สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 175 ผู้เสแสร้งเก่งทั้งสาม

        ตั้งแต่ต้นจนจบ ซูจิ่นซีไม่กล้าปฏิบัติอย่างประมาทเลินเล่อแม้แต่น้อย

        หลังจากฝังเข็มเงินเล่มสุดท้ายแล้ว ซูจิ่นซีก็ตรวจชีพจรซูอวี้อีกครั้ง สักพักรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

        “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ เป็นอย่างไรบ้าง? ” อวิ๋นจิ่นถามขึ้น

        “ชีพจรกลับมาเป็นปกติแล้ว”

        อวิ๋นจิ่นตรวจชีพจรของซูอวี้ด้วยเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าชีพจรของซูอวี้จะกลับมาเป็นปกติจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นจิ่นยังพบว่าวิธีการห้ามเลือดที่ซูจิ่นซีใช้นั้นมีประสิทธิภาพมากเช่นกัน เลือดที่ไหลออกจากบาดแผลมีปริมาณไม่มากแล้ว

        “ในที่สุดก็นำชีวิตของซูอวี้กลับคืนมาได้แล้ว” อวิ๋นจิ่นยิ้ม

        “แม้ชีพจรจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ทว่าไม่ได้หมายความว่าจะพ้นขีดอันตราย ทุกอย่างต้องรออวี้เอ๋อร์ตื่นขึ้นมาจึงจะสามารถยืนยันได้ ทว่าไม่รู้ว่าอวี้เอ๋อร์จะตื่นขึ้นมาเมื่อใด” การแสดงออกของซูจิ่นซีเศร้าสลดเล็กน้อย

        ใช่! ไม่รู้ว่าซูอวี้จะตื่นขึ้นมาเมื่อใด ข้างนอกยังมีการแข่งขันรอเขาอยู่!

        เวลานี้ด้านนอกคงสับสนวุ่นวายจนกลายเป็นก้อนกลมรวมกันไปแล้วกระมัง?

        การคาดเดาของซูจิ่นซีนั้นถูกต้อง ณ เวลานี้หอกุ้ยเหรินนั้นสับสนวุ่นวายจนกลายเป็นก้อนกลมรวมกันไปแล้ว

        ตัวแทนไกล่เกลี่ยการตัดสินหลายคนกำลังรออยู่ที่ประตูห้องรับรองด้านหลัง พวกเขารอให้ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นออกมาหลังจากช่วยเหลือซูอวี้ บนลานประลองแข่งขันมีเพียงฮั่วซื่อและบุคคลที่เข้าร่วมไม่กี่คนเท่านั้น

        “การแข่งขันนี้ยังสามารถจัดต่อได้หรือไม่? หากวันนี้แข่งขันไม่ได้ก็พูดมาเถิด ให้ทุกคนรออยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อันใด! ”

        “เมื่อครู่ท่านยังมองไม่เห็นหรือ? นายน้อยอวี้ได้รับบาดเจ็บเช่นนั้น พระชายาโยวอ๋องพานายน้อยอวี้ไปที่ห้องโถงด้านหลัง แน่นอนว่านางกำลังช่วยนายน้อยอวี้ แล้วการแข่งขันยังจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร? ”

        “ใช่ การแข่งขันนี้เจ้าภาพคือพระชายาโยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋องไม่พูดอันใด ผู้ใดจะกล้าเริ่มการแข่งขันโดยไม่ได้รับอนุญาต! ”

        “ใช่ ที่จริงแล้วข้าคิดว่าประเด็นสำคัญที่สุดของการแข่งขันในวันนี้คือพระชายาโยวอ๋องและเด็กน้อยซูอวี้ที่นางโปรดปราน บัดนี้พระชายาโยวอ๋องและซูอวี้ไม่อยู่ที่นี่แล้ว แม้การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้นก็ไม่มีความหมายกระไร”

        “นี่คือเหตุผล ในตอนนี้ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นที่ห้องโถงด้านหลัง ทั้งยังไม่มีผู้ใดออกมารายงานข่าวเลยสักคน! น่ากังวลเสียจริง! ”

        ผู้คนนอกห้องโถงเริ่มพูดคุยกันขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนที่นั่งในห้องโถงต่างได้ยินชัดเจน

        แม้ใบหน้าของฮั่วซื่อจะดูเหมือนว่าไม่มีกระไร ทว่ามือที่วางอยู่บนที่วางแขนกลับกำหมัดแน่น

        ซูจวิ้นมีอารมณ์เดือดดาลและกระสับกระส่ายมากที่สุด เขาตบโต๊ะและยืนขึ้นกล่าวว่า “ยังจะแข่งหรือไม่เล่า? จะให้พวกเรารอไปจนถึงเมื่อใดกัน”

        ตัวแทนผู้ไกล่เกลี่ยตัดสินของหอกุ้ยเหรินได้ยินเข้าก็รีบออกมาจากห้องโถงด้านหลังและกล่าวว่า “นายน้อยจวิ้น ท่านไม่ต้องกังวล ซูอวี้ได้รับบาดเจ็บ เวลานี้พระชายาและอวิ๋นจิ่นกำลังช่วยชีวิตอยู่ที่ห้องโถงด้านหลัง! ”

        “ให้พวกเขาช่วยชีวิตคนของพวกเขา ส่วนพวกเราก็แข่งของพวกเราไป หรือว่าไม่มีซูจิ่นซีแล้ว วันนี้การแข่งขันจะดำเนินต่อไปไม่ได้หรือ? ”

        ใบหน้าของตัวแทนผู้ไกล่เกลี่ยตัดสินมีความลำบากใจ แท้จริงแล้วก็เหมือนกับที่ทุกคนพูดในตอนนี้ เมื่อพระชายาไม่ฝากคำพูดอันใดไว้ ผู้ใดก็ไม่กล้าเริ่มการแข่งขันโดยไม่ได้รับอนุญาต!

        “ท่านหมายความว่าอย่างไร? ” ซูจวิ้นคว้าคอเสื้อของตัวแทนผู้ไกล่เกลี่ยตัดสิน

        ใบหน้าของตัวแทนผู้ไกล่เกลี่ยตัดสินเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “นายน้อยจวิ้น ท่านปล่อยมือ! ข้า…ข้าเป็นพียงผู้รับคำ ไม่สามารถตัดสินใจได้! ”

        ซูจวิ้นปล่อยตัวแทนผู้ตัดสิน “ในเมื่อท่านไม่สามารถตัดสินใจได้ ก็หาคนที่สามารถตัดสินใจได้มา ให้พวกเรารอที่นี่หมายความว่าอย่างไรกัน? หากซูจิ่นซีและซูอวี้อยู่ในนั้นไม่ออกมาเป็นเวลาสามวันสามคืน? พวกเรามากมายถึงเพียงนี้ก็ต้องรอที่นี่ถึงสามวันสามคืนหรือ? ”

        “นี่… ” ผู้รับผิดชอบรู้สึกลำบากใจอย่างแท้จริง

        “พวกเจ้าว่าอย่างไร! ” ซูจวิ้นตะโกนใส่ฝูงชนที่อยู่ด้านนอกห้องโถง

        ผู้ชมส่วนใหญ่เอนเอียงไปทางซูจิ่นซี เมื่อครู่พวกเขายังแอบพูดแทนซูจิ่นซี เมื่อซูจวิ้นถามเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่รู้จะพูดว่ากระไร

        พระชายาโยวอ๋องก็มีอุปสรรคความยากลำบากของนาง ทว่าสิ่งที่ซูจวิ้นพูดนั้นก็ใชว่าจะไม่สมเหตุสมผล

        หลังจากฝูงชนเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนขึ้นว่า “นายน้อยจวิ้นมีเหตุผล ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจชะลอการแข่งขันได้ ตอนนี้ผ่านยามฉือมานานมากแล้ว หากพระชายาโยวอ๋องและซูอวี้ไม่สามารถดำเนินการแข่งขันนี้ได้ เหตุใดทุกคนต้องสิ้นเปลืองแรงเช่นนี้เล่า! ”

        “ใช่แล้ว! แข่งเลย! รีบแข่งเถิด! ”

        “ฮูหยินฮั่ว แท้จริงแล้วท่านเป็นฮูหยินของสกุลซู ตามหลักแล้วท่านควรเป็นเจ้าภาพการแข่งขันในครานี้ ตอนนี้พระชายาโยวอ๋องมีสิ่งสำคัญที่ต้องจัดการในห้องโถงด้านหลัง เช่นนั้นก็ให้ท่านเป็นเจ้าภาพเถิด! ”

        “ใช่ ฮูหยินฮั่ว ทุกคนตั้งตารอให้ท่านเป็นเจ้าภาพตัดสิน! ท่านจะทำให้ทุกคนผิดหวังไม่ได้! ”

        บางคนในฝูงชนเริ่มเรียกร้องให้ฮั่วซื่อเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน แม้แรงผลักดันจะน้อย ทว่าก็ไม่มีผู้ใดยืนขึ้นเพื่อคัดค้าน

        แสงในดวงตาของฮั่วซื่อเปร่งประกายขึ้น ทว่านางกลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับอารมณ์ตื่นเต้นภายในใจตนเอง และแสร้งเอ่ยขึ้นว่า “ข้า… คงไม่ดีกระมัง? ”

        “มีกระไรไม่ดีกันเล่า! ท่านแม่ ข้าคิดว่าท่านใจดีเกินไป จึงเป็นเหตุให้ซูจิ่นซีนั่งบนศีรษะของท่าน” ซูเซียนฮุ่ยลุกขึ้นยืนและพูดขึ้น

        “เจ้าจะรู้กระไร? ” ฮั่วซื่อพูดด้วยใบหน้าเย็นชา

        ซูเซียนฮุ่ยไม่สะดุ้งตกใจแม้แต่น้อย “ท่านแม่เจ้าคะ แม้ซูจิ่นซีตอนนี้จะเป็นพระชายาโยวอ๋อง มีฐานะสูงส่ง ทว่าข้าต้องขอบอกว่า สตรีที่ออกเรือนแล้วไม่สมควรยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของจวนบิดามารดา การให้นางเป็นเจ้าภาพแข่งขันในครานี้ก็เห็นแก่หน้าโยวอ๋องไม่น้อย ทว่าอย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องของจวนสกุลซูเราทั้งหมด เมื่อซูจิ่นซีเกิดปัญหาบางอย่างจนทำให้การแข่งขันตามเวลาปกติต้องเลื่อนออกไป ในสถานการณ์เช่นนี้ท่านแม่ควรยืนขึ้นเป็นเจ้าภาพนะเจ้าคะ”

        การแสดงออกของฮั่วซื่อราวกับกำลังลังเล นางไม่ได้ตอบรับทว่าก็ไม่ได้คัดค้าน

        “ฮูหยินฮั่ว ท่านยืนขึ้นเป็นเจ้าภาพเพื่อควบคุมสถานการณ์โดยรวมเถิด! ”

        “ใช่ ฮูหยินฮั่ว เมื่อครู่คุณหนูเซียนฮุ่ยพูดถูก นี่เป็นเรื่องของครอบครัวสกุลซู ตอนนี้ท่านเป็นคนสำคัญที่สุดในสกุลซู! ”

        “เป็นเจ้าภาพเถิด! ฮูหยินฮั่ว ทุกคนเฝ้ารอท่านอยู่นะ! ”

        ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ความสนใจของฝูงชนที่มีต่อฮั่วซื่อยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ

        “ท่านแม่! ” ซู่เซียนฮุ่ยตะโกนขึ้น

        ทันใดนั้น การแสดงออกของฮั่วซื่อก็ชัดเจนขึ้นในทันที นางยืนขึ้นและกล่าวว่า “ในเมื่อทุกคนไว้วางใจในตัวข้าถึงเพียงนี้ ข้าจะยืนขึ้นเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันครานี้”

        “ดี! ”

        “ดี! ”

        “ดี! ”

        ฝูงชนด้านนอกห้องโถงร้องอย่างต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า

        แม้ฮั่วซื่อจะยอมจำนนอย่างมุ่งมั่น ทว่าความตื่นเต้นบนใบหน้าของนางไม่สามารถปกปิดไว้ได้ เนื่องจากอดกลั้นไว้นานเกินไป ดวงตาที่ตื่นเต้นจึงเริ่มแดงก่ำเล็กน้อย

        มือของนางในแขนเสื้อกว้างกำหมัดแน่น

        ซูจิ่นซี ครานี้สวรรค์ช่วยข้า เจ้าไม่สามารถตำหนิผู้อื่นได้ ตราบใดที่การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ซูอวี้ก็ต้องออกจากการแข่งโดยปริยาย

        ส่วนคนที่เหลืออยู่เหล่านั้น…

        ฮั่วซื่อจ้องมองไปยังผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันเหล่านั้น ผู้ใดจะเทียบได้กับซูจวิ้นของนาง?

        รอจนจวิ้นเอ๋อร์ชนะการแข่งขัน เรื่องราวทั้งหมดก็จะตกสู่กำมือของนาง เป็นไปตามที่นางคาดไว้ใช่หรือไม่?

        “ท่านแม่! ”

        เมื่อซูเซียนฮุ่ยเห็นว่าฮั่วซื่อกำลังคิดสิ่งใดอยู่และไม่พูดอันใดแม้แต่น้อย นางจึงร้องเรียกขึ้น

        ทันใดนั้นฮั่วซื่อก็กลับมารู้สึกตัว นางตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ตนเองใจลอยมากเกินไป คาดไม่ถึงว่านางจะลืมไปแล้วว่ายังอยู่ในสนามประลอง

        ดังนั้นฮั่วซื่อจึงยืดตัวตรง นางปรับสีหน้าเล็กน้อยและกล่าวดวยเสียงอันดังว่า “ทุกท่าน ข้าขอประกาศว่าการแข่งขันคัดเลือกทายาทประมุขสกุลซูได้เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้! ”

        “ช้าก่อน! ”

        ทันทีที่ฮั่วซื่อกล่าวจบ เสียงของซูจิ่นซีก็ดังขึ้นมาจากทิศทางห้องโถงด้านหลัง

        พระชายาโยวอ๋องออกมาแล้ว?

        สายตาทุกคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองยังทิศทางของเสียง

        ฮั่วซื่อ ซูเซียนฮุ่ย และซูจวิ้นต่างเปลี่ยนสีหน้า

        “ฮั่วซื่อ ท่านกล้าหาญยิ่ง ข้ายังไม่ตาย! ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเป็นเจ้าภาพตัดสิน? ”

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset