สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 138 คุยกับคนฉลาดจะต้องอ่อนโยน

        อนุปี้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

        อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นานอนุปี้ยังคงกล่าวขึ้นว่า “พระชายาเพคะ หม่อมฉันได้ตัดสินใจแล้ว ขอพระชายาโปรดอนุญาต”

        ยังจะต้องอนุญาต?

        ซูจิ่นซียิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าวว่า “เอาล่ะ ในเมื่ออนุปี้ตัดสินใจแล้ว ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะพูด ทว่าอนุปี้ ท่านจะต้องคิดให้กระจ่าง หากท่านยังอยู่ในจวนต่อไป วันหลังหากจวนสกุลซูตกอยู่ในมือของซูจวิ้นจริงๆ ยังจะมีที่สำหรับน้องชายซูอวี้ผู้นี้อีกหรือ? แม้ท่านจะพาซูอวี้หนีไป ทว่าท่านต้องการให้ซูอวี้แบกรับความอับอายที่ไม่มีพ่อและปล่อยให้ผู้อื่นกล่าวถึงข้อบกพร่องนี้ไปตลอดชีวิตเช่นนั้นหรือ? ”

        พอคิดไปแล้ว ซูจ้งมีซูจวิ้นกับซูอวี้ที่เป็นบุตรชายเพียงสองคนเท่านั้น หากจวนสกุลซูตกอยู่ในมือของซูจวิ้นจริง ตามนิสัยการกระทำของฮั่วซื่อก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะยอมให้ซูอวี้มีชีวิตอยู่ในจวนต่อไป แม้ว่าอนุปี้สองแม่ลูกจะนิ่งเฉยอยู่อย่างสงบเสงี่ยม

        ประการนี้อนุปี้ทราบดีที่สุด

        อนุปี้ไม่กล่าวสิ่งใดอยู่ครู่หนึ่ง

        ซูจิ่นซียกยิ้มแผ่วเบา “ในเมื่ออนุปี้ยังดื้อดึงไม่เปลี่ยนใจ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะกล่าวแล้ว ส่งแขกเถิด! ”

        “อนุปี้ เชิญ! ” แม่นมฮวากล่าวขึ้น

        อนุปี้ยืนขึ้นจูงซูอวี้เดินออกไปด้านนอก ทว่าเมื่อครู่ซูจิ่นซีมองออกว่าการแสดงออกบนใบหน้าของอนุปี้ขณะนี้ไม่มั่นคงเหมือนตอนแรกแล้ว

        ยิ่งกว่านั้นซูอวี้ยังหันศีรษะกลับมามองซูจิ่นซี สายตาเต็มไปด้วยการรอคอยความช่วยเหลือ

        แท้จริงแล้วอนุปี้นั้นดื้อรั้นและเข้มแข็งกว่าที่ซูจิ่นซีคิดไว้มาก สตรีเช่นนี้มีความแน่วแน่ในการกระทำสิ่งต่างๆ ดังนั้นซูจิ่นซีทราบดีว่าแม้จะโน้มน้าวใจมากมายเพียงใดก็ไร้ประโยชน์

        ในตอนนี้นางกำลังพนันกับอนุปี้ พนันว่าอนุปี้ยังคงมีความทะเยอทะยานเพื่ออำนาจสูงสุดของสกุลซูอยู่ พนันว่าในใจของอนุปี้ยังคงต้องการต่อสู้เพื่ออนาคตที่สวยงามของซูอวี้

        ทว่านางกลับจูงซูอวี้ออกไปอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลง

        ซูจิ่นซีประหม่าเป็นอย่างยิ่ง หัวใจเต้น “ตุบตุบตุบ” อย่างรุนแรง เงาร่างของทั้งสองคนแทบจะหายไปจากสายตาของซูจิ่นซีแล้ว ทว่าอนุปี้ยังคงไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจ

        สุดท้ายทั้งสองคนก็จากไปในที่สุด

        ซูจิ่นซีอารมณ์ไม่ดีและความคิดสับสนยิ่งนัก

        อนุปี้ผู้นี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่คนธรรมดา

        การเดินทางมาจวนสกุลซูครั้งนี้ เรื่องจัดการกับฮั่วซื่อยังไม่ยากเท่าจัดการกับอนุปี้เลย

        ดูเหมือนว่าความต้องการให้อนุปี้เห็นด้วยที่จะให้ซูอวี้เข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกครั้งนี้ยากกว่าการจัดการกับฮั่วซื่อมาก

        “พระชายาเพคะ อันที่จริงหากท่านต้องการให้นายน้อยอวี้เข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกครั้งนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนี้นะเพคะ”

        แม่นมฮวาเห็นใบหน้าโศกเศร้าของซูจิ่นซี จึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านเป็นถึงพระชายาขั้นสี่ เพียงท่านออกคำสั่งให้นายน้อยอวี้เข้าร่วม เช่นนั้นอนุปี้จะกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของท่านโดยไม่คำนึงถึงชีวิตและความตายอย่างนั้นหรือ? ท่านใจดีเกินไปแล้วเพคะ”

        หากเรื่องเป็นเหมือนที่แม่นมฮวากล่าวเช่นนั้น ซูจิ่นซียังจะคิดไม่ได้หรือ?

        หากจะจัดการผู้อื่น วิธีการของแม่นมฮวาอาจเป็นไปได้ ทว่าบุคคลในตอนนี้คืออนุปี้

        ตั้งแต่พบกับอนุปี้ครั้งแรก ซูจิ่นซีก็รู้ว่าอนุปี้เป็นผู้ที่ไม่ธรรมดา หากบังคับนาง อนุปี้อาจเห็นด้วยจริง ทว่าซูอวี้ยังเป็นเด็กที่เชื่อฟังคำพูดของอนุปี้เป็นอย่างมาก หากในระหว่างการแข่งขันอนุปี้บอกให้ซูอวี้ไม่ต้องทำอย่างเต็มที่ที่สุด ถึงเวลานั้นจะยิ่งลำบากขึ้นไปอีก

        ซูจิ่นซีอารมณ์ไม่ดี ความคิดสับสนยิ่งนัก นางไม่อยากพูดจาอันใดจึงให้ลวี่หลียกน้ำล้างหน้าเข้ามา หลังจากรู้สึกสดชื่นขึ้น ซูจิ่นซีจึงต้องการพักผ่อน

        อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงว่า ขณะที่นางต้องการปิดประตูเพื่อพักผ่อนนั้น นางกลับมองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งยืนอยู่ในห้อง

        คนผู้นั้นสวมเสื้อสีคราม ในมือจูงเด็กคนหนึ่งไว้ ไม่ใช่อนุปี้กับซูอวี้แล้วจะยังเป็นผู้ใดได้อีก?

        “พระชายาเพคะ หากว่าอวี้เอ๋อร์เต็มใจที่จะเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ ท่านสามารถรับประกันความปลอดภัยของพวกเราสองแม่ลูกได้หรือไม่? ”

        อนุปี้มอบซูอวี้ให้กับแม่นมฮวา ให้แม่นมฮวาพาซูอวี้ไปที่ห้องโถงใหญ่ จากนั้นจึงพูดกับซูจิ่นซี

        อนุปี้ยอมให้ซูอวี้เข้าร่วมแล้ว?

        ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าอนุปี้คิดอันใดอยู่กันแน่ นางจึงไม่พูดอันใด

        อนุปี้กล่าวต่อว่า “ควมจริงที่หม่อมฉันไม่เห็นด้วยกับพระชายาเมื่อครู่นั้น ด้านหนึ่งเพราะหม่อมฉันไม่ต้องการพูดถึงข้อโต้เถียงในจวนต่อหน้าลูก อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงเด็กอายุแปดขวบ อีกด้านหนึ่ง… ”

        อนุปี้เหลือบมองซูจิ่นซี มีความลังเลไม่ต้องการพูดเล็กน้อย

        ทว่าซูจิ่นซีคาดเดาได้อยู่แล้วว่าอนุปี้ต้องการจะกล่าวอันใด จึงกล่าวต่อจากนางว่า “อีกด้านหนึ่งเจ้าต้องการจะทดสอบข้า? อนุปี้ เจ้ากล้ามากนะ”

        อนุปี้รีบก้มศีรษะลงต่ำ “พระชายาโปรดอภัย หม่อมฉันไม่มีเจตนาร้ายเพคะ ขอพระชายาโปรดพิจารณาด้วย”

        “อนุปี้ หากเมื่อครู่ข้าใช้อำนาจกดดันให้บุตรชายของท่านเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ ท่านจะทำอย่างไร” ขณะที่พูดอยู่ ซูจิ่นซีก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้อนุปี้ “ตอนนี้ท่านต้องพูดมาตามตรง”

        อนุปี้เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่สวยงามจ้องมองไปที่ซูจิ่นซีอย่างจริงใจ “หม่อมฉันมิบังอาจปิดบังพระชายา อย่างไรก็ตามขอพระชายาอภัยโทษ หม่อมฉันจึงจะกล้ากล่าวเพคะ”

        “ได้! ”

        “หากเมื่อครู่พระชายาใช้อำนาจบังคับจริง หม่อมฉันก็จะทำตามแล้วปล่อยให้อวี้เอ๋อร์เข้าร่วม ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่พระชายาคงเข้าใจเป็นอย่างดีว่า หากคืนนี้พวกเราสองแม่ลูกเดินออกจากประตูฮั่นเซียงหยวนอาจจะไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้อีก อาจต้องตายด้วยน้ำมือของฮั่วซื่ออย่างแน่นอน ทว่าแม้ไม่ตายในมือของฮั่วซื่อ ตอนที่อวี้เอ๋อร์แข่งขันก็จะไม่พยายามทำให้ดีอย่างถึงที่สุดแน่นอนเพคะ”

        ดีนี่อนุปี้!

        ซูจิ่นซีจ้องมองนางอย่างเย็นชาเป็นเวลานาน “เอาล่ะ! ตราบใดที่ซูอวี้สามารถเข้าร่วมการแข่งขันนี้ได้ ข้าก็จะรับประกันความปลอดภัยของพวกท่านแม่ลูก ทว่าซูอวี้จะต้องได้รับตำแหน่งที่สูงที่สุดในการแข่งขัน”

        สายตาของอนุปี้พลันห่อเหี่ยวเศร้าหมองใจในทันที

        ซูจิ่นซีกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “อนุปี้ แท้จริงแล้วในใจของท่านเข้าใจดีว่าท่านไม่มีทางเลือก ตราบใดที่ซูอวี้อยู่ในรายชื่อการแข่งขัน พวกท่านสองแม่ลูกทำได้เพียงก้าวเข้าไปเท่านั้น ไม่มีทางเลือกให้ย้อนกลับ ท่านรู้ดีว่าหญิงสาวสกุลซูเหล่านี้มีความสามารถเพียงใด ซูอวี้กับซูจวิ้นก็อยู่ระหว่างความเป็นพี่เป็นน้อง หากซูอวี้ไม่สามารถรับตำแหน่งผู้สืบทอดสกุลซูในอนาคตได้ เช่นนั้นพวกท่านสองแม่ลูกก็คงเหลือเพียงเส้นทางแห่งความตายเท่านั้น”

        แม้คำพูดนี้จะดูโหดร้ายเป็นอย่างมาก ทว่าเป็นความจริง ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังเป็นคนฉลาดดังเช่นอนุปี้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องอ่อนโยนกับคนฉลาดมากจนเกินไป

        “เพคะ! หม่อมฉันขอบพระทัยพระชายา”

        “หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด ตามนิสัยของฮั่วซื่อ เพื่อป้องกันอันตรายที่ซ่อนอยู่ เกรงว่าคืนนี้นางจะกระทำสิ่งใดบางอย่างกับพวกเจ้าสองแม่ลูก คืนนี้เจ้ากับซูอวี้ไม่ต้องกลับไปแล้ว พรุ่งนี้ตอนเช้าข้าจะเตรียมการให้พวกเจ้า”

        ดังนั้น คืนนี้อนุปี้สองแม่ลูกจึงได้พักอยู่ที่เรือนฮั่นเซียง

        เช้าวันรุ่งขึ้นมีข่าวว่าเรือนของอนุปี้และซูอวี้ถูกคนบุกรุกเข้าไป ทว่าคนสารเลวนั้นกลับคว้าได้เพียงอากาศ เดิมทีอนุปี้กับซูอวี้ไม่ได้อยู่ในเรือน

        ผู้อยู่เบื้องหลังของฮั่วซื่อยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ ดังนั้นไม่ว่าอนุปี้สองแม่ลูกจะอยู่ที่ใด ตราบใดที่ต้องการปลิดชีพพวกเขา ไม่ว่าซูจิ่นซีจะซ่อนพวกเขาแม่ลูกไว้ที่ใด มือของฮั่วซื่อล้วนสามารถเอื้อมคว้าได้ แม้กระทั่งวังหลวงก็ปกป้องพวกเขาสองแม่ลูกไม่ได้

        ทว่ามีสถานที่แห่งเดียวในแผ่นฟ้าผืนนี้ อย่านับประสาฮั่วซื่อเลย แม้แต่พระหัตถ์ของฮ่องเต้ก็ไม่สามารถยื่นเข้ามาถึงได้

        ดังนั้นซูจิ่นซีจึงพาอนุปี้กับซูอวี้กลับมาที่จวนโยวอ๋องในทันที

        พอมาถึงจวนโยวอ๋องก็วางแผนให้อนุปี้กับซูอวี้พักอยู่ในจวน และซูจิ่นซีก็ขอให้พ่อบ้านหาคนผู้หนึ่ง…

        ในเวลานี้ ผู้ที่ซูจิ่นซีต้องการหานั้นเป็นผู้ใดกันเล่า?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset