สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 163 ไม่มีรักแท้อยู่ในบ้าน

        เมื่อออกจากจวนอวิ๋น กว่าจะกลับถึงจวนโยวอ๋องก็เป็นยามจื่อแล้ว

        เมื่อเดินผ่านลานบ้านของอนุปี้และซูอวี้ ซูจิ่นซีก็เห็นว่าไฟในลานบ้านยังเปิดอยู่จึงเดินเข้าไป

        นางไม่พบอนุปี้ ส่วนซูอวี้อยู่ในห้องคอยติดตามหมอเทวดาหวาเพื่อเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์

        เมื่อรู้ว่าซูอวี้มีพื้นฐานทางทฤษฎีที่ไม่เลว หมอเทวดาหวาจึงได้อธิบายประสบการณ์เชิงปฏิบัติให้กับซูอวี้โดยเฉพาะ รวมถึงตัวอย่างทั้งหมดที่เขาได้พบในประสบการณ์จริงของตน

        เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังเรียนหนังสืออย่างจริงจัง ซูจิ่นซีจึงไม่ได้เข้าไปรบกวน

        “พระชายาเพคะ! ”

        เมื่อซูจิ่นซีเตรียวตัวเดินออกจากลาน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของอนุปี้ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

        ซูจิ่นซิ่นหันกลับไป

        “ในเมื่อพระชายามาแล้ว เหตุใดจึงไม่เข้าไปเพคะ? ”

        อนุปี้ยังคงเป็นคนอ่อนโยน มีคุณธรรม มีความรู้ และมีมารยาทเช่นเคย

        “เวลาไม่เช้าแล้ว เรียนไปได้ไม่น้อย ให้อวี้เอ๋อร์และหมอเทวดาหวาพักเร็วหน่อยเถิด! ” ซูจิ่นซีกล่าวขึ้น

        “อวี้เอ๋อร์กระตือรือร้นรักเรียน กับหมอเทวดาหวาเองก็ถูกชะตากันยิ่งนัก ดังนั้นทุกคืนจึงได้ศึกษากันอีกสักพักหนึ่งเพคะ” อนุปี้เหลือบมองไปยังห้องที่ซูอวี้และหมอเทวดาหวาอยู่ ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนของมารดา

        “อวี้เอ๋อร์ฉลาดมาก อนุปี้ชี้แนะสั่งสอนอวี้เอ๋อร์ได้ดีจริงๆ ”

        การแสดงออกของอนุปี้ลังเลเล็กน้อย นางยกยิ้มอย่างแผ่วเบาพลางกล่าวว่า “พระชายาคงเพิ่งกลับมาจากข้างนอกกระมัง? หม่อมฉันได้อุ่นอาหารมื้อเย็นไว้แล้ว เข้าไปเสวยสักหน่อยเถิดเพคะ! ”

        ทันทีที่อนุปี้พูดถึงอาหาร ซูจิ่นซีก็นึกขึ้นได้ว่านางมัวแต่ยุ่งอยู่กับธุระของเว่ยเหม่ยเจียตลอดทั้งเช้า กระทั่งบัดนี้ยังไม่ได้ทานข้าวแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่ปฏิเสธ

        อนุปี้ทำโจ๊กง่ายๆ และของว่างอีกเล็กน้อย ทั้งยังมีผลไม้อีกด้วย

        “พระชายาเพคะ ท่านเสวยก่อนเถิดเพคะ ข้ายกไปให้อวี้เอ๋อร์และท่านหมอเทวดาหวาแล้วชุดหนึ่งเพคะ”

        “ได้! ” ซูจิ่นซีพยักหน้า

        หลังจากที่อนุปี้จากไป ซูจิ่นซีก็มองไปรอบๆ ห้องของอนุปี้ นางพบว่าแม้สิ่งของในเรือนจะเป็นของจวนโยวอ๋อง ทว่าอนุปี้กลับทำความสะอาดเสียเอี่ยมอ่อง ในห้องยังจุดเครื่องหอมไว้ กลิ่นเครื่องหอมไม่แรงมากนัก แม้จะบางเบาทว่าเมื่อสูดดมกลับมีกลิ่นสดชื่นมากเป็นพิเศษ

        ซูจิ่นซีทานขนมยามดึกที่อนุปี้ทำอีกสองสามคำ รสชาติอร่อยมากเสียจริง

        ไม่แปลกใจที่ซูจ้งจะเพิกเฉยต่อความขัดแย้งของฮั่วซื่อ และกดดันฮั่วซื่อให้พาอนุปี้สองแม่ลูกเข้าจวนสกุลซู

        สตรีเช่นนี้มีความอ่อนโยน มีคุณธรรม มีน้ำใจ สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการทำอาหารที่เอร็ดอร่อย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือช่วยเหลือสามีและอบรมสั่งสอนลูก รับบทบาทตามประเพณีของภรรยาที่ดี ทั้งยังสามารถสั่งสอนเด็กที่ฉลาดอย่างซูอวี้ได้ นับเป็นบัวหลวงพันกลีบ [1] ที่รู้ความของซูจ้งดอกหนึ่ง

        ถ้าไม่ใช่เพราะถูกฮั่วซื่อข่มไว้ ไม่แน่ว่าบางทีซูจ้งอาจยกอนุปี้เป็นฮูหยินหรือภรรยาที่ถูกต้องแล้วกระมัง?

        หากไม่มีความคิดดังกล่าว ซูจ้งคงไม่อาจล้มล้างอิทธิพลของสกุลฮั่วในสกุลซูและยกให้ซูอวี้เป็นทายาทผู้สืบทอดของสกุลซู

        ซูจิ่นซีกำลังคิดไตร่ตรองอยู่ อนุปี้ก็เปิดประตูเข้ามา

        “พระชายาเพคะ รสชาติถูกปากท่านหรือไม่เพคะ? ”

        “ดียิ่ง! ” ซูจิ่นซียิ้มแผ่วเบา

        ซูจิ่นซีและอนุปี้ไม่คุ้นเคยกันเท่าใดนัก ทั้งสองไม่มีหัวข้อมากมายให้พูดคุยในแต่ละครั้ง ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดพูด ซูจิ่นซีจดจ่ออยู่กับอาหารมื้อเย็นของตนจนหมด

        “อนุปี้ บิดาของข้าคงชอบไปที่เรือนท่านมากแน่ๆ ใช่หรือไม่! ” ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ถามขึ้นขณะที่อนุปี้กำลังเก็บกวาดจาน

        นัยน์ตาของอนุปี้เหม่อลอยอย่างมีความสุขเล็กน้อย ทว่านางรีบปกปิดเอาไว้อย่างรวดเร็ว “พระชายา ท่านอย่าคิดมากเลยเพคะ”

        ซูจิ่นซียิ้มแผ่วเบาที่มุมปาก “มารดาของข้าจากไปนานแล้ว ข้าจึงเอาชีวิตรอดไปวันๆ ทั้งยังไม่เคยสู้รบปรบมือกระไร ดังนั้นข้าไม่คิดมากอย่างแน่นอน”

        “เวลาปกติท่านพี่ปฏิบัติต่ออนุนางอื่นอย่างไร หม่อมฉันไม่ค่อยรู้เรื่องมากเท่าไรเพคะ ทว่าตอนที่อวี้เอ๋อร์กับหม่อมฉันอยู่นอกจวน ท่านพี่มักจะมาเยี่ยมพวกเราบ่อยครั้งและดูแลพวกเราแม่ลูกอย่างดี” คำพูดของอนุปี้ช่างเหมาะสมยิ่งนัก

        ซูจิ่นซีถามอนุปี้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ แม้เป็นเพียงการพูดคุยเล็กน้อยเท่านั้น ทว่านางไม่คิดสนทนาให้มากจนเกินไป แม้จะต้องการก็ตาม

        “ค่ำมืดมากแล้ว ข้าคงต้องกลับไปพักผ่อนก่อน อนุปี้ก็ควรพักผ่อนโดยไวเช่นกัน! ”

        “พระชายาเพคะ… ” นัยน์ตาของอนุปี้หลุบมองต่ำ ดูเหมือนว่านางกำลังลังเลสิ่งใดอยู่

        “อนุปี้มีเรื่องอันใดหรือ? ”

        “… ”

        อนุปี้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ลังเลว่าควรพูดออกมาหรือไม่

        ทว่าซูจิ่นซีเดาได้อยู่แล้วว่าอนุปี้จะถามสิ่งใด “อนุปี้ต้องการถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของท่านพ่อในคุกหลวงหรือ? ”

        ดวงตาของอนุปี้เป็นประกาย ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองซูจิ่นซี “พระชายาเพคะ ท่านพี่อยู่ในคุกหลวงสบายดีหรือไม่เพคะ?  ท่านได้เห็นเขาหรือไม่? ”

        ความประหลาดใจแวบผ่านเข้ามาในดวงตาของซูจิ่นซี นางไม่เคยคาดคิดว่าอนุปี้จะจริงใจกับซูจ้ง

        แท้จริงแล้วไม่ว่าเขาจะเกิดในราชวงศ์หรือสกุลที่มีชื่อเสียง ทว่าเรื่องในเรือนหลังของจวนเหล่านี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน

        บางทีในคราแรกมันอาจเป็นความรักที่แท้จริงของคู่รักข้าวใหม่ปลามัน ทว่าหลังจากเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นปากหวานก้นเปรี้ยว ทำลายสึกกร่อนจนหลงเหลือเพียงผลประโยชน์เท่านั้น

        เช่นเดียวกับฮั่วซื่อ อนุหลิว และคนอื่นๆ ในจวนสกุลซู ตั้งแต่วินาทีที่ซูจ้งเข้าไปในคุกหลวง เกรงว่าพวกเขาคงเริ่มคิดหาวิธีว่าจะโบยบินแยกจากไปอย่างไร จะแบ่งความมั่งคั่งของจวนสกุลซูอย่างไร และจะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์อันสูงสุดของตนเองอย่างไร

        เดิมทีไม่มีผู้ใดเคยถามมาก่อนว่าซูจ้งเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่ตั้งตารอว่าการเข้าไปยังคุกหลวงในครั้งนี้ของซูจ้ง เขาจะไม่กลับออกมาอีกเลยกระมัง?

        แม้ซูจ้งจะไม่ใช่สิ่งของ ทว่าในขณะที่ซูจิ่นซีคิดถึงสิ่งเหล่านี้ นางกลับรู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย

        “ก่อนกลับไปยังจวนสกุลซู ข้าได้พบเขาสองครั้ง หลังจากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย สถานที่อย่างคุกหลวงไม่ใช่ที่ที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย ตราบใดที่เขาฉลาดมากพอ เขาอาจทนทุกข์น้อยลง” ซูจิ่นซีเอ่ยอย่างแผ่วเบา

        อนุปี้รู้สึกเศร้าเสียใจเล็กน้อย ทว่าก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนจางอย่างรวดเร็ว “ขอบพระทัยพระชายาเพคะ”

        “อนุปี้พักผ่อนเร็วหน่อยเถิด! ”

        ซูจิ่นซีพยักหน้าและเดินออกประตูไป คิดไม่ถึงว่าเมื่อเดินออกมาจะได้เห็นซูอวี้ยืนอยู่ข้างนอก

        ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ยืนอยู่ตรงนี้นานเพียงใดแล้ว การแสดงออกของเขาดูทุกข์ใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นซูจิ่นซี ซูอวี้ก็เลิกคิ้วยกยิ้มขึ้น

        “ท่านพี่จิ่นซี ท่านมาเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ ไม่เรียกอวี้เอ๋อร์เลย”

        ซูจิ่นซียิ้มอย่างอ่อนโยนและบีบแก้มเล็กๆ บอบบางของซูอวี้ “มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว เจ้าเรียนอย่างอุตสาหะยิ่ง! คำสอนของหมอเทวดาหวาเป็นอย่างไรบ้าง? ”

        “บอกแล้วว่าอย่าหยิกแก้มข้า ข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ! ”

        รอยยิ้มบนใบหน้าของซูอวี้เปลี่ยนเป็นเบื่อหนายในทันที เขาดันมือของซูจิ่นซีออก

        ซูจิ่นซียิ่งเผยรอยยิ้มมากขึ้น นางบีบใบหน้าของซูอวี้อีกครั้ง “เจ้ามันเป็นเพียงเด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง! ”

        “หากท่านทำเช่นนี้อีก ในอนาคตข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว! ” ซูอวี้พูดขึ้นอย่างหมดความอดทน

        เขากล้ารับประกันว่าหากซูจิ่นซีเห็นเขาไม่ทันไรก็แตะเนื้อต้องตัวเขาเช่นนี้ ในอนาคตเขาคงต้องหวาดวิตกต่อซูจิ่นซีอย่างแน่นอน

        “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว เลิกเรียนแล้วก็ไปพักผ่อนเสียเถิด! ข้าขออวยพรให้เจ้าล่วงหน้า ตอนที่แข่งขันขอให้ได้รับผลคะแนนที่ดี พี่หญิงสนับสนุนเจ้านะ! ” ซูจิ่นซีใช้โอกาสนี้ลูบศีรษะซูอวี้อย่างดุเดือด

        ทันใดนั้นผมที่นุ่มสลวยและเรียบร้อยของซูอวี้ก็ถูกลูบจนเป็นก้อนปุกปุยในทันที

        ซูอวี้เป่าลมจนแก้มพอง เขาจ้องไปที่ซูจิ่นซี “บอกว่าอย่าแตะต้องตัวข้า เหตุใดท่านยังทำเช่นนี้อยู่เล่า? บอกไม่จำเลยแม้แต่น้อย ท่านเป็นถึงพระชายา”

        “อวี้เอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท! ”

        อนุปี้ก้าวออกมาคว้าตัวซูอวี้ไว้อย่างรวดเร็ว นางพูดกับซูจิ่นซีว่า “พระชายาเพคะ อวี้เอ๋อร์ยังเด็ก ไม่รู้ความ ที่พูดเช่นนี้คงไม่ได้ตั้งใจ ท่านโปรดอย่าคิดเล็กคิดน้อยกับเขาเลยนะเพคะ”

        แน่นอนว่าซูจิ่นซีไม่คิดเล็กคิดน้อยกับซูอวี้อยู่แล้ว

        ใจของนางแคบยิ่งนัก ทว่ายังแยกแยะผู้คนและเหตุการณ์ได้ หากคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กก็คงไม่ใช่ซูจิ่นซีแล้ว

        ซูจิ่นซียิ้มและจงใจลูบหัวของซูอวี้อีกครั้ง “เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นเด็กเมื่อวานซืนแต่แกล้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่น้อย ผู้ใดจะเชื่อกันเล่า! พิสูจน์ให้ข้าเห็นให้ได้! หากในการแข่งขันเจ้ากล้าแพ้ให้กับผู้อื่น ชีวิตนี้เจ้าก็เป็นเพียงเด็กเมื่อวานซืนในใจของข้าเสมอ! ข้ายังจะขยี้ผมและหยิกแก้มเจ้า”

        “ได้! ท่านพี่จินซี ท่านรอดูเถิด! ข้าจะพิสูจน์ให้ท่านเห็นอย่างแน่นอน! ”

        เห็นได้ชัดว่าซูอวี้เป็นเพียงเด็กน้อย ทว่าในขณะนี้ดวงตาของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นมั่นคงและลึกล้ำเป็นพิเศษ

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset