สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 162 สหายสองประเภท ท่านเป็นสหายประเภทใด

        “พระชายา เข้ามาพูดด้านในเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ”

        อวิ๋นจิ่นชะงัก รีบเชิญซูจิ่นซีเข้าไปด้านใน

        ซูจิ่นซีเตรียมเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ทว่าอวิ๋นจิ่นกลับเชิญซูจิ่นซีไปที่ศาลาริมน้ำ

        ในจวนอวิ๋นมีผู้คนไม่มากนัก อวิ๋นจิ่นถอยห่างออกไปพอประมาณ ทั้งสองพูดคุยกันที่ศาลาริมน้ำคงปลอดภัยกว่า แม้ข้างสระจะมีคนแอบฟังทว่าพวกเขาไม่อาจได้ยินอันใด

        “ได้ยินว่าไม่กี่วันมานี้ทางวังหลวงถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าออก ไม่ทราบว่าหมอหลวงอวิ๋นสามารถเข้าออกวังหลวงได้หรือไม่? ”

        ซูจิ่นซีไม่อ้อมค้อม นางถามอวิ๋นจิ่นอย่างตรงไปตรงมา

        “กระหม่อมได้เข้าไปเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยชีพจรของฝ่าบาทและฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ หากไม่มีเจตจำนงจากฝ่าบาท การตรวจชีพจรรายวันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ดังนั้นแม้ว่าพระราชวังจะถูกห้ามเข้าออก ทว่ากระหม่อมยังสามารถเข้าออกพระราชวังได้พ่ะย่ะค่ะ”

        ดวงตาของซูจิ่นซีเป็นประกายขึ้นมาในทันใด นางรู้ว่าหากมาหาอวิ๋นจิ่นแล้วจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

        “หมอหลวงอวิ๋น ข้าจะไม่อ้อมค้อมและขอพูดกับท่านตามตรง วันนี้ข้ามาพบหมอหลวงอวิ๋นเพื่อธุระของท่านอ๋อง ตั้งแต่ท่านอ๋องเข้าวังไปเมื่อคืนนี้ เขายังไม่เสด็จกลับจวน บัดนี้ฮ่องเต้ได้สั่งปิดวังหลวงอีกครั้ง ที่จวนล้วนไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ของท่านอ๋องเป็นอย่างไร”

        มีความลังเลปรากฏที่มุมปากของอวิ๋นจิ่น ทว่าเขายังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่ทราบว่าพระชายาต้องการให้ข้าน้อยทำสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ? ”

        ซูจิ่นซีแปลกใจอยู่บ้าง นางไม่ได้ตอบคำพูดของอวิ๋นจิ่นโดยตรง ทว่านางยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “หมอหลวงอวิ๋น ท่านไม่ลองคิดพิจารณาเรื่องนี้หรือทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกระไรหรือ? ”

        แท้จริงแล้วตอนที่ซูจิ่นซีมา นางได้เตรียมพร้อมมาแล้ว ว่าอวิ๋นจิ่นอาจลังเล อาจปฏิเสธ หรือเสนอเงื่อนไขแลกเปลี่ยนสิ่งใดบางอย่าง

        แม้นางและอวิ๋นจิ่นจะเคยพบกันหลายครั้ง และความประทับใจที่นางมีต่ออวิ๋นจิ่นนั้นก็ดูไม่เลวเลย ทว่าพวกเขาไม่ได้มีมิตรภาพที่ลึกซึ้งมากนัก

        อย่างไรก็ตาม อวิ๋นจิ่นได้ปักธงมาทางนี้แล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม นางจะพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อขอให้อวิ๋นจิ่นช่วยเหลือ

        ทว่าซูจิ่นซีไม่เคยคิดมาก่อนว่าอวิ๋นจิ่นจะตอบรับได้อย่างสบายอกสบายใจถึงเพียงนี้

        “พระชายานึกถึงกระหม่อมในเวลานี้ แสดงว่าพระองค์ทรงไว้เนื้อเชื่อใจกระหม่อม กระหม่อมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับใช้พระชายา เหตุใดกระหม่อมต้องจงใจทำให้เรื่องยุ่งยากเกินความจำเป็นเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

        “หมอหลวงอวิ๋น คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่ลักษณะของท่าน”

        ซูจิ่นซีรู้ดีว่า แม้อวิ๋นจิ่นจะเป็นขุนนางในราชวงศ์ ทว่าเขาไม่สามารถทำสิ่งที่เป็นการประจบสอพลอจำพวกนี้ได้ นับประสากระไรที่เขาจะทำต่อซูจิ่นซีเล่า

        อวิ๋นจิ่นยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อมองไปยังซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีถามอย่างจริงจังว่า “อวิ๋นจิ่น เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่? ”

        ความลังเลส่องประกายผ่านดวงตาของอวิ๋นจิ่น ทว่ารวดเร็วยิ่ง เร็วเสียจนซูจิ่นซีไม่สามารถสังเกตสิ่งใดได้เลย มันถูกรอยยิ้มอ่อนโยนของอวิ๋นจิ่นปกปิดไว้

        “พระชายา คราก่อนที่ตรวจชีพจรของไท่เฟยที่หนานย่วนเป็นครั้งแรกที่กระหม่อมได้พบกับพระชายา ก่อนหน้านั้นกระหม่อมและพระชายาไม่เคยพบกันมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

        “เช่นนั้น ยาเม็ดชนิดนี้เล่า? หมอหลวงอวิ๋นคงรู้จัก”

        ซูจิ่นซีแบฝ่ามือ ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่มียาสีขาวเม็ดเล็กสองสามเม็ดปรากฏในฝ่ามือ มันเป็นยาแผนตะวันตกในยุคปัจจุบัน

        อวิ๋นจิ่นก้าวไปข้างหน้า หยิบยาเม็ดในมือของซูจิ่นซีและมองอย่างละเอียด ทั้งยังลองชิมอีกครั้ง “ยาผงหลูเกินและยาหลิงเซียวตานเหล่านี้ถูกใช้ในหนานย่วนเพื่อรักษาอาการแพ้ให้กับไท่เฟย แม้ไม่ใช่ยาตัวเดียวกันทว่ากลับสืบเชื้อสายมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน เสียดายที่กระหม่อมไม่เคยเห็นยาประเภทนี้มาก่อนและไม่รู้จักชื่อของยานี้พ่ะย่ะค่ะ”

        “หมอหลวงอวิ๋น ท่านแน่ใจหรือว่าไม่เคยเห็นยานี้มาก่อน? ”

        ซูจิ่นซีถามอย่างจริงจังและสังเกตอย่างระมัดระวัง นางไม่ปล่อยการแสดงออกและลักษณะท่าทางใดๆ ของอวิ๋นจิ่นให้หลุดรอดไปได้เลย

        อวิ๋นจิ่นส่ายศีรษะอย่างมั่นใจ “กระหม่อมแน่ใจว่ายาชนิดนี้มีให้เห็นเฉพาะในมือของพระชายาเท่านั้น กระหม่อมเป็นหมอหลวงมาหลายปีถึงเพียงนี้ ไม่เคยเห็นยาจำพวกนี้มาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

        ซูจิ่นซีสังเกตการแสดงออกบนใบหน้าของอวิ๋นจิ่นอย่างละเอียดรอบคอบ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้หลอกลวงจริงๆ

        “ได้ อวิ๋นจิ่น ข้า…ซูจิ่นซีเชื่อท่าน! ”

        ตอนที่ซูจิ่นซีพูดคำนี้ ใบหน้าของนางแสดงถึงความจริงจัง นางเรียกชื่ออวิ๋นจิ่นโดยตรงแทนการเรียกหมอหลวงอวิ๋นและไม่เรียกแทนตนเองว่า ‘พระชายา’ อีกต่อไป

        อวิ๋นจิ่นลังเลเล็กน้อย “กระหม่อมสามารถถามพระชายาสักประโยคได้หรือไม่? ”

        “ท่านพูดเถิด”

        “เหตุใดพระชายาจึงเชื่อในตัวกระหม่อม”

        “สัญชาตญาณ! ” ใบหน้าของซูจิ่นซีทำให้คนไม่อาจคาดเดาได้

        “กระหม่อมขอบพระทัยพระชายา! ” อวิ๋นจิ่นคำนับซูจิ่นซี รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงปรากฏความผ่อนคลายราวกับพระจันทร์ที่กระจ่างใสและสายลมในฤดูใบไม้ผลิอย่างไรอย่างนั้น

        “อวิ๋นจิ่น ตราบใดที่ท่านยินยอม ข้าผู้นี้จะคบหาเป็นสหายของท่าน ทว่าหากวันหนึ่งท่านกล้าหลอกข้า ในชีวิตนี้ข้าจะไม่มีวันเชื่อท่านอีก! ”

        “ได้เป็นสหายกับพระชายา นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งของกระหม่อม”

        แม้อวิ๋นจิ่นจะพูดเช่นนี้ด้วยท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ทว่าเขากลับไม่แสดงท่าทางต่ำต้อยแม้แต่น้อย

        ซูจิ่นซีพยักหน้า

        “เมื่อครู่พระชายาบอกว่ามาหากระหม่อมเพราะมีเรื่องรับสั่ง ในเมื่อพระชายานึกถึงกระหม่อม แสดงว่าต้องวางแผนไว้แล้ว” อวิ๋นจิ่นถามขึ้น

        เมื่อกลับมาที่เรื่องหลัก การแสดงออกของซูจิ่นซีก็จริงจังขึ้นมาอีกครั้ง นางหยิบแหวนธำมรงค์ที่ขอให้แม่นมฮวาหาให้ก่อนหน้านี้ออกมาแล้วพูดว่า “อวิ๋นจิ่น หากท่านเต็มใจช่วยเหลือข้า ข้าคงไม่ปล่อยให้ท่านทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเกินไป วันพรุ่งนี้เมื่อท่านเข้าไปในวังหลวงเพื่อวินิจฉัยชีพจรของฮองเฮาจงนำสิ่งนี้ติดตัวไปด้วย ก่อนที่จะเข้าตำหนักจ้งหวา ให้ท่านเอาหินโมราบนแหวนมรกตนี้เผาบนกองไฟ เรื่องนี้ไม่ยากนัก เพียงท่านทำอย่างระมัดระวังก็จะไม่ถูกผู้อื่นสังเกตได้ ข้าจะเตรียมการสำหรับส่วนที่เหลือเอง”

        อวิ๋นจิ่นรับแหวนธำมรงค์ขึ้นมาดูเล็กน้อยและไม่ได้ถามกระไร เขายังคงพูดอย่างอบอุ่นแผ่วเบาว่า “พระชายาโปรดวางใจ เรื่องนี้กระหม่อมต้องจัดการแทนพระชายาให้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ”

        “ยาแก้พิษนี่ ท่านสามารถเอาไปล่วงหน้าได้! ”

        ซูจิ่นซีให้ยาอวิ๋นจิ่นอีกหนึ่งเม็ด ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบันของตะวันตก

        “ขอรับ ขอบพระทัยพระชายา! ”

        อวิ๋นจิ่นหยิบยาเม็ดในมือของซูจิ่นซีพร้อมกับแหวนธำมรงค์และเก็บอย่างระมัดระวัง

        ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงว่าการเดินทางมาจวนอวิ๋นในครานี้จะราบรื่นเช่นนี้ ยิ่งไม่ได้คาดหวังถึงทัศนคติของอวิ๋นจิ่น

        เขาจริงใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่หลอกลวงแม้แต่น้อย

        เขาให้ความรู้สึกอบอุ่นและสนิทชิดเชื้อกับซูจิ่นซีเสมอ ทำให้ซูจิ่นซีเต็มใจเชื่อเขาโดยไม่มีเหตุผล

        ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังข้ามภพ ซูจิ่นซีไม่ใช่คนที่สามารถไว้วางใจผู้อื่นได้ง่ายๆ

        ซูจิ่นซีขาดความรักตั้งแต่เด็ก นางมักสังเกตคำพูดและพฤติกรรมได้ดีกว่าผู้อื่นเสมอ นางรู้ดีกว่าผู้ใดว่าจิตใจคนยากแท้หยั่งถึง จิตคิดร้ายผู้อื่นไม่ควรมี ใจป้องกันระวังคนไม่ควรขาด

        ทว่าความรู้สึกของนางต่ออวิ๋นจิ่นนั้นพิเศษยิ่ง

        โดยทั่วไปมีคนอยู่สองประเภท ประเภทแรกคือศัตรูที่ปลอมตัวได้อย่างเก่งกาจ และประเภทที่สองคือสหายที่ปฏิบัติตนอย่างจริงใจ

        ทว่านางไม่รู้ว่าอวิ๋นจิ่นเป็นคนประเภทใด

        อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอวิ๋นจิ่นจะเป็นคนประเภทใด ในตอนนี้ซูจิ่นซีคิดว่าผู้ที่สามารถช่วยนางได้มีเพียงอวิ๋นจิ่นเท่านั้น ผู้ที่นางสามารถเชื่อใจได้มีเพียงอวิ๋นจิ่น

        ในความเป็นจริงสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นมิตรหรือศัตรูเช่นนี้ ซูจิ่นซีทำได้เพียงวางเดิมพันเท่านั้น เดิมพันกับตนเองด้วยสัญชาตญาณที่มีต่ออวิ๋นจิ่น และเดิมพันกับความคุ้นเคยที่ได้พบอวิ๋นจิ่นในครั้งแรก

          ทว่านางไม่รู้ว่าพรุ่งนี้อวิ๋นจิ่นจะทำอย่างไร

         เขาสามารถทำตามความคาดหมายของซูจิ่นซีได้จริงหรือ?

         ซูจิ่นซีจะสามารถชนะเดิมพันได้หรือไม่?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset