สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 169 ยายเฒ่า ยังไม่พูดอีก

        รถม้าของซูจิ่นซีเพิ่งมาถึงหน้าประตูจวนโยวอ๋อง แม่นมฮวาและลวี่หลีที่รออยู่ตรงประตูก็เข้ามาต้อนรับอย่างเร่งรีบ

        “พระชายา ไท่เฟยเสด็จเพคะ! ”

        ไท่เฟย?

        “นางมาทำกระไร? ”

        “ไม่ทราบเพคะ ตอนนี้อยู่ในตำหนักฝูอวิ๋นของท่านอ๋อง! ท่านรีบไปดูเถิดเพคะ! วันนี้ดวงตาของหม่อมฉันกระตุกตลอดเวลา รู้สึกว่าต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอนเพคะ”

        อยู่ที่ตำหนักฝูอวิ๋นของเยี่ยโยวเหยา?

        ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋นของเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาไม่อนุญาตกระทั่งให้เฉินไท่เฟยประทับอยู่ในจวนโยวอ๋อง แล้วจะอนุญาตให้เฉินไท่เฟยเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋นของเขาได้อย่างไร?

        เปลือกตาของซูจิ่นซีกระตุก สัญชาตญาณของนางบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน ซูจิ่นซีจึงก้าวเท้าอย่างรีบร้อนเข้าไปในจวนจนมาถึงหน้าตำหนักฝูอวิ๋น

        ทหารอารักขาที่เฝ้าอยู่นอกประตูตำหนักฝูอวิ๋นมีใบหน้าลำบากใจยิ่งนักเมื่อเห็นซูจิ่นซี

        “ไท่เฟยเล่า? ” ซูจิ่นซีถามขึ้น

        ทหารอารักขารีบก้าวไปด้านหน้าแล้วคำนับ “ทูลพระชายา ไท่เฟยอยู่ด้านในพ่ะย่ะค่ะ! ”

        ดวงตาของซูจิ่นซีเย็นเยือกขึ้นมาในทันที นางก้าวขึ้นบันไดทีละก้าว เปิดประตูอย่างแผ่วเบาและเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋น

        แม้สิ่งของทุกอย่างในตำหนักฝูอวิ๋นยังคงมีความเรียบร้อยและเป็นระเบียบ ทว่าซูจิ่นซีมองเพียงแวบเดียวก็สังเกตได้อย่างรวดเร็วว่าหลายสิ่งหลายอย่างถูกเคลื่อนย้าย โดยเฉพาะโต๊ะทำงานของเยี่ยโยวเหยา

        เยี่ยโยวเหยาวางสิ่งของอย่างพิถีพิถันยิ่ง แม้แต่แม่นมฮวาที่เข้ามาทำความสะอาดในทุกวันยังไม่กล้าโยกย้ายสิ่งใดระหว่างการทำงาน หากตำแหน่งสิ่งของถูกเคลื่อนย้าย เพียงแวบเดียวก็สามารถมองออกได้

        ไม่รู้ว่าเฉินไท่เฟยอยู่ที่ใด หลังจากซูจิ่นซีเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋นก็ไม่เห็นนาง

        อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่ได้ตะโกนเรียกหาเฉินไท่เฟย ทว่านางได้เปิดสร้อยข้อมือปี่อั้นอย่างเงียบเชียบ

        ตำหนักฝูอวิ๋นกล่าวได้ว่าไม่เล็กนัก ทว่าก็ใหญ่ไม่เท่าวังหลวงที่กว้างขวางถึงเพียงนั้น เมื่อเปิดกำไลข้อมือปี่อั้นขึ้น ซูจิ่นซีก็ได้ยินเสียงแวดล้อมทั้งหมดอย่างชัดเจน ในไม่ช้าซูจิ่นซีก็พบตำแหน่งของเฉินไท่เฟย

        “ท่านแม่ ท่านกำลังทำกระไร? ” ซูจิ่นซีพูดขึ้นอย่างเย็นชา

        เฉินไท่เฟยที่กำลังมองหาบางสิ่งอย่างตั้งใจผงะไปเพราะเสียงของซูจิ่นซี ชั่วพริบตาก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง นางลูบอกของตนด้วยใบหน้าตื่นตระหนก “จิ่น… จิ่นซี เจ้า… เหตุใดเจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้ นี่เจ้า… เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใดกัน? ”

        ซูจิ่นซีหรี่ตาทั้งสองข้างมองเฉินไท่เฟย นางเห็นว่าเฉินไท่เฟยได้ซ่อนบางสิ่งไว้ด้านหลังด้วยความตื่นตระหนก

        “ท่านแม่ยังไม่ได้ตอบคำถามข้านะเพคะ! ท่านอ๋องกับข้าไม่อยู่ในจวน ท่านแม่มาทำกระไรคนเดียวในห้องลับของฝ่าบาทหรือเพคะ? ”

        แม้ซูจิ่นซีจะเคยมาที่ตำหนักฝูอวิ๋นของเยี่ยโยวเหยาแล้วหลายครั้งหลายครา ทว่าซูจิ่นซีไม่รู้ว่ายังมีห้องลับอยู่ที่นี่อีกห้องหนึ่ง เฉินไท่เฟย…นางมีเหตุผลเหมาะสมอันใดถึงมาที่นี่กัน?

        เฉินไท่เฟยเป็นตัวละครที่เล่นได้สมบทบาทคนหนึ่งเช่นกัน แม้นางจะประหม่ายิ่งนัก ทว่าก็ทำจิตใจให้สงบอย่างรวดเร็วได้ราวกับไม่มีอันใดอย่างไรอย่างนั้น

        “วันนี้ไม่ใช่วันที่จวนจงอู่โหวส่งคนมาที่หนานย่วนหรอกหรือ! เรื่องระหว่างเหม่ยเจียและฮั่วปี้ได้รับการตัดสินแล้ว แม่จำได้ว่าเหม่ยเจียมีกุญแจอายุยืนอยู่ดอกหนึ่ง ตอนที่นางยังเด็ก นางต้องการสวมมันเมื่อนางเป็นเจ้าสาว ทว่าหาในหนานย่วนอย่างไรก็หาไม่พบ แม่สงสัยว่าจะอยู่กับเยี่ยโยวเหยา ดังนั้นจึงมาตามหามันเสียหน่อย”

        “กุญแจอายุยืนของเว่ยเหม่ยเจียจะอยู่กับท่านอ๋องได้อย่างไร? ” ใบหน้าของซูจิ่นซีเคร่งขรึม นางขมวดคิ้วมุ่น

        “แม่… แม่ไม่รู้เช่นกัน นานแล้วที่ไม่เห็นกุญแจอายุยืน แม่เพียงเดาว่าบางทีเหม่ยเจียมาหาเยี่ยโยวเหยาแล้วอาจทำหล่นไว้ที่นี่”

        “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านแม่ไม่ถามท่านอ๋องหรือเว่ยเหม่ยเจียตามตรงเสียเลยเพคะ? ไม่แน่บางทีอาจเร็วกว่าการค้นหาอย่างไร้สติและขาดเหตุผลเช่นนี้หลายเท่านะเพคะ! ”

        เฉินไท่เฟยยิ้มแห้งที่มุมปาก “ที่จิ่นซีพูดก็ถูก ดูความจำของแม่สิ เหตุใดจึงลืมถามเว่ยเหม่ยเจียได้เล่า? แม่จะกลับไปถามนาง! หลังจากที่โยวเหยากลับมา เจ้าช่วยแม่ถามเขาเสียหน่อยว่าเห็นกุญแจอายุยืนหรือไม่”

        ขณะที่พูดอยู่ เฉินไท่เฟยก็เตรียมเดินออกไปด้านนอกด้วยความตื่นตระหนก

        ทว่าเมื่อเฉินไท่เฟยเดินผ่านซูจิ่นซี ซูจิ่นซีกลับบีบข้อมือของนาง “ท่านแม่ ท่านถือสิ่งใดอยู่ในมือเพคะ? ”

        เมื่ออยู่ใกล้เฉินไท่เฟย ซูจิ่นซีถึงได้เห็นว่าหน้าผากและแก้มของเฉินไท่เฟยปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบหนาแน่น

        เฉินไท่เฟยส่งยิ้มแห้งและพูดว่า “ไม่… ไม่มีกระไร จิ่นซี เจ้าเป็นกระไรไปแล้ว? เจ้ารีบปล่อยแม่ เจ้าบีบมือของแม่จนเจ็บไปหมดแล้ว! ”

        “เฉินไท่เฟย…อย่าทำตัวไร้เกียรติ สิ่งของในตำหนักฝูอวิ๋นไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะเอาออกไปได้ เอาคืนมาให้ข้า! ” ดวงตาดุดันของซูจิ่นซีจ้องตรงไปยังดวงตาของเฉินไท่เฟย ราวกับว่ากำลังมองทะลุเฉินไท่เฟยอย่างไรอย่างนั้น

        เฉินไท่เฟยหอบหายใจไม่ทั่วท้องด้วยความประหม่า “จิ่นซี เจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใด แม่… แม่ไม่เข้าใจ เหตุใดเจ้าจึงพูดกับแม่เช่นนี้? ”

        “ที่ข้าเรียกท่านว่าท่านแม่เพราะพระคุณในฐานะที่ท่านชุบเลี้ยงท่านอ๋องจนเติบใหญ่ ทางที่ดีท่านควรรู้จักพอในเวลาที่เหมาะสม หากวันหนึ่งท่านอ๋องรู้ความจริง ท่านจะลงเอยด้วยสิ่งใด คิดว่าท่านคงรู้ดีกว่าข้า”

        “เจ้ากับโยวเหยาพูดกระไรกัน? ” เฉินไท่เฟยมองซูจิ่นซีอย่างหวาดระแวง

        เยี่ยโยวเหยาไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของเฉินไท่เฟย อีกทั้งนางยังเลี้ยงดูบุตรสาวที่แท้จริงข้างกายตนเองอย่างเงียบๆ คาดไม่ถึงว่าเฉินไท่เฟยสามารถหลบซ่อนเยี่ยโยวเหยามาได้หลายปีถึงเพียงนั้น ซูจิ่นซีไม่อาจจินตนาการได้ว่าหากเยี่ยโยวเหยารู้ความจริง เขาจะยอมรับมันได้อย่างไร

        นางไม่ต้องการทรยศเยี่ยโยวเหยา ทว่านางจะอธิบายกับเขาได้อย่างไร?

        ซูจิ่นซีไม่ต้องการพูดเรื่องไร้สาระกับเฉินไท่เฟยให้มากความ นางเพิ่มแรงบีบที่ข้อมือของเฉินไท่เฟยให้หนักขึ้น พลางจ้องมองเฉินไท่เฟยที่อยู่ตรงหน้า “เอาของออกมาคืน! ”

        ซูจิ่นซีดุดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เฉินไท่เฟยหวาดกลัวจนอกสั่นขวัญแขวน นางไม่ทันระวังทำให้สิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านหลังร่วงลงบนพื้น

        ดวงตาของซูจิ่นซีหรี่ลงอย่างมืดมนยิ่งนัก นางสะบัดเฉินไท่เฟยลงกับพื้นและก้มลงหยิบของจากพื้นขึ้นมา

        มันคือเสือสีทองตัวเล็ก แม้ขนาดไม่ใหญ่นักทว่ากลับถูกแกะสลักให้เสมือนว่ามีชีวิต มีพลังกล้าหาญ และดุดัน

        ปฏิกิริยาแรกของซูจิ่นซีคือ ‘ปิงฝู’ สิ่งที่ใช้สั่งระดมกำลังทหาร

        ดวงตาของซูจิ่นซีเย็นเยือกมากกว่าเดิม “ท่านกำลังมองหากุญแจไม่ใช่หรือ? หยิบสิ่งนี้ไปทำกระไร? ”

        “ข้า… ข้าไม่รู้ว่าสิ่งนี้มาจากที่ใด! ”

        เฉินไท่เฟยนอนอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าซีดเซียว กระทั่งน้ำเสียงยังสั่นสะท้าน

        “หากวันนี้ไม่ถูกข้าพบเข้า ท่านวางแผนจะมอบสิ่งนี้ให้ผู้ใด? ”

        “เจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใด ข้าไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียว! ”

        แสร้งทำเป็นโง่?

        น่าเสียดายที่แผนการนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าซูจิ่นซีกลับดูไร้ประโยชน์อย่างถึงที่สุด

        “ในเมื่อไท่เฟยไม่รู้ เช่นนั้นก็ไปวังหลวงกับข้า ไปถามฝ่าบาทให้ชัดเจน เข้าไปวังหลวงในครั้งนี้จงบอกให้ท่านอ๋องได้ทรงทราบว่าเขากับเว่ยเหม่ยเจียมีชาติกำเนิดอย่างไร”

        ซูจิ่นซีพูดพร้อมกับดึงข้อมือเฉินไท่เฟยขึ้นมาแล้วลากนางออกไปด้านนอก

        ใบหน้าของเฉินไท่เฟยเปลี่ยนไปอย่างมาก น้ำตาคลอเป็นประกายในดวงตา “ไม่… ข้าไม่อยากเข้าวังหลวง ข้าไม่อยากไป! ซูจิ่นซี ข้าขอร้องเจ้า เจ้าปล่อยข้าไปเถิด! ”

        ซูจิ่นซีหยุดลงและจ้องมองไปที่เฉินไท่เฟยด้วยแววตาเย็นชา “ปล่อยท่านไป? เช่นนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์! นอกเสียจากท่านจะบอกข้าว่าเหตุใดถึงแอบเข้าไปในห้องลับของท่านอ๋องเพื่อขโมยปิงฝู? เป็นผู้ใดที่สั่งให้ท่านมา? ”

        เฉินไท่เฟยผู้มีเกียรติและรุ่งโรจน์มาทั้งชีวิต เกรงว่านี่คงเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกคับอกคับใจและอักอ่วนเหลือทน เฉินไท่เฟยเงยหน้าขึ้นมองซูจิ่นซีอย่างมีความหวัง “ข้าจะพูดแล้ว ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง! ได้โปรดอย่าพาข้าเข้าวังไปพบฝ่าบาทกับโยวเหยา ซูจิ่นซี ข้าขอร้องเจ้าแล้ว! ”

        “พูดมา! ”

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset