สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 141 สุดยอดเด็กอัจฉริยะ

        เยี่ยโยวเหยาดึงซูจิ่นซีลุกขึ้นจากเตียงและกอดไว้ในอ้อมแขนอย่างแนบแน่น

        กอดอย่างรุนแรงยิ่ง รุนแรงยิ่ง

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ! ”

        “…”

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ! ”

        “…”

        “เยี่ย… ”

        และเยี่ยโยวเหยาก็จูบซูจิ่นซีอีกครั้ง

        ทว่าครานี้เยี่ยโยวเหยาไม่ได้จูบนานและไม่ได้รุนแรงมากนัก เยี่ยโยวเหยาจูบอย่างอ่อนโยนยิ่งนัก

        ในหัวใจของซูจิ่นซีเหมือนถูกสิ่งใดบางอย่างทำให้ยอมศิโรราบ

        ตอนที่เยี่ยโยวเหยาปล่อยตัวนางให้เป็นอิสระ ในหัวใจของซูจิ่นซีพลันรู้สึกว่างเปล่าอีกครั้ง

        “ต่อจากนี้ไป ในจวนโยวอ๋อง หากไม่มีการยินยอมจากข้า ห้ามพาเดรัจฉานตัวอื่นเข้ามา” เยี่ยโยวเหยากล่าวบังคับ

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ ทว่าข้าได้พาอนุปี้กับอวี้เอ๋อร์กลับมาด้วยแล้ว ท่านคงไม่ให้ข้าส่งพวกเขากลับไปใช่หรือไม่เพคะ? ” ซูจิ่นซีมีใบหน้าลำบากใจ “หากออกจากจวนโยวอ๋อง พวกเขาจะต้องถูกฮั่วซื่อทำร้ายจนตายอย่างแน่นอน ตอนนี้สถานที่ที่จะปกป้องพวกเขาได้มีเพียงจวนโยวอ๋องเท่านั้นนะเพคะ”

        “…”

        “ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องของจิ่วหรงนั้นเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ท่านโปรดฟังข้าอธิบาย… ”

        ซูจิ่นซีอธิบายให้เยี่ยโยวเหยาฟังถึงจุดประสงค์ในการให้จิ่วหรงมาอีกครั้ง แม้การแสดงออกบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยายังคงไม่น่ามอง ทว่าไม่ได้มืดหม่นเหมือนในคราแรก

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ ตอนนี้มีเพียงจิ่วหรงที่สามารถช่วยอวี้เอ๋อร์ได้”

        ซูจิ่นซียังคงเพียรพยายามพูดสิ่งดีๆ ของจิ่วหรงต่อหน้าเยี่ยโยวเหยา อย่างไรก็ตามจิ่วหรงยังได้ช่วยนางมากมายถึงเพียงนั้น

        “ซูจิ่นซี เจ้าพบเจอปัญหา ไม่เคยคิดที่จะขอร้องข้าเลยใช่หรือไม่? ” เยี่ยโยวเหยาจ้องไปที่ซูจิ่นซีและพูดอย่างเย็นชา

        ซูจิ่นซีรู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย นางมองไปยังเยี่ยโยวเหยา

        ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ได้มองซูจิ่นซีนานนัก ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็ลุกขึ้นและเดินออกไปนอกตำหนักฝูอวิ๋น “ตอนเที่ยงข้าจะขอให้หมอเทวดาหวามาสอนทักษะการแพทย์ให้เด็กสารเลวนั่น หลังจากนี้เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่ใดเด็ดขาด จงอยู่ที่ตำหนักฝูอวิ๋น ให้ข้าดูแลเจ้าให้ดี”

        ซูจิ่นซีตกตะลึงในทันที ใช้เวลาครู่ใหญ่ถึงจะตอบสนอง

        จริงด้วย!

        บริวารใต้พระหัตถ์ของเยี่ยโยวเหยาไม่ใช่ว่ายังมีหมอเทวดาหวาหรอกหรือ?

        ผู้ที่ใช้ยากระดูกหยกดำรักษาซี่โครงของซูจิ่นซี ท่านผู้นั้นเก่งกาจมาก!

        เหตุใดซูจิ่นซีจึงลืมเขาได้เล่า

        ทว่า…

        ซูจิ่นซีมองร่างของเยี่ยโยวเหยาที่ลับหายไปจากเรือนชิงโยวผ่านทางหน้าต่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่

        ดูเหมือนว่านางจะไม่เข้าใจเยี่ยโยวเหยามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่เขาโกรธหรือว่าไม่ได้โกรธกันแน่!

        ทว่าภายในใจของเยี่ยโยวเหยาตอนนี้ ความใส่ใจต่อซูจิ่นซีนั้นเป็นเรื่องจริง

        แม้ว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่เคยกล่าวออกมาจากปาก ทว่าซูจิ่นซีก็รู้สึกได้ว่าเยี่ยโยวเหยานั้นห่วงใยตนเองจริงๆ

        นี่คือสัญชาตญาณสัมผัสที่หกของสตรี

        ซูจิ่นซีกำลังคิดถึงคำพูดเหล่านั้นระหว่างเยี่ยโยวเหยาหลังจากตื่นนอน หัวใจเต็มไปด้วยความสดใสเบิกบาน

        ทันใดนั้นเสียงของอวี้เอ๋อร์และทหารองครักษ์ก็ดังมาจากด้านนอกประตู

        “หยุด ที่นี่เจ้าเข้าไปไม่ได้! ”

        “พี่องครักษ์ ข้าต้องการเข้าไปหาพี่สาวของข้า พี่สาวข้าอยู่ด้านในขอรับ”

        “ที่นี่เป็นตำหนักบรรทมของท่านอ๋อง ผู้ใดก็เข้าไปไม่ได้”

        “ท่านให้ข้าเข้าไปเถิด! ข้าต้องการมาหาพี่สาวข้าจริงๆ พี่สาวข้าคือพระชายาของพวกท่าน”

        ……

        แม้ด้านนอกจะไม่มีเสียงแล้ว ทว่าซูจิ่นซีกลับมองไม่เห็นซูอวี้เข้ามา ทหารองครักษ์คงไม่ยอมปล่อยเขาเข้ามาเป็นแน่

        “ใช่อวี้เอ๋อร์หรือไม่? ”

        “ใช่แล้วท่านพี่จิ่นซี เป็นข้าซูอวี้”

        “ให้เขาเข้ามาเถิด! ” ซูจิ่นซีกล่าว

        “นี่… ”   เสียงของทหารองครักษ์ด้านนอกมีความลำบากใจเล็กน้อย

        ซูจิ่นซีจงใจทำเสียงไม่พอใจและกล่าวว่า “เหตุใดกัน? ในสายตาพวกเจ้าไม่เห็นข้าผู้นี้เป็นพระชายาหรือ? แม้แต่คำพูดของข้าก็ไม่ฟังเสียแล้ว”

        ห้องนอนของเยี่ยโยวเหยาไม่อนุญาตให้คนเข้าไปจริง หากไม่ใช่เยี่ยโยวเหยายินยอม แม้แต่ซูจิ่นซีก็เข้าไปไม่ได้

        “พระชายา หากไม่มีคำสั่งของท่านอ๋อง พวกเราไม่กล้ากระทำการโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ขอพระชายาโปรดอภัย! ” ทหารองครักษ์ปฏิเสธอย่างนอบน้อม

        ซูจิ่นซีโมโหแล้ว นางลุกขึ้นมาจากเตียง สวมเสื้อผ้าและเดินออกประตูไป

        ซูจิ่นซีคว้ามือของซูอวี้และกล่าวว่า “ไป! กลับไปเรือนของพวกเรา! ”

        ความจริงร่างกายของซูจิ่นซีในตอนนี้ยังคงอ่อนแอยิ่งนัก เมื่อครู่ตอนที่ลุกขึ้นมานางก็เกือบจะเป็นลมล้มลงไปแล้ว บัดนี้ที่ดึงมือของซูอวี้ให้เดินไป ร่างกายของนางยังคงสั่นสะท้านและเดินได้อย่างไม่มั่นคงนัก

        ทหารองครักษ์สองนายที่หน้าประตูตำหนักฝูอวิ๋นมองตามด้านหลังที่โกรธเกรี้ยวของซูจิ่นซี อดไม่ได้ที่จะลูบคอของตนเอง

        ไม่ให้เด็กน้อยผู้นั้นเข้าไป ทำถูกหรือผิดกันนะ?

        แม้พวกเขาจะปฏิบัติตามกฎก่อนหน้านี้ของท่านอ๋อง ทว่าหลังจากการปรากฏตัวของพระชายา กฎที่เข้มงวดก่อนหน้านี้ก็ราวกับมีข้อยกเว้นมากมายสำหรับพระชายา เหตุใดพวกเขาจึงรู้สึกว่าศีรษะบนลำคอของตนเองกำลังไม่ปลอดภัยกันเล่า?

        “อวี้เอ๋อร์ มาหาพี่จิ่นซีมีเรื่องอันใด? ”

        ซูจิ่นซีถาม หลังจากพาซูอวี้เข้าไปในเรือนอวิ๋นไค

        ซูอวี้ดูเหมือนกังวลเกี่ยวกับบางอย่าง เขามองไปทางประตูของเรือนชิงโยว

        ซูจิ่นซียิ้มและกล่าวว่า “วางใจได้ เยี่ยโยวเหยาออกไปทำงานแล้ว เขายุ่งมาก ไม่กลับมาเร็วถึงเพียงนั้นหรอก”

        “อ้อ พ่ะย่ะค่ะ! ”

        ซูอวี้สบายใจขึ้นยิ่งนัก

        ซูจิ่นซียิ้มและลูบหน้าผากของซูอวี้เล่นเล็กน้อย “กลัวเยี่ยโยวเหยาสินะ! ”

        “ท่านพี่จิ่นซี โยวอ๋องน่ากลัวมากจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ! ตัวจริงเขาน่ากลัวกว่าที่ผู้คนด้านนอกกล่าวขานกันหลายเท่านัก ไม่ดีเท่ากับพี่ชายจิ่วหรงที่มาเมื่อวานแม้แต่น้อย”

        ตอนที่ซูอวี้กล่าวถึงเยี่ยโยวเหยานั้น การแสดงออกบนใบหน้าของเขาเกินจริงเป็นอย่างมาก

        ซูจิ่นซียิ้มและบีบจมูกของซูอวี้ “กลัวแล้วเจ้ายังกล้าทุบเขาให้หมดสติได้ เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือ? ”

        ซูอวี้ดูเหมือนจะกลัวจริงๆ ขึ้นมาเสียแล้ว ดวงตากลมเผยให้เห็นความกังวลภายในใจ “หากข้าไม่ทำเช่นนั้น ในตอนนั้นโยวอ๋องคงบีบคอท่านพี่จนตายจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”

        “เอาล่ะ พี่ทำให้เจ้าตกใจกลัวแล้ว! มันไม่ได้เกินจริงถึงเพียงนั้นหรอกนะ” ซูจิ่นซีกล่าวพลางลูบหัวของซูอวี้สองครั้ง

        ซูจิ่นซีชอบเจ้าตัวเล็กนี่เสียจริง แม้เขาจะอายุเพียงแปดขวบ ตัวน้อยตัวนิด ทว่าใบหน้ากลับดูดี ความน่าดึงดูดใจสูง มอบแวบเดียวก็รู้ว่า เมื่อโตขึ้นคงเป็น ‘เทพบุตร’ ผู้หนึ่งอย่างแน่นอน

        ทว่าโดยไม่ทันคาดคิด ทันใดนั้นซูอวี้กลับตบมือของซูจิ่นซีออกอย่างหมดความอดทน “อย่าเอะอะกระไรก็ลวนลามข้า ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นท่านเป็นสตรี ยิ่งแตะต้องไม่ได้ ท่านเข้าใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”

        ซูจิ่นซีตกตะลึงทันที ทว่าไม่นานก็ยื่นมือออกไปอีกครั้งและหยิกแก้มเล็กๆ ของซูอวี้ “โอ้โห ขี้โมโหไม่ธรรมดาเลยนะ เจ้าเด็กเมื่อวานซืน! ”

        แม้ซูอวี้จะไม่รู้ว่าเด็กเมื่อวานซืนคือสิ่งใด ทว่าเขารู้ว่าเขาไม่ชอบฟังอย่างแน่นอน ซูอวี้จ้องซูจิ่นซีด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่ใช่เด็กเมื่อวานซืน! ”

        “เด็กน้อยน่ารัก! ”

        ซูจิ่นซีหยิกแก้มของซูอวี้อีกครั้ง

        “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ใช่เด็กน้อย! ห้ามแตะต้องข้า! ”

        “เจ้าเด็กอ่อนหัด ยังไม่โต คำพูดคำจาไม่เบาเลยนะ”

        ซูจิ่นซีกดไหล่ของซูอวี้และลูบหัวอย่างแรง ถูผมที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีของซูอวี้ให้เป็นเล้าไก่

        ซูอวี้ยืนอยู่จุดเดิม กำหมัดเล็กๆ สองข้างแน่น แก้มเป่าลมป่อง ดวงตาจ้องมองเหมือนเสือตัวน้อย

        “ข้าบอกว่า ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว! ”

        ซูจิ่นซีกลับคิดว่าน่าสนุกดี นางมองท่าทางของซูอวี้ที่ทำอันใดนางไม่ได้ ก็ปิดปากแล้วหัวเราะเยาะอย่างหนักหน่วง

        แม่นมฮวาที่ยืนอยู่ด้านข้างมองซูอวี้กับซูจิ่นซีอย่างหมดหนทางยิ่ง ทว่าไม่กล้าเปิดปากพูดกับซูจิ่นซีโดยตรง ทำได้เพียงบูดบึ้งในใจและรู้สึกเอ็นดูซูอวี้ไม่หยุด

        พระชายา ท่านอายุเท่าไรหรือ?

        กลั่นแกล้งเด็กน้อยเช่นนี้ดีจริงๆ หรือ?

        ซูจิ่นซีก็เป็นเช่นนี้ นางแกล้งซูอวี้เล่น ให้เด็กที่ยังไม่โตกลายเป็นเหมือนลูกบอลขนอันเล็ก บีบไปบีบมา กระทั่งบีบหน้าของเขาจนยืด

        อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่ได้ทำร้ายซูอวี้ให้บาดเจ็บจริงๆ เพียงแต่คิดว่าเด็กผู้นี้น่าสนุกยิ่งนักก็เท่านั้น

        หลายครั้งที่ซูอวี้ ‘อดทนจนแทบไม่ไหว’ ถูกซูจิ่นซีกวนโมโหจนอยากกระโดดเข้าไปกัดซูจิ่นซี ทว่าซูอวี้กลับอดทนไว้ได้ทั้งสิ้น

        จนกระทั่งหมอเทวดาหวามา ซูจิ่นซีถึงจะหยุด

        ในเวลานี้เองที่ซูจิ่นซีพึ่งจะเข้าใจว่า ซูอวี้เป็นเหมือนที่เขาพูดไว้จริงๆ เขาไม่ใช่เด็กน้อยธรรมดาทว่าเป็นสุดยอดเด็กอัจฉริยะ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset