สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 145 ทำดีหวังผล

        หลังจากนั้นไม่นาน ซูจิ่นซีก็ยกยิ้มพลางบีบแก้มของซูอวี้ “เจ้าหนู พูดสิ คืนนั้นเจ้าจงใจมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าใช่หรือไม่! แท้จริงแล้วเจ้าอยากมีส่วนร่วมในการแข่งขันคัดเลือกทายาทนี้ใช่หรือไม่? ”

        ซูอวี้ถูกซูจิ่นซีซักไซ้ความคิดในใจจนหมดเปลือก เด็กชายก้มหน้าลงต่ำอย่างอ้อยอิ่ง ทันใดนั้นก็คิดกระไรขึ้นมาได้ ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความกังวลพลางถามซูจิ่นซีว่า “ท่านพี่จิ่นซี ท่านผิดหวังและเสียใจใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? อยากให้อวี้เอ๋อร์เข้าร่วมการแข่งขันหรือไม่? ”

        “เช่นนั้นเจ้าว่า เหตุใดเจ้าจึงต้องการเข้าร่วมการแข่งขันเล่า? ” ใบหน้าของซูจิ่นซีไร้ซึ่งรอยยิ้ม นางเอ่ยถามซูอวี้อย่างจริงจัง

        ซูอวี้เม้มปากกล่าวว่า “หลังจากเข้าร่วมการแข่งขันแล้ว ข้าสามารถไปที่ห้องยาเพื่อวินิจฉัยโรคได้ เมื่อถึงเวลานั้นความรู้เหล่านั้นที่เรียนจากท่านพ่อและท่านแม่ ทั้งยังมีทฤษฎีทางการแพทย์ที่เรียนรู้ในตำราก็สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ ยังมี… ข้ายังมีเงินที่สามารถดูแลมารดาของตนเองได้ ในทุกวันให้ท่านแม่กินดีขึ้นหน่อย มีเสื้อผ้าสวมใส่ดีขึ้นหน่อย ไม่ต้องกังวลแล้วว่าท่านพ่อจะไม่ให้เงินพวกเราใช้”

        ใบหน้าของซูจิ่นซีตกตะลึง

        ไม่ต้องสงสัยเลยว่าประโยคครึ่งหลังของซูอวี้นั้น ซูจิ่นซีสามารถสัมผัสได้ถึงหัวใจอย่างซาบซึ้ง ซูจิ่นซีเคยใช้ชีวิตเช่นนี้มาก่อน นางเป็นกังวลทุกเดือนว่าผู้ดูแลบัญชีของจวนสกุลซูจะหักเงินเดือน หักค่าอาหารและของใช้หรือไม่

        แม้ซูจิ่นซีจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เพราะในตอนนั้น ในหัวของนางยังไม่มีสติตื่นรู้ ทว่าเมื่อมองย้อนกลับไปสมัยนั้น นางก็มักจะรู้สึกเศร้าอยู่เสมอ

        “เอาล่ะ อวี้เอ๋อร์ พี่หญิงหาได้คัดค้านไม่ให้เจ้าเข้าร่วมการแข่งขัน ในช่วงเวลานี้เจ้าควรขอคำแนะนำจากท่านหมอเทวดาหวาเกี่ยวกับบางสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องฝึกฝนเพื่อใช้ในการตรวจวินิจฉัยผู้ป่วย อย่างไรก็ตามแม้เจ้าจะได้เรียนรู้ทฤษฎีทางการแพทย์มามากมาย ทว่าเจ้ายังขาดประสบการณ์”

        “ขอบพระทัยท่านพี่หญิง อวี้เอ๋อร์ทราบแล้ว! ” ใบหน้าของซูอวี้ยิ้มอย่างเบิกบานในทันที

        “ท่านหมอเทวดาหวา ช่วงนี้คงต้องลำบากท่านแล้ว! ” ซูจิ่นซียิ้มอย่างสุภาพถ่อมตนต่อหมอเทวดาหวา

        หมอเทวดาหวาชะงักไปชั่วครู่ เร่งรีบประสานมือทั้งสองยกขึ้นในระดับหน้าอก คำนับซูจิ่นซี “คำพูดของพระชายา ตราบใดที่พระชายาและท่านชายน้อยอวี้ไม่เมินเฉยต่อทักษะทางการแพทย์ที่ต่ำต้อย ข้าน้อยจะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือพระชายาและท่านชายน้อยซูอวี้พ่ะย่ะค่ะ”

        ซูจิ่นซีพยักหน้าอย่างพอใจ

        หลังจากที่หมอเทวดาหวาและพ่อบ้านออกไปกับซูอวี้แล้ว เดิมทีซูจิ่นซีต้องการกลับไปที่เรือนอวิ๋นไคเพื่อนอนพักผ่อน เนื่องจากตอนนี้นางง่วงเหลือเกิน

        ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่อนุญาต เขากำชับให้ซูจิ่นซีไปพักผ่อนที่ตำหนักฝูอวิ๋น ซูจิ่นซีดื้อดึงกับเยี่ยโยวเหยาไม่ไหว ทำได้เพียงตามเยี่ยโยวเหยาไปที่ตำหนักฝูอวิ๋น

        ซูจิ่นซีนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ของเยี่ยโยวเหยา ส่วนเยี่ยโยวเหยากำลังจัดการเอกสาร

        ผ่านไปไม่นาน พ่อบ้านก็เข้ามาอีกครั้ง

        ข่าวคราวในครั้งนี้ ทำให้ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงเล็กน้อย

        พ่อบ้านกล่าวว่าเฉินไท่เฟยจากฝั่งหนานย่วนส่งคนมาแจ้งข่าว ให้เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีไปที่หนานย่วนเพื่อรับประทานอาหารค่ำในคืนพรุ่งนี้

        นับตั้งแต่คดีวางยาพิษของฮองเฮาเป็นที่กระจ่าง ฮ่องเต้ก็ได้ปล่อยตัวเฉินไท่เฟยและเว่ยเหม่ยเจียกลับไปยังหนานย่วน ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาก็ไม่เคยพบเฉินไท่เฟยอีกเลย เหตุใดเฉินไท่เฟยจึงเรียกซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาไปรับประทานอาหารกันนะ?

        ไม่ได้จะเล่นพิเรนทร์กระไรอีกใช่หรือไม่?

        “เลื่อนไป บอกว่าสุขภาพของพระชายาไม่ดีนัก ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก ข้าไม่มีอารมณ์ไป”

        พ่อบ้านรับคำ ขณะที่กำลังจะจากไปกลับถูกซูจิ่นซีหยุดไว้

        หากบอกว่าร่างกายของซูจิ่นซีไม่ดี ไม่สามารถไปไหนได้คงไม่เหมาะสมกระมัง?

        แม่สามีอย่างเฉินไท่เฟย เดิมทีก็ไม่ได้เฝ้ารอที่จะพบซูจิ่นซีมากนัก หากพูดเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นการเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟหรอกหรือ?

        ยิ่งไปกว่านั้นซูจิ่นซีรู้สึกว่า ตราบใดที่นางยังต้องการอยู่ที่ตำหนักโยวอ๋อง ยังต้องการอยู่ด้วยกันกับเยี่ยโยวเหยาต่อไปความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีอย่างเฉินไท่เฟยจะต้องไม่ทำให้แย่เด็ดขาด

        ตอนนี้นางจะไม่ไปวุ่นวายกับเฉินไท่เฟยให้เรื่องยุ่งยาก และจะไม่ทำให้เฉินไท่เฟยต้องประสบกับเหตุการณ์ที่เนื้อไม่ได้กินเอากระดูกมาแขวนคออีกแล้ว

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ พวกเราไปกันเถิดเพคะ! ช่วงนี้ท่านไม่ได้ไปหาท่านแม่นานแล้ว เช่นนี้คงไม่ค่อยดีกระมัง? อีกอย่าง ร่างกายของหม่อมฉันก็ไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น ไปเพียงแค่เสวยมื้อค่ำเท่านั้น ไม่เป็นปัญหาหรอกเพคะ”

        “ไม่ให้ไป! ”

        ท่าทีของเยี่ยโยวเหยาช่างน่ากลัวยิ่งนัก

        ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก

        เยี่ยโยวเหยาเป็นบุตรชายของเฉินไท่เฟย ยิ่งไปกว่านั้นแม้นิสัยของเขาจะแข็งกระด้างเยือกเย็น ทว่าเฉินไท่เฟยก็ไม่ได้พูดกระไร

        ทว่ากับซูจิ่นซีแล้วมันไม่เหมือนกัน เมื่อถึงเวลาเฉินไท่เฟยต้องตำหนิผลักความผิดทั้งหมดมาให้ซูจิ่นซีอย่างแน่นอน

        “เอาเถิดเพคะ! ไม่ไปก็ไม่ไป! ” ซูจิ่นซีนั่งลงบนเตียงอย่างขุ่นเคืองใจ

        พ่อบ้านจึงกลับออกไปบอกคนของตำหนักหนานย่วน

        ทว่าไม่นานก็มีคนจากหนานย่วนกลับมาอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าคนที่มาจะเป็นผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดเฉินไท่เฟย นางบอกว่าร่างกายของเฉินไท่เฟยค่อนข้างแย่ ต้องการให้ซูจิ่นซีไปตรวจดูเสียหน่อย หากอาการป่วยของซูจิ่นซีไม่ร้ายแรงมากนักก็ขอให้พยายามไปที่นั่นให้ได้สักครั้ง

        ดูเอาเถิด! ซูจิ่นซีพูดเรื่องพวกนี้แล้วไม่ยอมฟัง ในที่สุดคนที่เสียเปรียบก็คือนาง

        ซูจิ่นซีมองไปที่เยี่ยโยวเหยาอย่างตำหนิ แล้วพูดว่า “เยี่ยโยวเหยาเพคะ ท่านไปเป็นเพื่อนหม่อมฉันเถิดนะเพคะ! ”

        ซูจิ่นซีไม่กล้าไปพบเฉินไท่เฟยเพียงผู้เดียว

        เดิมทีเยี่ยโยวเหยาคิดปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นซูจิ่นซีส่งสายตาอ้อนวอนน่าสงสารมาให้ ใบหน้าจริงจังนั้นก็ไม่ปฏิเสธอีกแล้ว

        เพียงตอบกลับอย่างแผ่วเบาว่า “อืม”

        แท้จริงแล้วซูจิ่นซีไม่ต้องการไปหนานย่วนเช่นกัน ทว่าในหลายๆ เรื่องก็ไม่ใช่ว่าตนจะสามารถทำได้ตามใจชอบ อยากทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ในบางครั้งมนุษย์ก็เอาแต่ใจตนเองไม่ได้

        ซูจิ่นซีไม่ต้องการอยู่ที่หนานย่วนนานเท่าใดนัก ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเสวยมื้อค่ำ ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาจึงได้เดินทางไป

        เว่ยเหม่ยเจียที่ไม่ได้พบหน้าเป็นเวลานานยืนรออยู่ที่ประตูตั้งแต่เช้า เมื่อนางเห็นซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาก็กล่าวทักทายด้วยความปิติยินดีและพูดคุยกับเยี่ยโยวเหยาไม่หยุดหย่อน

        “ท่านพี่เพคะ ท่านมาแล้ว ท่านอาจยังไม่ทราบว่าหลายวันมานี้ท่านป้าคิดถึงท่านยิ่งนัก ท่านต้องการพบท่านพี่นะเพคะ! ”

        “… ”

        “ท่านพี่ ช่วงนี้ดูเหมือนว่าท่านจะผอมลงไปแล้ว หรือว่าอาหารไม่ถูกปากเพคะ? ทุกวันนี้พี่สะใภ้ทำสิ่งใดให้ท่านทานเพคะ?”

        “… ”

        “ท่านพี่ ช่วงนี้ยุ่งมากหรือไม่? ไม่เห็นท่านพี่มาหาข้ากับท่านป้าเลยเพคะ มาครั้งนี้พวกท่านอยู่หลายวันหน่อยเถิด เหม่ยเจียล้วนทำความสะอาดในจวนไว้อย่างดีแล้วเพคะ ทุกวันเหม่ยเจียจะทำอาหารอร่อยๆ ให้ท่านพี่ทาน ดีหรือไม่เพคะท่านพี่! ”

        ……

        เว่ยเหม่ยเจียพูดอยู่ข้างหูของเยี่ยโยวเหยาไม่หยุด ทว่าเยี่ยโยวเหยาทำราวกับไม่ได้ฟังนางเลยอย่างไรอย่างนั้น ไม่ตอบกลับนางแม้แต่น้อย

        อย่างไรก็ตามซูจิ่นซีพบว่าจิตใจของสตรีนางนี้ไม่ธรรมดา เยี่ยโยวเหยาเย็นชาต่อนางถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่านางยังไม่เจ็บไม่ปวดแม้แต่น้อย ยังคงพูดไม่หยุดหย่อน

        เว่ยเหม่ยเจียพูดตลอดทางจนเดินมาถึงปากทางเข้าห้องโถงใหญ่

        ภายในห้องโถงใหญ่ เฉินไท่เฟยกำลังให้คนตระเตรียมสำรับอาหาร

        “คารวะท่านแม่! ” เยี่ยโยวเหยาคำนับเฉินไท่เฟย

        ซูจิ่นซีเรียนรู้จากท่าทางของเยี่ยโยวเหยาและคำนับเฉินไท่เฟย “ซูจิ่นซีคารวะท่านแม่ ขอให้ท่านแม่มีพลานามัยสมบูรณ์เพคะ! ”

        “จิ่นซีเอ๋ย! ไม่ต้องคำนับหรอก! เร็ว มานั่งข้างแม่”

        ซูจิ่นซีไม่คาดคิดมาก่อนว่าเฉินไท่เฟยผู้ซึ่งไม่เคยรอคอยที่จะพบนางกลับมีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติครั้งยิ่งใหญ่จากหน้ามือเป็นหลังมือ เฉินไท่เฟยยิ้มร่ายื่นมือของนางมาทางซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีมึนงง นางหันมองไปทางเยี่ยโยวเหยา ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับทำราวกับไม่มีกระไรแม้แต่น้อย เขาเดินไปยังตำแหน่งที่นั่งของตนแล้วนั่งลง ความรู้สึกของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความมืดมน นางไม่รู้จะทำอย่างไร ทว่าซูจิ่นซีไม่ต้องการสร้างปัญหาให้ตนเองจึงทำได้เพียงยิ้มอย่างไม่เต็มใจ นางเดินไปข้างเฉินไท่เฟยและยื่นมือให้เฉินไท่เฟย

        เฉินไท่เฟยมองซูจิ่นซีที่นั่งลงข้างตนเอง คิ้วขมวดกล่าวว่า “เหตุใดมือจึงได้เล็กถึงเพียงนี้? จิ่นซีอ่า ช่วงนี้สุขภาพเจ้าไม่ค่อยดีใช่หรือไม่? ผอมเกินไปแล้ว! เจ้าดูสิ บนโต๊ะนี้มีแต่ของโปรดเจ้า เจ้าทานเยอะๆ เล่า!”

        อาหารโปรดที่สุดของซูจิ่นซี

        นางชอบกินสิ่งใด กระทั่งตนเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำ เฉินไท่เฟยจะรู้ได้อย่างไร?

        ทำดีหลังผล

        ซูจิ่นซีรู้สึกเสมอว่าเฉินไท่เฟยที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีอันใด

        นี่คงไม่ใช่เสร็จนาฆ่าโคถึกเสร็จศึกฆ่าขุนพลกระมัง?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset