สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 152 ขันทีไม่รีบ ลูกนอกไส้กลับรีบ

        “ซูจิ่นซี ท่านฆ่าข้าเสียดีกว่า! ”

        คาดไม่ถึงว่าชายผู้นั้นดื้อรั้นมากเสียจนไม่แม้แต่จะกล่าวคำนำหน้า เช่นเดียวกับชายคนแรกที่เอาแต่ชำเลืองมองตรงไปด้านข้าง

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็เดินไปด้านหน้าของชายคนแรก นางจับเขาอ้าปากแล้วโยนยาเม็ดสีขาวเข้าไป หลังจากนั้นก็บีบคางของชายผู้นั้นอย่างแรงเพื่อให้เขากลืนยาเม็ดนั้น

        “ท่านให้ข้าทานสิ่งใด? ”

        “ไม่มีกระไร เพียงแค่ยาสลายกระดูกเท่านั้น! ”

        “ยาสลายกระดูกคือสิ่งใดกัน? ” ดวงตาทั้งสองข้างของชายผู้นั้นเบิกกว้างอย่างสงสัย

        ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างมีท่าทีเหมือนกับชายผู้นั้น นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินเรื่องยาจำพวกสลายกระดูก

        “เจ้าก็เหมือนกับเขา มีเวลาเพียงครึ่งชั่วยามเช่นกัน หากภายในครึ่งชั่วยามพวกเจ้ายังไม่ยอมบอกว่าผู้ใดใช้ให้พวกเจ้าปล่อยข่าวลือ กระดูกทั้งร่างของเจ้าจะถูกบดเป็นผุยผง ทว่าเจ้าจะไม่ตาย”

        ไม่มีกระดูกเหลือเลย ทว่ากลับเหลือเพียงผิวหนัง เช่นนั้นก็มีชีวิตไม่ต่างจากไส้เดือนมิใช่หรือ?

        ดวงตาทั้งสองของชายผู้นั้นเบิกกว้างอย่างตกใจ

        “กระไรนะ… ซูจิ่นซี ท่านฆ่าข้า! ท่านฆ่าข้าเถิด! ”

        ชายที่อยู่ด้านข้างซึ่งถูกกริชแทงทั่วทั้งร่างตะโกนขึ้นมาในทันที

        ทุกคนต่างสะดุ้งตกใจ พวกเขามองไปที่ชายผู้นั้นด้วยความสยดสยอง

        ขณะนี้มองเห็นเพียงบาดแผลบนร่างกายของชายผู้นั้นที่แผ่ขยายมากขึ้น คาดไม่ถึงว่าเสื้อผ้าก็ถูกยาน้ำสลายไปด้วย เห็นได้ชัดว่าเนื้อและเลือดรอบบาดแผลเริ่มม้วนตัวเป็นเนื้อเน่าเปื่อยที่ปะปนไปด้วยเลือดเลือนลาง

        ทำให้ผู้คนรู้สึกขยะแขยงและหวาดกลัว

        ชายที่ทานยาสลายกระดูกเข้าไปเบิกตากว้างมองไปที่เขา

        แม้เขาจะทำปากแข็ง ทว่าใบหน้าที่ดื้อรั้นและดวงตาที่ขลาดกลัวของเขากลับทรยศใจของเขาอย่างซื่อตรง

        “เป็นอย่างไรบ้าง? ตอนนี้เจ้ารู้สึกว่ากระดูกทั้งร่างเริ่มเจ็บแปลบเล็กน้อยแล้วใช่หรือไม่? ”

        ชายผู้นั้นขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาดูแปลกไปเล็กน้อย

        ซูจิ่นซีเผยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าอย่างไม่คาดคิด “อย่ากังวล ตอนนี้กระดูกยังไม่เริ่มสลาย ทว่าใกล้จะถึงเวลาแล้ว ทันทีที่ถึงเวลาเจ้าสามารถลิ้มรสความรู้สึกของการที่กระดูกถูกตัดออก แม้มันจะเจ็บปวดยิ่งนัก ทว่าเจ็บไม่นานหรอก! ”

        เมื่อทุกคนได้ฟังคำพูดของซูจิ่นซี แผ่นหลังของพวกเขาพลันรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันที

        “ข้าพูด! ข้าพูดแล้ว! ข้าจะพูดเดี๋ยวนี้! เป็นฮั่วอวี้เจียวบุตรสาวคนโตของจวนแม่ทัพฮั่ว คุณหนูฮั่วอวี้เจียวขอให้พวกเราทำเช่นนี้ เป็นฮั่วอวี้เจียว! ” ชายผู้นั้นพูดอย่างรวดเร็ว

        ชายที่ถูกกริชขีดข่วนตามร่างกายก็พูดขึ้นด้วยเช่นกัน “ข้าก็จะพูด! พระชายาโยวอ๋อง ข้าขออภัยจริงๆ ฮั่วอวี้เจียวเป็นคนสั่งให้พวกเราทำเช่นนี้ และเป็นนางที่สั่งให้พวกเรากระจายข่าวที่เว่ยเหม่ยเจียถูกล่วงละเมิดเมื่อคืนนี้ จุดประสงค์เพื่อให้ทุกคนต่อสู้กับพระชายา สาดน้ำโคลน [1] ทั้งหมดใส่ท่าน สะกดจิตให้โยวอ๋องหย่ากับท่านและขับไล่ท่านออกจากจวนโยวอ๋อง! ”

        “ใช่! พระชายา ทุกสิ่งที่พวกเราพูดเป็นความจริง เรื่องในวันนี้เป็นฮั่วอวี้เจียวสั่งให้พวกเราทำ ท่านได้โปรดยกโทษให้เราด้วยเถิด! ”

        “ใช่พ่ะย่ะค่ะ พระชายา รีบให้ยาแก้พิษแก่พวกเราเถิด! ”

        ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินคำสารภาพของชายทั้งสองคน ไม่นานพวกเขาก็รู้สึกตัวว่าถูกฮั่วอวี้เจียวหลอกใช้อีกครั้ง

        “หือ? ที่แท้พวกเราทั้งหมดล้วนถูกฮั่วอวี้เจียวหลอกใช้เช่นนั้นหรือ? ”

        “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เช่นนั้นเรื่องที่คุณหนูเว่ยถูกคนล่วงละเมิดก็เป็นสิ่งที่ฮั่วอวี้เจียวทำลับหลังหรือ? ”

        “ผู้ใดจะไปรู้กันเล่า! ”

        “ที่แท้เป็นพวกเราที่กล่าวหาพระชายาแล้ว! ”

        “ใช่! ไม่แปลกใจเลย! ไม่ว่าจะมองอย่างไร พระชายาก็ดูไม่เหมือนคนชั่วเลย! ”

        “ฮั่วอวี้เจียวผู้นี้ช่างน่าขยะแขยงเสียจริง คาดไม่ถึงว่าพวกเราจะถูกนางหลอกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าดั่งคนโง่อย่างไรอย่างนั้น”

        “ทว่าพระชายาก็ยอมรับแล้วนี่! ว่าเมื่อคืนที่หนานย่วน นางกล่าวว่าชั่วชีวิตนี้อนุญาตให้มีนางเพียงผู้เดียวที่อยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยา คำพูดนี้จะอธิบายอย่างไร? ”

        “ใช่! นางพึ่งจะยอมรับมันเมื่อครู่นี้เอง! ”

        “พระชายา สิ่งที่ชายทั้งสองคนพูดเป็นเพียงการพิสูจน์ว่าวันนี้ทุกคนล้วนถูกหลอกใช้ ทว่าเมื่อคืนนี้ที่หนานย่วนท่านได้บังคับเว่ยเหม่ยเจียให้ออกไปใช่หรือไม่? เรื่องที่เกิดขึ้นกับเว่ยเหม่ยเจียเกี่ยวข้องกับท่านจริงๆ ท่านไม่สามารถหลีกหนีความผิดได้ ท่านสารภาพกับปากของท่านเอง ท่านบอกว่าท่านเป็นผู้เดียวที่จะอยู่เคียงข้างโยวอ๋องได้ นี่หมายความว่าอย่างไร? กล่าวได้ว่าท่านเป็นสตรีที่ขี้อิจฉาริษยา! สิ่งเหล่านี้ท่านจะอธิบายมันอย่างไร? ”

        น่าขันเสียจริง คนพวกนี้ว่างจนไม่มีเรื่องอันใดทำแล้วหรืออย่างไร?

        เหตุใดจึงชอบแส่เข้ามายุ่งเรื่องของชาวบ้านอยู่เรื่อย?

        ซูจิ่นซีต้องการพูดว่า ข้าคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเจ้าโว้ย!

        ทว่าซูจิ่นซียังคงมีสติสัมปชัญญะอยู่ หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับตายเพราะคำพูดของตนเอง นางไม่สามารถพูดออกไปในที่สาธารณะได้

        หากพูดออกไป เช่นนั้นก็จบเห่อย่างสมบูรณ์แล้ว

        ดังนั้นซูจิ่นซีจึงพูดขึ้นว่า “เมื่อคืนนี้มีบางอย่างเกิดขึ้นที่หนานย่วน อีกทั้งท่านอ๋องยังถูกพิษที่หนานย่วนอย่างอธิบายไม่ได้ จากนั้นท่านอ๋องจึงไม่ประสงค์ที่จะอยู่หนานย่วนอีกต่อไป ดังนั้นพวกข้าจึงกลับมาก่อน ตอนที่พวกข้าจากมา เว่ยเหม่ยเจียยังอยู่ที่หนานย่วน ส่วนนางออกมาจากหนานย่วนได้อย่างไร เหตุใดนางจึงออกมาจากหนานย่วน ทั้งยังเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้ากับท่านอ๋องล้วนไม่ทราบทั้งสิ้น หากพวกเจ้าไม่เชื่อ สามารถไปถามกับท่านอ๋องได้”

        ซูจิ่นซีฉลาดมากที่ปรับเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเล็กน้อย จากนั้นก็ดึงเยี่ยโยวเหยาออกมาเป็นโล่กำบัง

        เยี่ยโยวเหยาราวกับพระเจ้าในใจของผู้คนเหล่านี้ คำพูดของเยี่ยโยวเหยาเป็นเหมือนดั่งมนต์สะกดใจพวกเขา มีประสิทธิภาพยิ่งนัก ดังนั้นซูจิ่นซีจึงคิดว่าตราบใดที่เยี่ยโยวเหยาก้าวออกมาเพื่อพิสูจน์ พวกเขาจะไม่สงสัยกระไรอย่างแน่นอน

        อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ซูจิ่นซีพูดก็เป็นความจริงเช่นกัน ตอนที่นางกับเยี่ยโยวเหยาออกมา เว่ยเหม่ยเจียยังคงอยู่ในหนานย่วน หลังจากนั้นต่อมาเกิดอันใดขึ้นนางไม่รู้จริงๆ

        พูดเช่นนี้ไม่ถือว่าละเมิดความจริงเช่นกัน ยิ่งไม่ละเมิดต่อความผิดชอบชั่วดีของนาง

        “เช่นนั้นประโยคที่ท่านพูดที่หนานย่วนเล่า? ”

        “ใช่แล้ว! เมื่อครู่นี้ท่านยอมรับเอง คำพูดนั้นเป็นท่านที่พูดเองจริง! ”

        “ใช่! พระชายา อย่างไรก็ตามท่านก็ได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาท แม้จวนสกุลซูของท่านจะเป็นครอบครัวเล็ก ทว่าเมื่อแต่งเป็นภรรยาควรเรียนรู้คุณธรรมทั้งสี่ของผู้เป็นภรรยา ท่านควรเรียนรู้ให้ดีเช่นกัน เหตุใดถึงพูดเช่นนี้เล่า! ”

        ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าสำหรับคำถามนี้ ซูจิ่นซีกลับตอบได้อย่างฉลาดและพื้นฐานเสียจนผู้ใดก็สามารถเข้าใจได้ยิ่งกว่าคำถามก่อนหน้านี้เสียอีก

        “ทุกท่าน ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรื่องในครอบครัวระหว่างข้ากับท่านอ๋องกระมัง? เรื่องของเว่ยเหม่ยเจียก็เป็นเรื่องในครอบครัวจวนโยวอ๋องกับหนานย่วนของพวกเราเช่นกัน แม้จะมีคนออกมากล่าวโทษและตราหน้า ทว่าควรเป็นฝ่าบาทที่เป็นผู้รับสั่งให้พวกข้าอภิเษกสมรสในคราแรกหรือควรเป็นคนในสกุลจึงจะมีสิทธิ์พูดได้ ทว่าจนถึงตอนนี้ฝ่าบาทยังไม่ตรัสสิ่งใดเลย! ”

        หมายความว่าพวกเจ้านำเรื่องที่ฝ่าบาทควรใส่พระทัยมาใส่ใจเองเสียแล้วอย่างไรเล่า

        จริงอยู่ที่ฮ่องเต้ไม่ทรงรีบ ขันทีก็ไม่รีบ ทว่าลูกนอกไส้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกลับกระโจนเข้าข้างอย่างรีบร้อน…

        เพียงประโยคเดียวกลับสามารถปิดปากของทุกคน

        ทันใดนั้น ทุกคนก็พากันเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงใด

        “โอ้ย! พระชายา ข้าเจ็บปวดไปทั้งตัว ข้าไม่ไหวแล้ว… จะไม่ไหวแล้ว ขอร้องท่านได้โปรดรีบให้ยาถอนพิษแก่พวกข้าโดยเร็วด้วยเถิด! ”

        “ข้าก็ด้วย พระชายา กระดูกในร่างกายของข้าเริ่มสลายแล้ว ขาของข้าไม่มีความรู้สึกแล้ว ต่อไปข้าไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้แล้วใช่หรือไม่? ท่านรีบให้ยาถอนพิษกับข้าเถิด! ”

        ชายสองคนที่นอนอยู่แทบเท้าซูจิ่นซีตะโกนร้องขอชีวิต ขอยาถอนพิษกับนางอย่างสิ้นหวัง

        “แย่แล้ว! ” ทันใดนั้นใครบางคนในฝูงชนก็ตะโกนขึ้นว่า “ครึ่งชั่วยามได้ผ่านมานานแล้ว พระชายายังไม่ได้มอบยาถอนพิษแก่พวกเขาเลย พวกเขาหมดหวังที่จะรักษาแล้วใช่หรือไม่? ”

        “นั่นสิ! พวกเราต่างก็ลืมพวกเขาสองคนไปแล้ว หมดหวังที่จะช่วยเหลือแล้วใช่หรือไม่? ”

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset