ๋องดื่มสุรา แม้พระชายาอ๋องจะออกไปเข้าห้องน้ำ ทว่าข้าน้อยก็ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย ใช่แล้ว! แม่ทัพที่อยู่ที่นี่เมื่อครู่สามารถเป็นพยานให้ข้าน้อยได้ ตอนนั้นเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย”

        สตรีนางนี้พูดถึงแม่ทัพฮั่วจี

        กล้านำฮั่วจีมาเป็นพยานแสดงว่านางไม่กล้าโกหก

        ฉินเทียนเริ่มสอบปากคำต่อ คนต่อไปคือช่างซ่อมบำรุงชายคนหนึ่ง

        “เจ้าเล่า? ”

        ฉินเทียนมองไปยังชายหนุ่มที่มีร่างกายกำยำแข็งแรง ทว่าคิดไม่ถึงว่าทันทีที่ฉินเทียนเปิดปาก ชายผู้นั้นกลับเบิกตาด้วยความตกใจกลัวและเป็นลมหมดสติไปในทันที

        ฉินเทียนส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ “เอาออกไป! ”

        “เจ้าเล่า? ”

        …….

        ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม คนที่เหลือทั้งหมดสิบกว่าคนถูกสอบสวนจนหมดแล้ว แม้พวกเขาจะเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งหมด ทว่าเยี่ยโยวเหยาและฉินเทียนก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ

        ฉินเทียนยิ่งมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมว่าการหายตัวไปของซูจิ่นซีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้คนภายในหอสุรา บางทีอาจเป็นคนจากภายนอกที่เข้ามาจับตัวซูจิ่นซีไป

        “ลวี่หลี เจ้าพูดสถานการณ์ตอนนั้นมาอีกครั้งสิ”

        ฉินเทียนพูด

        แม้ลวี่หลีได้เล่าถึงการหายตัวไปของซูจิ่นซีแล้วในตอนที่เยี่ยโยวเหยามาถึง ทว่าตอนนั้นจำนวนคนในหอสุรามีค่อนข้างมาก และจุดประสงค์การเดินทางมาในครั้งนี้ของซูจิ่นซีก็ไม่สามารถพูดให้ผู้อื่นรับรู้ได้ ดังนั้นคำพูดของลวี่หลีจึงค่อนข้างคลุมเครือ

        ครั้งนี้ลวี่หลีจึงจงใจแยกตัวออกมาจากคนของหอสุราเพื่อบอกเล่าถึงสถานการณ์นั้นอีกครั้ง

        ลวี่หลีนับว่าฉลาดไม่น้อยเช่นกัน นางเดินเข้าไปใกล้เยี่ยโยวเหยาและฉินเทียนเล็กน้อย แน่นอนว่ากลิ่นอายที่น่ากลัวและเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาทำให้ลวี่หลีตกใจหวาดกลัว ลวี่หลีจึงไม่กล้าเข้าใกล้มากเกินไป

        “เรื่องเป็นเช่นนี้เพคะ คุณหนูต้องการหาเบาะแสของพิษชางหลงจึงหาข้ออ้างไปที่อุโมงค์เก็บสุราเพื่อทำสุราดอกเหมยให้กับท่านอ๋องด้วยตนเอง ทว่าเถ้าแก่บอกว่าห้องเก็บสุรานั้นคนนอกไม่สามารถเข้าได้ ดังนั้นตอนที่เถ้าแก่ออกไปทำสุราให้ คุณหนูจึงอ้างว่าจะไปห้องน้ำและหาโอกาสเข้าใกล้ห้องเก็บสุราเพื่อสืบหาเบาะแส ทว่าระหว่างทางนั้นมืดมากเพคะ

        ขณะนั้นเถ้าแก่อยู่ในอุโมงค์เก็บสุราเพื่อทำสุราดอกเหมยให้คุณหนู คุณหนูกลัวจะถูกพวกเขาสังเกตเห็น ดังนั้นพวกเราจึงไม่ได้เข้าไปใกล้เกินไป คุณหนูหยุดอยู่เพียงด้านนอกอุโมงค์เก็บสุรา หลังจากนั้นคุณหนูก็บอกว่าไม่พบเบาะแสใดๆ เลยในห้องนั้น ทว่าตอนที่พวกเรากำลังจะออกมาก็มีคนตีพวกเราจากทางด้านหลังจนสลบไป พอหม่อมฉันตื่นขึ้นมาก็ไม่พบคุณหนูแล้วเพคะ”

        “ท่านอ๋อง องครักษ์ฉิน คุณหนูจะต้องถูกลักพาตัวไปอย่างแน่นอน แม้หม่อมฉันในตอนนั้นจะมองไม่ชัดว่าสถานการณ์ด้านคุณหนูเป็นอย่างไร ทว่าหม่อมฉันยังคงได้ยินเสียงคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดของคุณหนูก่อนจะสลบไป แน่นอนว่าคุณหนูก็เหมือนกับหม่อมฉันที่ถูกตีจนสลบ ทว่าจนถึงตอนนี้พวกเรายังคงไม่เจอร่องรอยของคุณหนู ดังนั้นคนที่ตีพวกเราจะต้องเป็นคนนำตัวคุณหนูไปอย่างแน่นอนเพคะ”

        ลวี่หลีพูดเสริมอีกประโยค

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset