สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 123 ฐานะแม่ของข้าที่แท้จริงคือผู้ใด?

  ซูจิ่นซีมองไปยังรูปลักษณ์ของซูเมิ่งเหยา อดไม่ได้ที่จะป้องปากหัวเราะ “พรืด” ออกมา รอยยิ้มของนางดูสดใสเป็นพิเศษราวกับว่ากำลังชมการแสดงชั้นยอด

        “พี่หญิงสี่ เจ้าเก็บแรงเอาไว้เถิด! อ่อ! ไม่สิ เจ้าไม่ใช่พี่หญิงสี่ พี่หญิงสี่ผู้เป็นพี่สาวต่างมารดาที่น่าสงสารของข้านั้นถูกเจ้าฆ่าไปตั้งนานแล้วกระมัง? เจ้ามันปลอมเปลือก ข้าควรเรียกเจ้าว่าซิ่งหลิวหลี”

        ขณะที่ซูจิ่นซีพูดอยู่นั้น แววตาของนางก็ค่อยๆ มืดมนและเย็นชา “ซิ่งหลิวหลี ชีวิตนี้เจ้าถูกลิขิตไว้ให้ล้วนทำอันใดไม่ได้ทั้งสิ้น คนที่รักเจ้า บัดนี้เขาอยู่เคียงข้างเจ้าเพื่อรับโทษทัณฑ์ที่ไร้มนุษยธรรม ส่วนผู้ที่เจ้ารักที่สุดกลับอยู่เคียงข้างคนที่เจ้าจงเกลียดจงชังที่สุด ทุกสิ่งที่เจ้าต้องประสบอยู่ในตอนนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ที่เจ้าอุทิศตัวบูชาที่สุดประทานให้ เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว เจ้าเจ็บปวดหรือไม่? หืม? ”

        “ซูจิ่นซี เจ้ามันสตรีน่ารังเกียจ เจ้าหุบปาก! เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! ” ในที่สุดซูเมิ่งเหยาก็ถูกซูจิ่นซีทำให้เสียสติ นางเอื้อมมือออกมานอกรั้วอย่างบ้าคลั่ง

        ซูจิ่นซีนึกถึงพี่หญิงสี่ซูเมิ่งเหยาที่ตอนเด็กๆ ดีกับนางมาตลอด คาดไม่ถึงว่าจะตายด้วยน้ำมือของหญิงตรงหน้านางผู้นี้

        และคาดไม่ถึงว่าหญิงผู้นี้หลอกลวงนางมานานหลายปีเหลือเกิน ทั้งยังวางยาพิษเรื้อรังเข้าสู่ร่างกายนางทีละนิดๆ

        เมื่อคิดย้อนกลับไปในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา การถูกเยาะเย้ย ความอัปยศ และความคับข้องใจที่นางได้รับเนื่องจากรอยพิษบนใบหน้าของนาง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ซูจิ่นซีรู้สึกว่าการที่ซูเมิ่งเหยาได้รับโทษทัณฑ์เช่นนี้ยังไม่หนักพอ ไม่ร้ายแรงพอ ยังไม่สมกับความโกรธเกลียดในใจนางเสียด้วยซ้ำ

        ซูจิ่นซีหันกลับมาอย่างเย็นชา ไม่เหลือบมองไปยังดวงตาที่ราวกับคนเสียสติของซิ่งหลิวหลีแม้แต่น้อย

        นางข้ามภพมานานถึงเพียงนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีสัมผัสถึงความทรงจำที่แท้จริงของคนสองคนในร่างกายนี้ได้ ความผันผวนของชีวิตและอารมณ์ความรู้สึก ความปรารถนาแบบปุถุชนทั่วไป [1] ของคนสองคน

        ซูจิ่นซีผู้กล้าหาญและสดใสจากศตวรรษที่ 21 ซ่อนความเกลียดชังที่มิอาจจางหายไปของสตรีอีกผู้หนึ่งในโลกนี้ไว้ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ และนั่นคือปีศาจที่ซ่อนอยู่

        ซูจิ่นซีเดินมาถึงห้องขังของซูจ้ง นางยังได้พบกับบุคคลอีกผู้หนึ่ง นั่นก็คืออวิ๋นจิ่น

        อวิ๋นจิ่นกำลังพันแผลให้ซูจ้งอยู่

        “พระชายา พวกเราได้พบกันอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ”

        เมื่ออวิ๋นจิ่นเห็นซูจิ่นซี เขายังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนและอบอุ่น กวาดล้างความขุ่นมัวภายในใจของซูจิ่นซี

        “หมอหลวงอวิ๋น ท่านเป็นผู้ที่การงานยุ่งมากผู้หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าในคุกหลวงแห่งนี้ยังมีผู้ป่วยของท่านอีกด้วย” ซูจิ่นซีพูดเป็นนัย

        ชื่อเสียงของอวิ๋นจิ่นช่างกว้างขวางเสียจริง!

        เรื่องเล็กน้อยเช่นการพันแผลให้คนในคุกหลวง เขาไม่จำเป็นต้องมาทำด้วยตนเองหรอกกระมัง?

        “พระชายาพูดล้อเล่นอีกแล้ว กระหม่อมกับหัวหน้าหมอหลวงซูเป็นเพื่อนร่วมงานกัน สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการทำงานร่วมกันเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ แม้กระหม่อมไม่เห็นแก่หน้าตาและตำแหน่งของหมอหลวงซู ก็ต้องรักษาเกียรติของพระชายา กระหม่อมจึงมาเพื่อดูอาการบาดเจ็บของหัวหน้าหมอหลวงซูพ่ะย่ะค่ะ”

        อวิ๋นจิ่นทำเช่นนี้เพื่อรักษาเกียรติของซูจิ่นซีหรือ?

        คำพูดคำจาของอวิ๋นจิ่นมักจะทำให้คนสบายใจยิ่งนัก

        “เช่นนั้นก็ต้องลำบากหมอหลวงอวิ๋นแล้ว! ” ซูจิ่นซีพูดขึ้น พร้อมทั้งยกยิ้มอย่างแผ่วเบา

        “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ บาดแผลของหัวหน้าหมอหลวงซูพันไว้เรียบร้อยแล้ว กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ หากมีเรื่องอันใดต้องการเรียกใช้กระหม่อม ท่านสามารถให้คนมาแจ้งกระหม่อมได้พ่ะย่ะค่ะ”

        “ได้! ” ซูจิ่นซีพยักหน้า

        หลักจากที่อวิ๋นจิ่นจากไป ซูจิ่นซีก็เข้าไปในห้องขัง

        นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าซูจ้งจะฆ่าตัวตาย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการทำฮาราคีรี [2] ด้วย

        อย่างไรก็ตามในฐานะแพทย์ ฝีมือของซูจ้งแม่นยำมากทีเดียว แม้มีดจะแทงถูกจุดสำคัญ ทว่าเขาได้ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าแล้วว่าตนจะไม่ตาย

        “บิดาของข้า เพื่อที่จะได้พบหน้าข้า ท่านต้องทุกข์ยากลำบากยิ่งนัก! ” ซูจิ่นซีจงใจกดเสียงในประโยคสุดท้าย

        ซูจ้งหัวเราะขึ้นมาอย่างขมขื่น “หากไม่ทำเช่นนี้ แล้ววันนี้พ่อจะบังคับเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรเล่า? ”

        “พูดมาเถิด! ท่านหมายความว่ายังไง? ”

        ซูจิ่นซีหยิบของที่พัศดีมอบให้นางออกมาจากแขนเสื้อแล้วโยนลงบนโต๊ะต่อหน้าซูจ้ง

        นั่นเป็นเพียงกระดาษแผ่นหนึ่ง ภาพด้านบนเป็นลวดลายของหยกกิเลน

        เมื่อทราบว่าหยกกิเลนเป็นของของนาง ทั้งยังเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาอีกด้านหนึ่งของกำไลข้อมืออีกด้วย ซูจิ่นซีจึงเกิดความสนใจในหยกกิเลนเป็นอย่างยิ่ง นางรู้สึกว่าต้องมีความลับที่ใหญ่หลวงเก็บซ่อนอยู่เบื้องหลังของสิ่งนี้อย่างแน่นอน

        ซูจ้งยกยิ้มที่มุมปาก ราวกับประสบความสำเร็จในเล่ห์เพทุบายของตน “จิ่นซี เจ้ายังเด็กเกินไป”

        รอยยิ้มดังกล่าวทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกเกลียดเข้ากระดูก นางแทบรอไม่ไหวที่จะโยนกระดาษแผ่นนั้นลงบนใบหน้าของซูจ้ง

        “หยกกิเลนกับท่านแม่ของข้าเกี่ยวข้องกันอย่างไร? เหตุใดท่านต้องฆ่านาง ข้าไม่ใช่เด็กน้อยและไม่ใช่คนโง่เขลาดังเช่นซูจิ่นซีคนเดิม ท่านควรอธิบายกับข้าได้แล้ว”

        ต่อให้ซูจิ่นซีต้องตาย นางก็ไม่มีวันลืมเหตุการณ์ในวันที่มารดาของนางเสียชีวิต

        เคราะห์ร้ายยิ่งนัก

        บนพื้นนองไปด้วยเลือด ย้อมร่างกายของนางให้แดงฉาน

        ซูจิ่นซีวิ่งเข้าไปในกองเลือด ตะโกนเรียกหาท่านแม่ไม่หยุด ทว่าหาอย่างไรก็หาไม่พบ เหตุการณ์สุดท้ายที่นางเห็นในสถานที่ไม่คุ้นเคย คือซูจ้งใช้กริชแทงที่หน้าอกมารดาของนาง

        ทั่วแผ่นฟ้าเต็มไปด้วยอีกาดำ ร้องระงมอย่างโศกเศร้า

        สีสันในชีวิตของนางวันนั้นราวกับเหลือเพียงสองสีเท่านั้น อีกาสีดำและเลือดสีแดง

        ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ระดับสติปัญญาของซูจิ่นซีก็หยุดลงที่อายุเจ็ดปีไปตลอดกาลเพราะนางทนรับแรงกระทบกระเทือนในจิตใจไม่ไหว

        ซูจิ่นซีกำหมัดแน่น ดวงตาโหดร้ายนำมาซึ่งรัศมีแสงอันเจิดจ้า นางกระแทกหมัดลงบนโต๊ะเบื้องหน้าซูจ้ง “ซูจ้ง ชีวิตแลกชีวิต ข้าจะฆ่าท่านเดี๋ยวนี้! ”

        ซูจ้งไม่เคยเห็นซูจิ่นซีเป็นเช่นนี้มาก่อน เขาตกใจกับท่าทางของซูจิ่นซี พลางกลืนน้ำลายแห้งๆ “ซูจิ่นซี ข้าไม่ได้ฆ่าแม่ของเจ้า”

        “ข้าเห็นกริชในมือของท่านแทงอกของนางกับตาตนเอง ท่านยังจะพูดว่าไม่ได้ฆ่าหรือ?”

        ซูจิ่นซีแทบรอไม่ไหวที่จะทุบศีรษะของซูจ้ง

        “บางครั้งสิ่งที่ตาเห็นอาจไม่เป็นความจริง ทว่าข้าเท่านั้นที่รู้ความจริง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความลับที่ยิ่งใหญ่มากกว่า หากเจ้าต้องการทราบ เจ้าต้องทำเรื่องหนึ่งให้ข้า”

        นี่คือจุดประสงค์แท้จริงที่ซูจ้งให้ซูจิ่นซีมาใช่หรือไม่?

        คิดไม่ถึงว่าป่านนี้แล้ว ซูจ้งยังต้องการใช้นางเป็นเครื่องมือ

        ในที่สุดซูจิ่นซีก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางกำหมัดชกไปยังใบหน้าของซูจ้งอย่างแรง พลางกัดฟันถามขึ้นว่า “ซูจ้ง เหตุใดข้าจึงมีบิดาเช่นท่านกัน? เหตุใดท่านไม่ตายไปเสีย? เหตุใดปีนั้นคนที่ตายถึงไม่เป็นท่าน? เหตุใดกัน? ”

        ศีรษะของซูจ้งกระแทกลงกับพื้น เขาเช็ดเลือดที่มุมปาก ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ริมฝีปากเผยรอยยิ้มเย็นชากล่าวว่า “ซูจิ่นซี นี่เป็นชีวิตของเจ้า! นี่เป็นชีวิตของเจ้ากับแม่ของเจ้า! ”

        ซูจิ่นซีอยากเข้าไปชกซูจ้งอีกสักครั้ง ทว่านางยังอดทนไว้ได้ หมัดที่กำอยู่ข้างลำตัวสั่นสะท้าน

        “ซูจิ่นซี เจ้าต้องการทราบหรือไม่ว่าใครเป็นผู้ที่ฆ่าแม่ของเจ้า? ต้องการทราบฐานะที่แท้จริงของแม่เจ้าหรือไม่ว่านางเป็นผู้ใด? หากเจ้าต้องการทราบ ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้า เจ้าจะต้องช่วยข้าให้สำเร็จให้ได้ มิเช่นนั้น ชีวิตนี้เจ้าอย่าหวังว่าจะได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดเลย”

        “ไปตายซะ! ”

        ซูจิ่นซีคว้าเชิงเทียนบนโต๊ะทุบไปทางด้านหลังศีรษะของซูจ้ง

        รอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากของซูจ้งปรากฏออกมาเพียงครึ่งเดียว ดวงตาของเขาเบิกกว้างอยู่ครู่หนึ่งก็ล้มลงไปกับพื้น

        “ให้ตายเถิด! คนอื่นบังคับข้าก็ช่างประไร ท่านยังบังคับข้าอีก พญายมเหตุใดท่านจึงปล่อยให้ขยะผู้นี้อยู่บนโลกใบนี้อีก ขยะ ขยะ ขยะ… ”

        ซูจิ่นซีพุ่งไปด้านหน้าและเตะซูจ้งอย่างรุนแรง ทั้งยังกระโดดชกต่อยและใช้เท้าเตะ

        แม้ซูจ้งจะเป็นบิดาแท้ๆ ทว่าในที่สุดซูจิ่นซีก็อดรนทนไม่ไหว ระเบิดออกมา

……

เชิงอรรถ

[1] อารมณ์ความรู้สึกความปรารถนาแบบปุถุชนทั่วไป สุภาษิตจีน หมายถึง ความสุข ความโกรธ ความกังวล ความคิด ความเศร้า ความกลัว และความตกใจ ส่วนความปรารถนาหรือความอยากของมนุษย์นั้นมี 6 อย่างด้วยกัน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

[2] ทำฮาราคีรี คือ การฆ่าตัวตายด้วยการคว้านท้อง

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset