สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 117 ความลับของการครองโลก

        แม่นมฮวาไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อย

        “พระชายาเพคะ สำรับอาหารวันนี้ไม่ต้องใส่น้ำส้มสายชูนี่เพคะ! ”

        แม่นมฮวามั่นใจว่าอาหารได้รับการปรุงรสอย่างดีแล้ว รสชาติไม่แย่อย่างแน่นอน

        “ท่านอ๋องโปรดเสวย! ”

        ซูจิ่นซีขยิบตาไปทางแม่นมฮวา

        แม่นมฮวาพลันเข้าใจสิ่งใดบางอย่างขึ้นมา นางรีบตอบรับสองครั้งแล้ววิ่งเข้าไปในห้องเครื่องเพื่อหยิบน้ำส้มสายชู

        ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็กุมมือของซูจิ่นซีทันที “จิ่นซี… ”

        ซูจิ่นซีตกตะลึงไปชั่วขณะ

        นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยโยวเหยาเรียกชื่อของซูจิ่นซีเช่นนี้

        “เยี่ยโยวเหยา ท่านบอกให้หม่อมฉันทราบได้หรือไม่ว่าท่านหมายความว่าอันใดกันแน่เพคะ? ”

        ท่านสามารถให้คำอธิบายที่ชัดเจนได้หรือไม่ เพื่อให้หม่อมฉันสบายใจ

        “มีเรื่องราวมากมายที่ตอนนี้ข้ายังไม่ได้เอ่ยกับเจ้าให้ชัดเจน ทว่าเชื่อข้าเถิด ชีวิตนี้ข้ามีเพียงเจ้าเป็นพระชายาเพียงผู้เดียว จะไม่มีสตรีอื่นอีก”

        นี่นับว่าเป็นคำสารภาพรักที่ยืนยาวหรือไม่?

        ซูจิ่นซีคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา

        ท่านอ๋องที่เกิดในยุคโบราณมีศักดินาเจ้าขุนมูลนาย จะมีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร?

        ท่านอ๋องในยุคโบราณล้วนไม่ได้มีมากชู้หลายเมียกันหรอกหรือ?

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ ท่านพูดแล้วนะเพคะ! ”

        ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก

        “ข้าพูดแล้ว! ” น้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยามั่นคง

        มุมปากของซูจิ่นซีค่อยๆ ยกยิ้มขึ้น รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าราวกับดอกไม้ที่กำลังผลิบานอย่างไรอย่างนั้น สว่างไสวเจิดจ้าเก็บอย่างไรก็เก็บไม่อยู่

        แม้แต่มุมปากของเยี่ยโยวเหยาก็ถูกรอยยิ้มที่แสนประทับใจนั้นทำให้ยกขึ้นเล็กน้อย

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็มองอย่างตกตะลึงแล้วกล่าวว่า “สง่างามยิ่งนัก! ”

        “กระไร? ” เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว

        “รีบเสวยเถิดเพคะ! ”

        ซูจิ่นซีก้มหน้าก้มตาออกแรงจ้วงข้าวเข้าปากของตน ที่หางตาและคิ้วโค้งเป็นรอยยิ้มขึ้นมาอย่างยับยั้งไม่อยู่

        ในที่สุด นางก็รอคอยจนถึงวันนี้!

        ทว่าซูจิ่นซีไม่รู้ว่า ในความเป็นจริงแล้วเยี่ยโยวเหยาไม่เคยแย้มยิ้มมาก่อนเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น กระทั่งแม่นมฮวาที่ดูแลเยี่ยโยวเหยามาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ก็ไม่เคยเห็นเขายิ้มเลย จนได้พบกับซูจิ่นซี

        นับไม่ถ้วนแล้วว่าเยี่ยโยวเหยายิ้มไปกี่ครั้ง มันเป็นรอยยิ้มสำหรับซูจิ่นซีโดยเฉพาะ

        “พระชายาเพคะ น้ำส้มสายชูมาแล้วเพคะ! ”

        แม่นมฮวาถือน้ำส้มสายชูเดินยิ้มแฉ่งมาทางนี้

        ทว่าซูจิ่นซีกลับก้มหน้าก้มตาทานข้าว ไม่ได้ตอบรับแต่อย่างใด

        “พระชายาเพคะ? ” แม่นมฮวาตะโกนเรียกอีกครั้ง

        ซูจิ่นซีก็ยังคงไม่มีการตอบรับ

        “ท่านอ๋องเพคะ นี่… ”

        แม่นมฮวามึนงงเล็กน้อย

        “แม่นมฮวา น้ำส้มสายซูไม่อาจทานได้ตามอำเภอใจ ยิ่งไม่ควรทานมากจนเกินไป ไม่ดีต่อร่างกาย! ” ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยตอบ ทั้งยังเล่นสำนวนความหมายกำกวม

        ครานี้แม่นมฮวายิ่งมึนงงมากกว่าเดิม

        น้ำส้มสายชูนี่ไม่ใช่พระชายาให้นางไปเอามาหรอกหรือ?

        “ถูกต้อง! ”

        เยี่ยโยวเหยาที่สายตาจ้องมองอยู่ที่สำรับอาหาร กล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน

        แก้มของซูจิ่นซีแดงก่ำขึ้นชั่วขณะ นางจ้องมองไปที่เยี่ยโยวเหยา หลังจากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อ

        เยี่ยโยวเหยาก็ทานข้าวต่อเช่นกัน ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก

        แม่นมฮวายืนอยู่ด้านข้าง ขวาก็ไม่ใช่ ซ้ายก็ไม่เชิง [1] ยิ่งไม่รู้ว่าจะถามกระไรอีก ทั้งยังไม่รู้ว่าควรจะวางน้ำส้มสายชูไว้บนโต๊ะเล็กๆ ที่ทั้งสองท่านกำลังทานข้าวอยู่ หรือว่าเอากลับไปเก็บไว้ในห้องเครื่อง นางทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นและดื่มน้ำส้มสายชูทั้งขวด

        หลังจากดื่มเสร็จ ใบหน้าของแม่นมฮวาที่เดิมทีมีรอยเหี่ยวย่นไม่น้อยก็ยิ่งย่นเข้าไปอีก นางหลับตาปี๋ ลืมตาทั้งสองข้างไม่ได้

        น้ำส้มสายชูนี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ไม่สามารถกินได้ตามอำเภอใจ ยิ่งไม่ควรกินมากจนเกินไป

        เปรี้ยวเสียจริง!!!

        หลังจากรับประทานอาหารแล้ว แม่นมฮวาก็เก็บกวาดชามและตะเกียบ ส่วนลวี่หลีก็เตรียมผลไม้จำนวนหนึ่งพร้อมแล้ว นางวางผลไม้ลงบนโต๊ะด้านขวาของลาน

        เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีทานผลไม้ไปเล็กน้อย ทั้งสองว่างงานว่างการไม่มีเรื่องให้ต้องทำ ซูจิ่นซีจึงแนะนำว่าควรเอากระถางดอกไม้บนเรือนอวิ๋นไคเหล่านั้นลงมาให้เยี่ยโยวเหยาเลือกสรรจำนวนหนึ่ง เพื่อนำไปวางประดับไว้ที่ตำหนักฝูอวิ๋น

        ดอกไม้ที่ซูจิ่นซีปลูกมีความแตกต่างจากดอกไม้ที่ผู้อื่นปลูกเล็กน้อย ดอกไม้เหล่านี้ล้วนเป็นยาจีนที่สามารถผลิดอกออกผล มีทั้งหวงฉิน [2] เฟิ่งเซียน [3] ฮั่วเซียง [4] ตู๋เจี่ยวเหลียน [5] หลูฮุ่ย [6] และอื่นๆ

        ซูจิ่นซีพบว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ใช่ผู้ที่ชื่นชอบดอกไม้อย่างที่เคยได้กล่าวไว้ ในตอนที่เลือกดอกไม้จึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มที่ใด

        ซูจิ่นซีแนะนำกระถางดอกไม้ให้เขาอยู่หลายใบ เยี่ยโยวเหยาก็ล้วนส่ายศีรษะต่อเนื่องไม่หยุด ท้ายที่สุดแล้ว คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะพอใจต้นหูเตี๋ยหลาน [7] สองกระถางที่ซูจิ่นซีวางไว้บนระเบียงชั้นสองของเรือนอวิ๋นไค ทว่าไม่ได้สั่งให้คนยกลงมา “นั่นแล้วกัน ย้ายไปวางไว้ที่ห้องหนังสือของข้าก็พอ”

        นั่นเป็นดอกไม้ที่ซูจิ่นซีโปรดปรานที่สุด! ไม่ง่ายเลยที่นางจะปลูกจนมันผลิดอก มันเป็นดอกไม้ที่ซูจิ่นซีรักที่สุดเลยทีเดียว! นางไม่สั่งให้ยกลงมาเพราะไม่ได้วางแผนว่าจะมอบให้เยี่ยโยวเหยา

        ทว่าเยี่ยโยวเหยาเอ่ยปากขอแล้ว ซูจิ่นซีก็ทำได้เพียงยอมสละทรัพย์สมบัติอันเป็นที่รัก

        ผู้ใดใช้ให้เขาเป็นเยี่ยโยวเหยาเล่า!

        แม่นมฮวาที่ยืนอยู่ด้านข้างตกตะลึงเล็กน้อย

        นอกจากนี้ยังมีพ่อบ้านที่ยืนอยู่ตรงปากประตูทางเข้าเรือนชิงโยว พร้อมที่จะเข้ามากระทำการเรื่องที่เยี่ยโยวเหยามอบหมาย

        คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่ง เยี่ยโยวเหยาจะได้สัมผัสถึงต้นไม้ใบหญ้า เดิมทีพวกเขาคิดว่าเยี่ยโยวเหยาเกิดมาเพื่อเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งเหล่านี้

        ทว่าเรือนชิงโยวมีสิ่งเหล่านี้บ้างก็ดีไม่น้อย ทำให้มีชีวิตชีวา!

        พระชายาช่างไม่ธรรมดาเสียจริง!

        การปรากฏตัวของนางสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อท่านอ๋องเป็นอย่างยิ่ง

        จะพูดอย่างไรดีเล่า… แม้ว่าพ่อบ้านจะไม่แสดงออกมากนัก ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องและพระชายา ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงของท่านอ๋องล้วนอยู่ในสายตาของเขา

        ในพระชนม์ชีพของท่านอ๋องราวกับว่า… ถูกดึงดูดเข้าไปในแสงของพระอาทิตย์

        หลังจากนั้น พ่อบ้านก็ไม่ได้เข้าไปรบกวนซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา เขาทำเพียงหันหลังเดินออกไปจากเรือนชิงโยว

        แม่นมฮวาขยิบตาอย่างรวดเร็ว ส่งสัญญาณว่าจะไปเข้านอน ทว่าก่อนจะออกไป นางก็ได้ถอนกำลังผู้ช่วยที่ดูแลเรือนชิงโยวออกไปด้วย

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ… เยี่ยโยวเหยาเพคะ… ”

        ซูจิ่นซีย้ายต้นหูเตี๋ยหลานเข้าไปไว้ในห้องหนังสือของเยี่ยโยวเหยา หลังจากที่เดินออกมาก็พบว่าเยี่ยโยวเหยาราวกับกำลังคิดสิ่งใดอยู่ด้วยท่าทีเหม่อลอยเล็กน้อย นางจึงยื่นมือโบกไปมาตรงหน้าของเยี่ยโยวเหยา

        เมื่อเยี่ยโยวเหยาได้สติกลับมา เขามองไปยังซูจิ่นซี มุมปากยกยิ้มขึ้น

        “คิดกระไรอยู่หรือเพคะ? ”

        เยี่ยโยวเหยาดึงซูจิ่นซีให้นั่งลงบนม้านั่งหินด้านข้างของตน หลังจากนั้นจึงหยิบขวดแก้วใสที่เขาชอบนำออกมาดูบ่อยๆ ออกมาจากอกเสื้อ

        “คิดถึงสิ่งนี้อยู่! ”

        “โอ้ นี้คือกระไรเพคะ? งดงามยิ่งนัก! ”

        ขวดแก้วใสสีฟ้าอ่อน ภายในบรรจุสิ่งที่ไม่รู้จัก คล้ายใยแมงมุมทว่าก็ดูไม่คล้ายเช่นกัน ราวกับสิ่งที่เป็นควันอย่างไรอย่างนั้น หากมองอย่างละเอียดก็ดูเหมือนน้ำ อย่างไรก็ตาม ของสิ่งนี้ทำให้คนรู้สึกถึงความลึกลับที่แปลกประหลาด อีกทั้งยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามันคือสิ่งใดกันแน่

        ซูจิ่นซีหยิบขวดแก้วจากในมือของเยี่ยโยวเหยานำมาเขย่าสองครั้ง ทว่าสิ่งของด้านในราวกับไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซูจิ่นซีกำลังคิดจะเปิดฝาดมกลิ่น ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็จับมือของนางเอาไว้ “ระวัง นี่เป็นพิษที่รุนแรง! ”

        พิษรุนแรง???

        ซูจิ่นซีรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย

        ระบบถอนพิษไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย!

        เป็นไปไม่ได้กระมัง?

        ทว่าการแสดงออกของเยี่ยโยวเหยาดูไม่เหมือนเป็นการล้อเล่น

        “พิษนี้มีชื่อว่าพิษอั้นหรานเซียวหุน สีของพิษที่เจ้ามองเห็นนั้นไม่มีกลิ่น ทว่าความเป็นพิษของมันสามารถแผ่ขยายไปได้ไกลเกินกว่าที่เจ้าจะคาดการณ์ได้ เพียงหยดเดียว ทุกคนในเมืองตี้จิงแห่งนี้ก็จะถูกกวาดล้างจนสิ้น”

        พระเจ้า!

        ซูจิ่นซีมองขวดแก้วในมือของตนเองอย่างยากที่จะเชื่อ

        กล่าวเช่นนี้ ฟังเหมือนกับอาวุธชีวภาพที่ญี่ปุ่นพัฒนาออกมาในช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่นอย่างไรอย่างนั้น

        “ตามตำนานเล่าว่า ในหลุมฝังศพของจิ่นอีโฮ่ว เทพเจ้าแห่งสงครามของราชวงศ์โจวตะวันตก ถูกผนึกด้วยความลับของการครองโลก บางคนกล่าวว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าหายาก บางคนกล่าวว่าคือทหารม้าจำนวนมาก ทว่าไม่มีผู้ใดทราบว่าข้างในนั้นคือสิ่งใดกันแน่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงตำแหน่งเฉพาะของสุสานจิ่นอีโฮ่ว ในพื้นพิภพโลกหล้าล้วนพูดกันปากต่อปากว่า เพียงแค่เปิดพิษอั้นหรานเซียวหุนออกเท่านั้น ก็จะสามารถไขปริศนาตำแหน่งของสุสานจิ่นอีโฮ่วได้”

        ขณะที่เยี่ยโยวเหยาพูดเช่นนี้ ซูจิ่นซีก็ทำเพียงจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขาตลอดเวลา

        นัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นดูเหมือนจ้องมองไปยังที่ที่ห่างไกลออกไป ไกลเสียจนซูจิ่นซีตระหนักได้ว่าจิตใจของเยี่ยโยวเหยานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด

        ความยิ่งใหญ่ของจวนโยวอ๋อง กระทั่งจงหนิงก็ล้วนไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลยด้วยซ้ำ

        สิ่งที่เขาต้องการอาจมากกว่านั้น

        นั่นคือจิตใจของบุรุษเงียบขรึมผู้หนึ่ง

        อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีกลับคิดว่า เหตุใดเรื่องราวเหล่านี้จึงฟังดูไม่น่าเชื่อถือนัก!

……

เชิงอรรถ

[1] ขวาก็ไม่ใช่ ซ้ายก็ไม่เชิง สุภาษิตจีน หมายถึง ทำสิ่งใดไม่ถูก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

[2] หวงฉิน คือ สมุนไพรจีน มีสรรพคุณช่วยขับร้อนหรือดับร้อนที่ปอด ขับพิษ หยุดเลือดและบำรุงครรภ์

[3] เฟิ่งเซียน คือ สมุนไพรจีน ชื่อไทยคือดอกเทียนบ้าน

[4] ฮั่วเซียง คือ สมุนไพรจีน ชื่อไทยคือต้นพิมเสน มีรสขมและฤทธิ์อุ่น มีสรรพคุณปรับสมดุลและขจัดความชื้นในกระเพาะอาหาร ระบายความร้อนอบอ้าว

[5] ตู๋เจี่ยวเหลียน คือ สมุนไพรจีน ชื้นแห้ง มีสรรพคุณแก้เสมหะ ขับลม หยุดอาการกระตุก ล้างพิษและขจัดความเมื่อยล้า

[6] หลูฮุ่ย คือ สมุนไพร ชื่อไทยคือว่านหางจระเข้ สรรพคุณของวุ้นว่านหางจระเข้ เป็นยาฆ่าเชื้อ สมานแผล ห้ามเลือด ในเวลาเดียวกันยังเป็นตัวกระตุ้นเซลล์เนื้อเยื่อให้เจริญเติบโต ทำให้แผลหายเร็วขึ้น

[7] ต้นหูเตี๋ยหลาน คือต้นกล้วยไม้ผีเสื้อราตรี ภาษาดอกไม้ หมายความถึงการมาถึงของรักแรก และมีความหมายว่า “ฉันรักคุณ”

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset