สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 159 ขุ่นเคือง บุตรชายยังถูกเอาเปรียบอีกครั้ง

       “เช่นนั้นก็ขอประทานอภัย ไหวหยางจวิ้นจู่ คงต้องรบกวนท่านและองค์ชายไปกับข้า” ซูจิ่นซีกล่าวขึ้น

        ไหวหยางจวิ้นจู่ขมวดคิ้วถาม “พระชายาโยวอ๋อง สามารถเปลี่ยนเงื่อนไขได้หรือไม่? ”

        ซูจิ่นซียิ้มอ่อนที่มุมปาก “ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านมีกระไรที่ควรค่าให้ข้าไตร่ตรอง? หืม? ”

        “แม้จงอู่โหวจะไม่ใช่ทายาทตระกูลสูงศักดิ์ของฮ่องเต้ ทว่าก็มีกิจการที่ยิ่งใหญ่… ”

        ไหวหยางจวิ้นจู่ยังพูดประโยคสุดท้ายไม่จบ ก็ถูกซูจิ่นซีขัดจังหวะว่า “จงอู่โหวเป็นสกุลที่มีกิจการใหญ่โต ทว่าข้าสนใจเพียงหอโอสถทั้งเจ็ดของจวนสกุลซูเท่านั้น สิ่งอื่นข้าไม่สนใจ”

        ท่าทีของซูจิ่นซีแน่วแน่ยิ่ง เด็ดเดี่ยวยิ่ง นางไม่ยอมให้ไหวหยางจวิ้นจู่โต้แย้งได้เลย

        ไหวหยางจวิ้นจู่กัดริมฝีปากอย่างรุนแรง กำหมัดทั้งสองข้างแน่น และพูดกับฮั่วซื่ออย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ยังไม่ตอบรับนางอีก! หรือเจ้าอยากเห็นข้าและปี้เอ๋อร์ตายอย่างนั้นหรือ? ”

         “พี่สะใภ้ นั่นเป็นชีวิตจิตใจของจวนสกุลซู! หากไม่มีหอโอสถทั้งเจ็ด สกุลซูก็ไม่มีฐานะกระไรในเมืองตี้จิงแล้ว”

        “หากไม่มีจวนจงอู่โหว ฮั่วซื่อ เจ้าก็ไม่มีฐานะกระไรในสกุลซูเช่นกัน! ” ไหวหยางจวิ้นจู่กล่าวขึ้น

        ฮั่วซื่อกัดฟันกรอดอย่างรุนแรง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งและยังคงกล่าวกับไหวหยางจวิ้นจู่อย่างแน่วแน่ว่า “พี่สะใภ้ ไม่ได้นะเจ้าคะ หอโอสถทั้งเจ็ดแห่งนั้นให้นางไม่ได้เด็ดขาด หากให้ไปแล้ว ข้าและจวิ้นเอ๋อร์ ยังมีเซียนเอ๋อร์ ต่อไปคงไม่เหลือกระไรแล้ว! ”

        “ไหวหยางจวิ้นจู่ ข้าคิดว่าพวกเราควรเข้าไปในวังหลวงดีกว่า! ตอนนี้พวกท่านดูไม่สบายใจกับคำพูดไร้สาระเหล่านี้ หากพวกเราไปในวังหลวงคงได้ดื่มชากันแล้ว! ” ซูจิ่นซีเพิ่มยาแรงในเวลาที่เหมาะสม

        ใบหน้าของไหวหยางจวิ้นจู่อึมครึมยิ่งนัก นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าก้มไปพูดกระไรที่ข้างหูของฮั่วซื่อ หลังจากนั้นก็กลับมายืดตัวตรงแล้วกล่าวขึ้นว่า “พี่สะใภ้รู้ว่ามันไม่ง่ายที่เจ้าใช้ชีวิตในจวนสกุลฮั่ว หอโอสถทั้งเจ็ดแห่งนั้น เจ้าและซูจ้งจัดการดูแลด้วยกันมามากกว่าครึ่งชีวิต และมีความผูกพันเช่นกัน ทว่าตอนนี้หอโอสถถูกอิทธิพลของฝ่ายขุนนางบีบคั้น ไม่ใช่ว่ามีอีกหลายแห่งถูกปิดไปแล้วหรอกหรือ? หากเป็นเช่นนี้ต่อไป หอโอสถทั้งเจ็ดนั้นก็นับว่าเป็นง่อยแล้ว สู้ให้พระชายาโยวอ๋องไม่ดีกว่าหรือ! ไม่แน่บางทีอาจมีโยวอ๋องหนุนหลังอยู่ ยังสามารถทำอันใดให้ดีขึ้นได้ อย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าจะอยู่ในมือผู้ใด ก็ไม่ใช่จวนสกุลซูหรอกหรือ? เมื่อถึงเวลานั้น หน้าตาของเจ้าก็จะเปล่งประกายเจิดจรัสขึ้นมาเช่นเดียวกัน”

        “แต่… ” ฮั่วซื่อยังคงไม่ยินยอมเล็กน้อย

        “ยังจะแต่กระไรอีก? แม้ไม่มีหอโอสถทั้งเจ็ดนั่นแล้ว หลังจากนี้ข้าและพี่ของเจ้า ไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจเจ้าเลย ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จงอู่โหวจะสนับสนุนและเป็นเสาหลักของเจ้าเสมอ”

        ฮั่วซื่อกัดฟันกรอด นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดกับซูจิ่นซีว่า “ตกลง! ซูจิ่นซี ข้าจะมอบสมุดบัญชีของหอโอสถทั้งเจ็ดแห่งให้ท่าน! ทว่าท่านต้องรับปากกับข้า เมื่อถึงเวลาการแข่งขันคัดเลือกผู้สืบทอดมรดกของจวนสกุลซู หากจวิ้นเอ๋อร์ชนะ เขาจะเป็นทายาทเพียงผู้เดียวของสกุลซู”

        ฮั่วซื่อคำนวณออกมาเป็นอย่างดี!

        หากซูจวิ้นชนะและได้สืบต่อทรัพย์สมบัติของจวนสกุลซู หอโอสถทั้งเจ็ดนั่น ตามกฎแล้วต้องสืบต่อไปถึงมือซูจวิ้น วนต่อไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาก็ย่อมกลับคืนสู่มือของฮั่วซื่อ

        ความคิดนี้ของฮั่วซื่อชัดเจนมาก เหตุใดซูจิ่นซีถึงจะมองไม่ออกเล่า?

        ซูจิ่นซียิ้มอ่อนและกล่าวว่า “รอให้ซูจวิ้นชนะค่อยมาว่ากัน! ”

         ดวงตาของฮั่วซื่อมองไปที่ไหวหยางจวิ้นจู่อย่างลึกซึ้ง นางกัดฟันพูดว่า “ตกลง วันพรุ่งข้าจะส่งคนนำสมุดบัญชีไปให้ที่จวนโยวอ๋องก็แล้วกัน”

        “ไม่ต้องรอวันพรุ่ง ไปเอามาตอนนี้เลยเถิด! ”

        ความคิดในท้องของฮั่วซื่อ มีหรือที่ซูจิ่นซีจะไม่รู้ หากวันพรุ่งนี้ฮั่วซื่อคิดเปลี่ยนใจหรือไม่ก็หาเหตุผลบ่ายเบี่ยง เมื่อไม่มีไหวหยางจวิ้นจู่และฮั่วปี้แล้ว นางคงไม่สามารถทำกระไรกับฮั่วซื่อได้ เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า

        “ไม่ต้องรีบถึงเพียงนี้กระมัง? ” รอยยิ้มบนใบหน้าของไหวหยางจวิ้นจู่ดูฝืนใจยิ่ง “พระชายาโยวอ๋อง ความจริงวันพรุ่งก็ต้องมอบให้ท่านอยู่แล้ว มีข้าอยู่ หรือท่านกลัวว่าชิงหลัวจะหักหลังหรือ? ”

         ชิงหลัวเป็นชื่อของฮั่วซื่อ

         “ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านไม่ต้องพูดกระไร ข้าไม่เคยเชื่อพวกท่าน! ”

        ซูจิ่นซีพูดตรงประเด็นเป็นอย่างมาก ท่าทางของไหวหยางจวิ้นจู่ดูอึดอัดอย่างคนทำกระไรไม่ถูกไปชั่วขณะ นางหัวเราะแห้งสองครั้งและพูดกับฮั่วซื่อว่า “ยังไม่ไปเอามาอีก! ”

        ใบหน้าของฮั่วซื่อดูลำบากใจเหมือนอยากพูดกระไรบางอย่าง ทว่าภายใต้การบังคับขู่เข็ญของไหวหยางจวิ้นจู่ นางทำได้เพียงกัดฟันอดทนไว้และออกจากประตูหนานย่วนไปอย่างขุ่นเคือง

        เว่ยเหม่ยเจียร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด เฉินไท่เฟยก็คอยเกลี้ยกล่อมอยู่ตลอด บางครั้งเว่ยเหม่ยเจียก็สบถคำหยาบคายใส่ซูจิ่นซี ทว่าตอนนี้ซูจิ่นซีคร้านที่จะสนใจนางแล้ว

        เว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกงเห็นซูจิ่นซีเอาตนเองเป็นที่ตั้ง เมื่อโยนปัญหาให้ซูจิ่นซีแล้วทุกอย่างราบรื่น จึงไม่ได้พูดอันใดออกมาเช่นกัน

         แม้การแสดงออกของไหวหยางจวิ้นจู่จะดูเหมือนประจบประแจงซูจิ่นซี ทว่าในใจกลับสุมไปด้วยไฟ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะคุยอันใดกับซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีให้แม่นมฮวาชงชาชั้นดีมาดื่มในลานผู้เดียวอย่างสบายใจ

        ความจริงระยะทางจากหนานย่วนมาถึงจวนสกุลซูใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม ทว่าฮั่วซื่อกลับใช้เวลาไปกว่าหนึ่งชั่วยามถึงได้นำสมุดบัญชีของหอโอสถทั้งเจ็ดมา

        ไหวหยางจวิ้นจู่รออย่างหงุดหงิด “พิรี้พิไรนานถึงเพียงนี้ แทบจะแห้งตายอยู่แล้ว”

        “พี่สะใภ้ ข้าต้องส่งสมุดบัญชีให้กับซูจิ่นซีจริงหรือ? ไม่ลองคิดหาทางอื่นดูเล่า? ” ทั้งหัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไตของฮั่วซื่อล้วนเป็นทุกข์

        ไหวหยางจวิ้นจู่แย่งสมุดบัญชีจากมือของฮั่วซื่อมา “มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า หากรู้เช่นนี้แล้ว จะไปตั้งแต่แรกเพื่อกระไร? ”

        ไหวหยางจวิ้นจู่กำลังตำหนิฮั่วซื่อว่าเหตุใดไม่กำจัดซูจิ่นซีให้เร็วกว่านี้ คาดไม่ถึงว่าจะทนอยู่จวนสกุลซูกับนางมาตั้งนาน

        น่าเสียดายที่สายไปเสียแล้ว

        “พระชายาโยวอ๋อง ลองนับดูเถิดเพคะ! มีสมุดบัญชีหอโอสถทั้งเจ็ดไม่ขาดแม้แต่เล่มเดียว! ” ไหวหยางจวิ้นจู่นำสมุดบัญชีวางไว้ที่โต๊ะหินด้านหน้าซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีเปิดสมุดบัญชีดูทุกเล่มไม่ขาดตกบกพร่อง แม้มันจะดูเหมือนของจริง ทว่าซูจิ่นซียังคงไม่วางใจ อย่างไรเสีย นางที่ข้ามภพมาและเจ้าของร่างเดิมล้วนไม่เคยได้สัมผัสสมุดบัญชีเหล่านี้ นางกลัวว่าฮั่วซื่อจะหลอก ดังนั้นจึงให้แม่นมฮวาตรวจสอบดู

        แม่นมฮวาดูอย่างละเอียด หลังจากพลิกอ่านเป็นเวลานาน ก็พูดกับซูจิ่นซีอย่างจริงจังว่า “พระชายาเพคะ นี่เป็นสมุดบัญชีทั้งเจ็ดของสกุลซูจริงๆ เพคะ ไม่ใช่ของปลอม”

        ซูจิ่นซีมองท่าทางเจ็บปวดของฮั่วซื่อที่ดูไม่เหมือนการเสแสร้ง นางจึงปิดสมุดลงและกล่าวว่า “ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านไปได้แล้ว! ”

        JX3 และ JX4 คลายมัดให้ไหวหยางจวิ้นจู่และฮั่วปี้

        “ขอลาเพคะ! ”

        น้ำเสียงของไหวหยางจวิ้นจู่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก นางดึงฮั่วปี้ออกจากประตูหนานย่วนไปด้วยความโมโห แม้ฮั่วซื่อจะเสียดายสมุดบัญชีเหล่านั้น ทว่าไหวหยางจวิ้นจู่ก็ไปแล้ว นางไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้จึงเดินตามออกไป

        เมื่อเดินออกจากประตูหนานย่วน ไหวหยางจวิ้นจู่ก็กระแทกเท้าเดินขึ้นไปบนรถม้า “ซูจิ่นซี บัญชีแค้นวันนี้ ข้าจะจำเอาไว้! ”

        เดิมทีวันนี้ไหวหยางจวิ้นจู่อาศัยฮ่องเต้หนุนหลังนาง นางคิดจะช่วยบุตรชายของตนออกมาจากเฉินไท่เฟย กลับไม่คิดว่าจะพ่ายแพ้ให้ซูจิ่นซี ทั้งบุตรชายยังถูกเอาเปรียบ มันช่างน่าโมโหเสียจริง

        “พี่สะใภ้ ที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้ว่าจะช่วยข้าเอาสมุดบัญชีทั้งหมดเหล่านั้นกลับมาจากมือของซูจิ่นซี และจะช่วยให้จวิ้นเอ๋อร์เป็นประมุขสกุลซู ท่านห้ามลืมเล่า”

        “ประมุขสกุลซู ประมุขสกุลซู ทุกวันนี้เจ้าก็จำได้เพียงเท่านี้! อย่างไรเจ้าก็เป็นฮูหยินของสกุลซู บุตรชายของเจ้าก็เป็นบุตรฮูหยิน หากไม่ใช่เพราะความล้มเหลวของตัวเจ้าเอง ซูจิ่นซีจะกวนน้ำจนจวนสกุลซูกลายเป็นเช่นนี้ได้หรือ? หลบไป! ” ไหวหยางจวิ้นจู่ผลักฮั่วซื่อออกแล้วขึ้นไปยังรถม้า

        ตอนแรกที่มา ไหวหยางจวิ้นจู่และฮั่วซื่อนั่งรถม้าคันเดียวกัน ทว่าตอนนี้ไหวหยางจวิ้นจู่กลับอารมณ์เสีย นางทิ้งให้ฮั่วซื่อเดินเพียงลำพัง

        ฮั่วซื่อยืนอยู่ที่ประตูหนานย่วนมองดูรถม้าที่กำลังจากไป แล้วมองย้อนกลับไปยังหนานย่วน มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ทั้งร่างสั่นเทาอย่างโกรธแค้น

        “ซูจิ่นซี เจ้ารอข้าก่อนเถิด! ”

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset