สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 100 สุขสันต์วันเกิด เข็มเหมันต์เทวะ

        ทว่านางควรจะทำอย่างไร?

        วิธีใดถึงจะหยุดซูจิ่นซีไว้ได้?

        ภายในใจของฮั่วอวี้เจียวคิดไม่ตก

        เมื่อเงาของซูจิ่นซีและฮ่องเต้กำลังจะเดินเข้าสู่โถงด้านหลังของลานพระที่นั่ง ทันใดนั้นในสมองของฮั่วอวี้เจียวก็มีแสงสว่างวาบขึ้น นางมองไปที่เยี่ยเซินซึ่งนั่งอยู่ในลานพระที่นั่งเพื่อขอความช่วยเหลือ

        เยี่ยเซินนั้นคอยให้ความสนใจฮั่วอวี้เจียวอย่างเงียบๆ อยู่ตลอดเวลา

        เดิมทีเยี่ยเซินเฝ้ามองสตรีที่ตนเองรักต้องอดทนต่อความอัปยศอดสู เพื่อบุรุษอื่นโดยไม่คำนึงถึงหัวใจที่เจ็บปวดของเขา ทว่าฮั่วอวี้เจียวที่มักจะเย่อหยิ่งเย็นชาต่อหน้าเขามาโดยตลอดนั้น น้อยครั้งนักที่นางจะมีเรื่องร้องขอ

        เมื่อมองไปที่ร่างอันบอบบางและโดดเดี่ยวของฮั่วอวี้เจียว มองดวงตาคู่นั้นที่แสดงออกมาราวกับคนที่ทำอันใดไม่ถูก นางมองมาที่เขาเหมือนต้องการจะจับฟางเส้นสุดท้ายไว้ ทันใดนั้นในใจของเยี่ยเซินก็ไม่อาจทานทนได้

        “ซูจิ่นซี! ”

        เยี่ยเซินลุกขึ้นยืนในทันที แล้วตะโกนหยุดซูจิ่นซีไว้

        เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้และซูจิ่นซีหยุดเดินแล้ว หัวใจของฮั่วอวี้เจียวก็รู้สึกปลอดโปร่ง สายตาเปลี่ยนกลับมามั่นคงอีกครั้ง

        เยี่ยเซินเหลือบมองฮั่วอวี้เจียวแวบหนึ่งแล้วกล่าวเสียงดัง “มีอันใดจะกล่าวกับเสด็จพ่อในเวลานี้หรือ? คงไม่เหมาะสมหากปล่อยให้คนจำนวนมากรออยู่ที่นี่กระมัง? หรือว่า… ซูจิ่นซี…เจ้ารู้อยู่แล้วว่าตนเองแพ้ จึงคิดต่อสู้เฮือกสุดท้ายโดยการกระทำบางสิ่งหรืออย่างไร? ”

        ซูจิ่นซีมองไปที่เยี่ยเซิน ไม่กล่าวอันใด

        เยี่ยเซินกล่าวต่อว่า “มาไขข้อข้องใจกับทุกคนให้แล้วเสร็จเสียก่อน จากนั้นเจ้ายังมีโอกาสให้พูดคุยเงื่อนไขกับเสด็จพ่อ”

        เยี่ยเซินกล่าวจบ สายตาทั้งสองก็เหลือบมองฝูงชนราวกับนกอินทรี

        ท่ามกลางฝูงชนมีคนที่เยี่ยเซินได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว พวกเขาจึงเริ่มจุดไฟและปลุกระดมทุกคนในทันที

        “พระชายาโยวอ๋อง ไท่จื่อกล่าวได้ถูกต้อง เรื่องสำคัญที่สุดคือท่านควรไขข้อข้องใจให้กับทุกคน ส่วนเรื่องนั้นก็ค่อยว่ากันเถิด! ทุกคนต่างมารอท่านอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้ว! ”

        “ใช่ พระชายาโยวอ๋อง ต่อให้ดิ้นรนเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์หรอก ท่านยอมรับเสียเถิด! ถึงแพ้ก็ไม่ขายหน้าเท่าไร แพ้แล้วไม่ยอมรับสิถึงจะขายหน้า”

        “พระชายาโยวอ๋อง พูดออกมาเถิด! เจ้าสืบหาตัวฆาตกรไม่ได้ใช่หรือไม่? ”

        ที่จริงแล้วทุกคนต่างรู้ว่าซูจิ่นซีจับตัวฆาตกรมาไม่ได้ ทว่าพวกเขาต้องการบีบบังคับให้ซูจิ่นซียอมรับสารภาพออกมาเอง

        ภายใต้แขนเสื้อกว้าง มือทั้งสองของซูจิ่นซีกำแน่นขึ้นอีกครั้ง

        ไม่ผิด ตอนนี้ซูจิ่นซีกำลังวางแผนบางอย่างอยู่ ฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของนางคือเครื่องต่อรองที่นางตั้งใจจะใช้เพื่อช่วยรักษาหน้าของเยี่ยโยวเหยา ถือเป็นการกระทำในวาระสุดท้ายของชีวิต

        “พระชายาโยวอ๋อง สถานการณ์ตอนนี้เกรงว่าคงไม่เหมาะสมจริงๆ หากเจ้ากับข้าจะเข้าไปพูดคุยกันที่ด้านหลัง พวกเราควรจัดการเรื่องนี้และให้คำอธิบายกับทุกคนก่อน เรื่องต่อจากนี้เจ้าประสงค์จะกล่าวอันใด ข้าจะตั้งใจฟัง”

        ฮ่องเต้เปลี่ยนพระทัยใจ พระองค์ไม่คิดไปที่ด้านหลังลานพระที่นั่งแล้ว

        ฮ่องเต้เสด็จไปยังด้านหน้าของซูจิ่นซี พระองค์ตรัสด้วยสุรเสียงเยือกเย็น สายพระเนตรจ้องมองลงมาที่นาง “พระชายาโยวอ๋องพูดเถิด! ฆาตกรเล่า? ”

        ซูจิ่นซีไม่เคยรู้สึกถึงความกดดันจากฮ่องเต้เช่นนี้มาก่อน ภายในใจสั่นไหวเล็กน้อย

        “ฆาตกรเล่า? ว่าอย่างไร? ”

        ฮ่องเต้ไต่ถาม

        เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ซูจิ่นซีทนไม่ได้ที่จะให้ปัญหาข้างเคียงสอดแทรกเข้ามาอีก ฮ่องเต้และเยี่ยเซินมีความคิดอันตั้งใจแน่วแน่ พวกเขาต้องการงัดเอาผลลัพธ์จากปากของนาง นางไม่มีทางหนีพ้นแล้ว

        อีกแค่ก้าวเดียว!

        แท้จริงแล้วเหลืออีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น บางทีจุดอวสานของทุกสิ่งทุกอย่างอาจกำลังย้อนกลับ

        ทว่าสวรรค์ไม่ยอมให้โอกาสนางเลย

        หรือว่าสวรรค์จะกำหนดมาแล้ว?

        ซูจิ่นซีค่อยๆ หลับตาลง หายใจเข้าลึกๆ ดวงตาร้อนผ่าวเล็กน้อย

        ซูจิ่นซีกลั้นใจอยู่นาน นางกำลังจะทำสิ่งที่กล้าหาญอย่างมากด้วยการยอมรับว่าตนเองไม่มีความสามารถ คำว่า ‘ใช่’ กำลังจะทำให้เกียรติยศของเยี่ยโยวเหยาแปดเปื้อน ความลังเลอัดแน่นอยู่ในอกอย่างยาวนาน

        เมื่อคำนั้นมาถึงปลายลิ้น ซูจิ่นซีกำลังจะพูดออกมา ทันใดนั้นข้างหูก็มีเสียงพลุดอกไม้ไฟระเบิดในอากาศดังสะท้อนเข้ามา

        ซูจิ่นซีลืมตาขึ้นและมองไปยังทิศทางของเสียง

        ดอกไม้ไฟนับไม่ถ้วนพุ่งตรงสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เบ่งบานบนอากาศอย่างภาคภูมิ สวยสดงดงาม สีสันหลากหลายปะปนกันช่างน่าประทับใจ ประดับประดาท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดให้สว่างไสว

        เมื่อดอกไม้ไฟเบ่งบานบนท้องฟ้า การแสดงออกที่แข็งทื่อบนใบหน้าของซูจิ่นซีก็ยิ่งแข็งทื่อมากขึ้น

        ทันใดนั้นจุดสีขาวที่ดูไม่ธรรมดาทั้งสี่จุดก็ปรากฏขึ้นในดอกไม้ไฟที่เบ่งบาน จุดสีขาวเหล่านั้นดูเหมือนจะเคลื่อนมายังทิศทางที่ซูจิ่นซียืนอยู่อย่างเชื่องช้า มันขยายใหญ่ขึ้นในอากาศ จากนั้นซูจิ่นซีก็พบว่าจุดสีขาวที่เกิดขึ้นเหล่านั้นเป็นคนสี่คนในชุดขาว

        ในที่สุดคนชุดขาวทั้งสี่คนก็ลอยลงมาบนลานพระที่นั่ง

        พวกเขาทั้งหมดอยู่ในชุดสีขาวพลิ้วไสว เสื้อคลุมโบกสะบัด สะอาดเรียบร้อยไม่เปื้อนฝุ่นละอองแม้แต่น้อย พวกเขาทำให้ซูจิ่นซีนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาทันที

        คุณชายจิ่ว

        “ศิษย์น้องเล็ก ข้าเป็นศิษย์ของเทียนอีเหมิน ตั้งใจมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับศิษย์น้องเล็กในวันเกิดตามคำสั่งของท่านเจ้าสำนัก ดอกไม้ไฟเมื่อครู่เจ้าชอบหรือไม่? ”

        คนชุดขาวผู้หนึ่งกล่าวขึ้น

        มอบให้ในวันเกิดของซูจิ่นซี?

        วันนี้เป็นวันเกิดของซูจิ่นซีหรอกหรือ?

        เหตุใดนางถึงไม่รู้เล่า?

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน นางมั่นใจว่าไม่มีข้อมูลใดในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมเลย

        เมื่อก่อนเจ้าของร่างเดิมนั้นเป็นคนโง่เขลา เรื่องราวมากมายนางล้วนรับรู้อย่างไม่ชัดเจนนัก ดูเหมือนว่านางจะไม่รู้ว่าตนเกิดปีใด เกิดเดือนไหน ยิ่งไปกว่านั้นซูจ้งบิดาผู้ให้กำเนิดของนางก็ไม่เคยบอกกล่าวอันใด

        คุณชายจิ่วรู้วันเกิดของซูจิ่นซีได้อย่างไรกัน?

        “ศิษย์น้องเล็ก นี่คือเข็มเหมันต์เทวะที่ศิษย์พี่ทั้งสี่ตั้งใจหามาจากทางตอนเหนือ และนำมาเป็นของขวัญวันเกิดให้กับเจ้า เพื่อตามหาสิ่งล้ำค่าชิ้นนี้ พวกเราทั้งสี่คนได้ใช้ความพยายามไปไม่น้อยเลยทีเดียว! ” คนชุดขาวอีกคนยื่นกล่องแก้วสีสันสวยงามมายังเบื้องหน้าของซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีตกตะลึงเล็กน้อย

        เข็มเหมันต์เทวะหรือ?

        ในจารึกถังเหมินกล่าวว่ามันถูกสร้างขึ้นในสมัยโบราณโดยเสินหนงที่บังเอิญได้รับชิ้นส่วนหินสีของตำนานหนี่ว์วา จากนั้นเสินหนงจึงเข้าไปในดินแดนน้ำแข็งทางตอนเหนือและใช้ไฟดับมัน ทว่ามันเป็นสมบัติอันล้ำค่าในวงการแพทย์

        ของล้ำค่าชิ้นนี้ทำให้ใครหลายคนต่างโหยหา ทว่าน่าเสียดายที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน

        ได้ยินมาว่าเข็มเหมันต์เทวะนี้ได้หายไปหลังจากที่เสินหนงเสียชีวิต และไม่รู้ว่าตกไปอยู่กับผู้ใด

        ซูจิ่นซีเคยคิดว่าเข็มเหมันต์เทวะเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ไม่มีอยู่จริง กลับคาดไม่ถึงว่าในโลกใบนี้จะมีของเช่นนี้อยู่

        “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าตกใจจนเป็นบ้าไปแล้วหรือ! ลืมตาดูเถิด ชอบหรือไม่ชอบกัน? ” คนชุดขาวอีกคนกล่าว

        อันที่จริงซูจิ่นซีตกตะลึงด้วยความตกใจ นางยื่นมือออกไปอย่างทำใจไม่ได้เล็กน้อย แล้วเปิดกล่องออกดู

        กล่องแก้วนั้นดูบอบบางเป็นอย่างมาก เครื่องใช้ของแคว้นจงหนิงส่วนใหญ่เป็นเครื่องปั้นดินเผาที่เผาด้วยหลุมถ่านหิน มีน้อยมากที่จะนำแก้วมาทำเช่นนี้ ทั้งยังมีปะการังและเปลือกหอยฝังอยู่รอบๆ กล่องอีกด้วย ยิ่งดูเหมือนเป็นสิ่งของพิเศษที่ไม่ธรรมดา

        ดูท่าทางแล้ว สิ่งของนี้และคุณชายจิ่ว รวมทั้งคนชุดขาวทั้งสี่ท่านนี้ค่อนข้างไปด้วยกันได้เสียด้วย

        ซูจิ่นซีกดหัวเข็มขัดเพื่อเปิดกล่อง ทันใดนั้นหมอกน้ำแข็งก็ลอยพุ่งออกมาจากกล่อง

        ภายในกล่องเต็มไปด้วยเข็มเงินใสแวววาว วางอยู่ในกล่องอย่างเป็นระเบียบ

        เข็มทุกเล่มก็เหมือนกับชื่อของมันอย่างไรอย่างนั้น แต่ละเล่มโปร่งใสเหมือนน้ำแข็ง และบางเหมือนขนวัว

        ซูจิ่นซีคร่ำครวญอยู่ในใจลึกๆ นี่มันไม่ใช่สิ่งของธรรมดาเลยนะ! ของดีนี่มันช่างแตกต่างกันเสียจริง

        “ศิษย์น้องเล็ก หากเจ้าใช้เข็มเหมันต์เทวะนี้รักษาโรค มันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเข็มธรรมดานับสิบเท่าเลยทีเดียว! ” คนชุดขาวที่ถือกล่องกล่าวขึ้น

        “ขอบคุณเจ้าค่ะ! ” ซูจิ่นซียิ้มเล็กน้อย

        แม้ว่าในใจจะมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับวันเกิดของตนเอง และยังมีข้อสงสัยมากมายถึงที่มาของคนชุดขาวทั้งสี่คนนี้ อีกทั้งยังมีชื่อ ‘ศิษย์น้องเล็ก’ ที่คนชุดขาวทั้งสี่เรียกอีก ทว่าในใจของซูจิ่นซีไม่มีทางปฏิเสธเข็มเหมันต์เทวะนี้ได้เลย อย่างไรเสียก็รับมาแล้ว

        “ศิษย์… ท่านชายจิ่วจะมาพบข้าอีกเมื่อใดเจ้าคะ? ข้าต้องการขอบคุณเขาเช่นกันเจ้าค่ะ ”

        ดั่งคำสุภาษิตที่ว่า กินของเขาต้องรู้ตอบแทน เอาของเขาต้องรู้บุญคุณ ซูจิ่นซีมองไปที่เข็มเหมันต์เทวะอย่างละเอียดอีกครั้ง เดิมทีนางสงสัยว่าควรเปลี่ยนคำพูดเรียกจิ่วหรงว่า ‘อาจารย์’ ดีหรือไม่ ทว่าสุดท้ายก็ยังคงพูดไม่ออก

        “เจ้าสำนักบอกว่า เขาจะทำให้ศิษย์น้องเล็กประหลาดใจ ดังนั้นเขาจึงเตรียมของขวัญมาให้เจ้าเป็นการส่วนตัวแล้ว เพียงแต่ให้พวกเราทั้งสี่คนเดินทางมาก่อน ส่วนเขาจะตามมาทีหลัง”

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset