สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 157 คุมหางเสือสถานการณ์ทั้งหมด

        “ข้าไม่แต่ง ข้าไม่แต่ง ข้าไม่แต่ง! ข้าไม่อาจแต่งกับผู้อื่นที่ไม่ใช่ท่านพี่ได้ ต่อให้ข้าตาย ข้าก็จะให้คนนำศพของข้าไปเผาทำลาย บดกระดูกลงไปในกองขี้เถ้า อย่าได้ให้ชายอื่นที่ไม่ใช่ท่านพี่มาแตะต้องตัวข้า! ” เว่ยเหม่ยเจียตะโกนร้องไห้อย่างสิ้นหวัง

        “เหม่ยเจีย เจ้าไม่ต้องร้องแล้ว เหม่ยเจียเจ้าไม่ต้องร้อง นี่เจ้ากำลังฆ่าป้านะ! ” เฉินไท่เฟยสะบัดแขนของซูจิ่นซีออกและรีบวิ่งไปด้านข้างเว่ยเหม่ยเจีย

        ซูจิ่นซีมองเว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกงอย่างจงใจ นางรู้สึกว่าท่าทีของพวกเขาทั้งสองต่อเว่ยเหม่ยเจียที่เป็นบุตรสาวแท้ๆ นั้น มีความเย็นชายิ่งกว่าเมื่อเทียบกับเฉินไท่เฟย

        “เว่ยเหม่ยเจีย เจ้าเก็บการร้องห่มร้องไห้เช่นนี้ไปเสีย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเจ้าที่หาเรื่องใส่ตัว ตอนนี้ข้าให้เจ้าเลือกสองทาง ทางแรกคือรอเกี้ยวเจ้าสาวจากจวนจงอู่โหว ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวอย่างมีความสุข หลังจากนี้ต่อไปอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ส่วนอีกทางหนึ่ง… ” ซูจิ่นซีเหลือบมองเฉินไท่เฟยพลางกล่าวว่า “กลับไปที่จวนเว่ยกั๋วกงของเจ้า ต่อจากนี้ไป ไม่ว่าเจ้าจะออกบวชเป็นชีหรือไม่ออกเรือนกับผู้ใดจนแก่ตายก็แล้วแต่เจ้า ทว่าเลิกหาเรื่องยุ่งยากให้พวกเราตำหนักหนานย่วน! ”

        คำพูดของซูจิ่นซีค่อนข้างดุร้าย การแสดงออกของเฉินไท่เฟยดูโมโหเล็กน้อย

        “ซูจิ่นซี เจ้าจงใจจัดการข้า เพื่อไม่ให้ข้าอยู่เคียงข้างท่านพี่ คู่แข่งที่คอยแย่งท่านพี่กับเจ้าจะได้น้อยลงใช่หรือไม่? ” เว่ยเหม่ยเจียถามทั้งน้ำตา

        ซูจิ่นซียิ้มเยาะที่มุมปาก นางเดินไปด้านข้างเว่ยเหม่ยเจียทีละก้าวและโน้มตัวลงพูดที่ข้างหูของเว่ยเหม่ยเจียอย่างเย็นชาว่า “ใช่! ”

        “เลว! ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าทำสำเร็จ ข้ายอมตายเสียดีกว่า! ”

        ขณะที่พูดอยู่ เว่ยเหม่ยเจียก็เดินบุ่มบ่ามกระแทกเข้าไปที่โต๊ะ

        “เหม่ยเจีย ไม่ได้นะ! ” เฉินไท่เฟยรีบคว้าเว่ยเหม่ยเจียเอาไว้

        “JX3! ”

        ซูจิ่นซีเอ่ยเรียกและยื่นมือไปที่ด้านหลังของ JX3

        JX3 เข้าใจทันที เขาก้าวไปด้านหน้า นำดาบยาวที่อยู่ข้างเอววางไว้บนมือของซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีโยนดาบยาวไปยังเบื้องหน้าของเว่ยเหม่ยเจียอย่างรุนแรง

        ท่าทางของซูจิ่นซีช่างหยิ่งยโสและงดงามเป็นอย่างยิ่ง “หากเจ้าอยากตายจริงๆ ก็ทำใจกล้าเสียหน่อย จะเชือดคอ ผ่าท้อง หรือปักดาบไปที่หัวใจ ก็แล้วแต่จะเลือกมาหนึ่งอย่าง ไม่มีผู้ใดขัดขวางเจ้า หากไม่อยากตายก็เสแสร้งให้น้อยลง”

         “จิ่นซี! อย่างไรเสียเหม่ยเจียก็เป็นน้องของโยวอ๋อง เจ้าทำกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร” เฉินไท่เฟยกล่าวขึ้นด้วยความโมโห

        “นี่เป็นน้องเช่นใด ท่านแม่ ท่านรู้ดีอยู่แก่ใจ! ”

         เมื่อเฉินไท่เฟยได้ยินความหมายแฝงที่ลึกซึ้งจากประโยคของซูจิ่นซี นางก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในทันที “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ”

        “ไม่ได้หมายความว่ากระไรเพคะ เพียงจิ่นซีรู้สึกอยู่เสมอว่าท่านปฏิบัติกับน้องสามีดีเสียยิ่งกว่าท่านอ๋องที่เป็นบุตรชายของท่านอีกนะเพคะ? หรือจิ่นซีคิดมากไป? ”

        คำพูดนี้ ซูจิ่นซีก้มตัวลงไปเอ่ยอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูของเฉินไท่เฟย ให้นางได้ยินเพียงผู้เดียว

        ร่างของเฉินไท่เฟยสั่นเทาขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางจ้องไปที่ซูจิ่นซี “เจ้า… เจ้ารู้กระไร? ”

        ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “ขอเพียงวันนี้ท่านแม่หันมาอยู่ฝั่งข้า ข้าสามารถไม่รู้ไม่เห็นกระไรทั้งสิ้น! ”

        ทันใดนั้นดวงตาของเฉินไท่เฟยก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ หวาดกลัวและยากที่จะเชื่อ

         ทว่าซูจิ่นซีไม่ให้ความสนใจกับเฉินไท่เฟยแล้ว นางพูดกับเว่ยเหม่ยเจียที่ยังคงร้องห่มร้องไห้ว่า “ว่าอย่างไร เว่ยเหม่ยเจีย เจ้าไม่กล้าตายแล้วหรือ? ”

        “ซูจิ่นซี แม้ข้า…เว่ยเหม่ยเจียตายแล้ว ก็จะไม่ปล่อยเจ้าไว้อย่างเด็ดขาด! ”

        เว่ยเหม่ยเจียกัดฟัน นางถือดาบยาวขึ้นมาจากพื้นและยกมาทาบคอของตนเอง

        เฉินไท่เฟยยังคงคิดจะห้ามปราม ทว่าภายใต้การจ้องมองและคุกคามจากดวงตาของซูจิ่นซี ทำให้นางลังเล ในที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยห้ามแต่อย่างใด

        ทุกคนต่างสูดลมหายใจเย็นขณะที่มองเว่ยเหม่ยเจีย ทว่ามีเพียงซูจิ่นซีผู้เดียวที่ยกมือทั้งสองข้างกอดอก ยืนพิงผนัง พร้อมกับวาดรอยยิ้มที่มุมปากอย่างเย็นชาราวกับนางกำลังดูเรื่องตลก

        ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานแล้ว ดาบยาวในมือของเว่ยเหม่ยเจียยังไม่ได้เฉือนลงไป นางหลับตา เม้มปากแน่น แม้ท่าทางการจับดาบจะทำให้หลายคนหวาดกลัว ทว่าไม่มีความมั่นคงแม้แต่น้อย กระทั่งมือที่จับดาบยังสั่นเทา

        ทันใดนั้นเว่ยเหม่ยเจียก็ทิ้งดาบยาวในมือลง นางโผเข้าไปในอ้อมอกของเฉินไท่เฟย “เสด็จป้า ท่านต้องสนับสนุนเหม่ยเจียนะเพคะ! เหม่ยเจียไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกมันทั้งหมดรังแกเหม่ยเจีย หากท่านไม่รักเหม่ยเจียก็ไม่มีผู้ใดรักเหม่ยเจียแล้ว”

        ซูจิ่นซีดูออกแต่แรกแล้วว่าเว่ยเหม่ยเจียกลัวความตาย เดิมทีนางก็ไม่กล้าฆ่าตัวตาย ดังนั้นซูจิ่นซีถึงได้ข่มขู่เว่ยเหม่ยเจีย

        เวลานี้ สถานะของเว่ยเหม่ยเจียที่อยู่ตรงหน้าซูจิ่นซีไม่นับว่าเป็นอันใดเลย นางต่ำตมเสียยิ่งกว่าฝุ่นดิน

        ซูจิ่นซีสวยสง่า กิริยาสูงส่งราวกับนางฟ้า สิ่งที่สำคัญคือนางกล้าหาญ

        ส่วนทางด้านเว่ยเหม่ยเจียกลับซีดเซียวตรอมใจ แม้นางจะหลบอยู่ในอ้อมแขนของเฉินไท่เฟย ทว่ากลับดูเหมือนนางกำลังคลานมาแทบเท้าของซูจิ่นซีเสียมากกว่า

        ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่เว่ยเหม่ยเจียยังขี้ขลาดราวกับหนู แม้จะมีอุบายชั้นต่ำน่ารังเกียจสักเท่าใด ทว่ากลับถูกซูจิ่นซีจับได้ ในสายตาของซูจิ่นซี เว่ยเหม่ยเจียดูเหมือนตัวตลกอย่างไรอย่างนั้น

        “ในเมื่อไม่ยอมตาย เช่นนั้นก็ไสหัวกลับไปจวนเว่ยกั๋วกง หรือไม่ก็รอออกเรือนเสียดีๆ ” ซูจิ่นซีกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา

        “มีสิทธิกระไร? มีสิทธิกระไร? ซูจิ่นซี เจ้ามีสิทธิกระไรมาทำตัวเป็นใหญ่? เจ้าคิดว่าข้าเป็นสิ่งของเช่นนั้นหรือ? เสด็จป้าท่านไม่พูดกระไรบ้างเล่าเพคะ! ” เว่ยเหม่ยเจียร้องไห้ คิดฝากความหวังไว้กับเฉินไท่เฟย

        ซูจิ่นซีมองเฉินไท่เฟยด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง “ใช่หรือ? ในเมื่อเสด็จแม่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ แล้วยังจะเรียกข้ามาหนานย่วนเพื่ออันใด? เรื่องนี้ท่านยังมีความเห็นกระไรหรือไม่? ”

        ในเวลานี้ แม้เฉินไท่เฟยจะต้องการแสดงความคิดเห็น ทว่ากลับถูกคำสองคำเมื่อครู่ของซูจิ่นซีกดทับไว้ นางจึงไม่กล้าพูดอันใดแม้แต่น้อย

        ซูจิ่นซีหันกลับมาถามผู้คนในลาน “เว่ยกั๋วกง ฮูหยินเว่ยกั๋วกง ข้อตกลงนี้ ท่านทั้งสองพอใจหรือไม่? ”

        เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขายังจะมีสิ่งใดที่ไม่พอใจอีกเล่า ทว่าใบหน้าของพวกเขายังคงโกรธแค้น ทั้งสองต่างถอนหายใจออกมา “อย่างไรก็ให้พระชายาโยวอ๋องตัดสินเถิด! ”

        “ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านเล่า? ” ซูจิ่นซีถาม “การจัดการของข้าเช่นนี้เป็นประโยชน์กับจวนจงอู่โหวของท่าน ท่านคงไม่มีสิ่งใดจะพูดกระมัง! ”

        เป็นอย่างที่ซูจิ่นซีพูดไว้ แท้จริงแล้วการจัดการเช่นนี้เป็นประโยชน์กับจวนจงอู่โหวมากที่สุด เดิมทีทุกคนต่างคิดว่าไหวหยางจวิ้นจู่ได้เปรียบเป็นอย่างมาก นางควรภูมิใจมากถึงจะถูก เพียงแต่ไม่คิดว่า ไหวอย่างจวิ้นจู่จะพูดว่า “ซูจิ่นซี ท่านมีสิทธิ์กระไรมาตัดสินใจเช่นนี้? ท่านมีอำนาจกระไรมาตัดสินใจเช่นนี้? ต้องการให้เว่ยเหม่ยเจียแต่งเข้าจวนจงอู่โหวของพวกข้า ท่านเคยถามความคิดเห็นของข้าที่เป็นผู้ใหญ่ในจวนจงอู่โหวหรือไม่? ”

        “ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านหมายความว่าอย่างไร? ” ฮูหยินเว่ยกั๋วกงกล่าวขึ้น

        ไหวหยางจวิ้นจู่ถอนหายใจอย่างไม่พอใจ “หากไม่ใช่เพราะปัญหาทางด้านศีลธรรมในตัวของเว่ยเหม่ยเจีย จู่ๆ หญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยจะไปทำกระไรบนถนนในยามค่ำคืน? ผู้ใดจะรู้ว่าก่อนที่คนในสกุลของพวกเราจะพบนาง ได้เกิดกระไรขึ้นบ้างแล้ว ไม่แน่ว่าบุตรชายของข้าอาจบังเอิญซวยถึงเนื้อถึงตัวนางเข้าพอดี! ผู้หญิงไร้ยางอายเช่นนี้ หาได้ไม่ยากในจวนจงอู่โหวของพวกเรา”

         “ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านพูดบ้ากระไร? ” เฉินไท่เฟยกล่าวอย่างเดือดดาล

         การแสดงออกบนใบหน้าของเว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกงก็ดูไม่ดีเช่นกัน

        ทว่าซูจิ่นซียังคงสงบเงียบเช่นเดิม

        เนื่องจากซูจิ่นซีรู้ความคิดของไหวหยางจวิ้นจู่ในตอนนี้ดี ข้าวสารหุงเป็นข้าวสุก [1] แล้ว ในตอนนี้หนานย่วนและจวนเว่ยกั๋วกงยังกลับหัวกลับหาง แล้วบุคคลเช่นนาง หากไม่คิดจะฉวยโอกาสก็คงไม่ใช่ไหวหยางจวิ้นจู่

        “องค์หญิงมีเงื่อนไขกระไร พูดมาตามตรงเถิด! ”

        ซูจิ่นซีเหมือนคุมหางเสือสถานการณ์ทั้งหมดอย่างไรอย่างนั้น นางมองเห็นทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าอย่างทะลุปรุโปร่ง

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset