สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 177 ให้ความทรงจำอันยาวนานแก่พวกเจ้า

        “ทุกคนอย่าฟังสิ่งที่ซูเซียนฮุ่ยพูด ท่านพี่จิ่นซีไม่ได้ทำอันใดเลย ข้าทำด้วยความสมัครใจ ทั้งยังเป็นข้าที่ขอร้องท่านพี่จิ่นซีให้ข้าเข้าร่วมการแข่งขันครานี้ด้วย” ซูอวี้ออกมาพูดแทนซูจิ่นซีด้วยใบหน้าซีดเซียว

        “ซูอวี้ เจ้าบ้าไปแล้วกระมัง? หากเจ้าไม่ได้ถูกซูจิ่นซีฉวยโอกาส เจ้าจะเป็นเช่นตอนนี้หรือ? ” ซูเซียนฮุ่ยดูถูกเหยียดหยามซูอวี้

        ซูอวี้ทนต่อความเจ็บปวดบนร่างกาย เขาจ้องไปยังซูเซียนฮุ่ยแล้วกล่าวขึ้นว่า “หากท่านกล้าพูดเรื่องไร้สาระกับท่านพี่จิ่นซีอีก อย่าโทษข้าที่หยาบคายกับท่านก็แล้วกัน”

        แม้ซูอวี้จะตัวเล็กและได้รับบาดเจ็บอยู่ ทว่าดวงตาที่ราวกับคมมีดกลับจ้องมายังซูเซียนฮุ่ย ทำให้นางรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลังชั่วขณะ

        ซูเซียนฮุ่ยที่กำลังโต้เถียงซูอวี้ คำพูดพลันติดอยู่ที่ริมฝีปาก นางกลายเป็นคนขี้ขลาดขึ้นมาทันที “จ้องกระไรของเจ้า? หากจ้องข้าอีกครั้ง ข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมา”

        “ท่านแม่ ไม่ทราบว่าความผิดฐานใส่ร้ายพระชายาโยวอ๋องคือโทษสถานใดเจ้าคะ? ”

        ซูจิ่นซีถามฮั่วซื่อทันที

        ฮั่วซื่อไม่คาดคิดว่าซูจิ่นซีจะถามเช่นนี้ นางผงะเล็กน้อย ไม่เปิดปากพูดอันใดอีก

        “หมอหลวงอวิ๋น ท่านว่าอย่างไรเล่า! ” ซูจิ่นซีหันไปถามหมอหลวงอวิ๋นอีกครั้ง

        การแสดงออกของอวิ๋นจิ่นอ่อนโยนยิ่งนัก ทว่าสิ่งที่เขาพูดกลับโหดร้ายไร้ร่องรอยของมิตรภาพ “ทูลพระชายาพ่ะย่ะค่ะ ท่านเป็นองค์หญิงขั้นสี่ การดูหมิ่นเหยียดหยามท่านเท่ากับการไม่เคารพราชวงศ์ โทษของการไม่เคารพราชวงศ์คือการตัดศีรษะพ่ะย่ะค่ะ”

        “เช่นนั้นเมื่อครู่นี้ สิ่งที่ซูเซียนฮุ่ยและซูจวิ้นพูดทั้งหมดนับว่าเป็นการไม่เคารพข้าหรือไม่? ”

        อวิ๋นจิ่นเหลือบมองซูเซียนฮุ่ยและซูจวิ้นด้วยท่าทีสงบ “หากไม่พูดถึงเรื่องอื่น ในฐานะสามัญชน การเรียกพระชายาด้วยชื่อจริงเพียงอย่างเดียวนับเป็นเรื่องต้องห้าม ถือว่าไม่สุภาพกับท่านเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

        ซูจิ่นซีแสดงออกอย่างสงบนิ่งเช่นกัน นางไม่พูดสิ่งใดแม้แต่น้อย ทำเพียงหันหลังกลับและเดินไปนั่งยังตำแหน่งด้านบน จากนั้นก็มองฮั่วซื่ออย่างแน่วแน่

        แน่นอนว่าในใจของฮั่วซื่อเกลียดชังซูจิ่นซีเป็นอย่างมาก ในขณะนี้นางแทบรอไม่ไหวที่จะฉีกทึ้งซูจิ่นซี ทว่าจะมีวิธีใดเล่า? มีผู้คนมากมายคอยมองคอยฟังถึงเพียงนั้น หากนางฉีกหน้าซูจิ่นซีต่อหน้าธารกำนัล คงไม่เป็นประโยชน์อันใดแม้แต่น้อย

        ดังนั้น ฮั่วซื่อจึงกัดฟัน นางดึงติ่งหูของซูเซียนฮุ่ยและซูจวิ้นพลางกล่าวว่า “เจ้าดื้อทั้งสอง ในทุกวันข้าสอนพวกเจ้าว่าอย่างไร พวกเจ้าเรียนรู้จากข้าอย่างไรบ้าง? ยังไม่ยอมกล่าวขออภัยจิ่นซีอีก! ”

        “โอ๊ยๆๆ… ท่านแม่… ท่านปล่อยมือ ปล่อย! ท่านดึงหูข้าจนเจ็บไปหมดแล้ว เหตุใดข้าต้องขออภัยนางด้วย! นางคิดว่านางเป็นผู้ใดกัน? เป็นพระชายาแล้วโอหังได้หรือ? ” ซูจวิ้นกล่าวขึ้น

        “ใช่! ” ซูเซียนฮุ่ยกระทืบเท้า “ซูจิ่นซี ข้าเรียกเจ้าด้วยชื่อจริงที่ต้องห้าม ก็ถือว่าเคารพเจ้าแล้ว เจ้าจะทำกระไรหรือ? จะฆ่าข้าหรืออย่างไร! เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเสียประเดี๋ยวนี้! ”

        ซูเซียนฮุ่ยกับซูจวิ้นยังเด็กและไร้เหตุผล แต่ไม่ได้หมายความว่าฮั่วซื่อจะโง่เหมือนพวกเขา ใบหน้าฮั่วซื่อเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นางบิดหูบุตรชายและบุตรสาวที่ไม่เชื่อฟังของตนด้วยมือทั้งสองข้าง

        ฮั่วชื่อบิดหูของซูเซียนฮุ่ยและซูจวิ้นอย่างรุนแรงและกล่าวว่า “เจ้าทั้งสองมันสัตว์เดรัจฉาน ยังไม่หุบปากให้ข้าอีก”

        จากนั้นฮั่วซื่อก็ยิ้มอย่างคนหน้าเนื้อใจเสือแล้วพูดกับซูจิ่นซีว่า “จิ่นซีอ่า จวิ้นเอ๋อร์ยังเด็กและโง่เขลา เซียนฮุ่ยก็ถูกแม่ตามใจอย่างผิดๆ เช่นกัน ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง คำพูดอัปยศน่าละอายของพวกเขาทั้งสองอย่าได้เอามาใส่ใจเด็ดขาด”

        “ท่านแม่ ดูเหมือนคำพูดเช่นนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าได้ยินกระมัง? ผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดซูจวิ้นและซูเซียนฮุ่ยถึงความจำไม่ดีเลยเล่า? ไม่ควรทำผิดเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในเมื่อท่านแม่ไม่สั่งสอนพวกเขาให้ดี ข้าผู้นี้จะมอบความทรงจำอันยาวนานแก่พวกเขาแทนท่านแม่เองเจ้าค่ะ”

        เมื่อพูดเสร็จ ซูจิ่นซีก็ตะโกนออกไปว่า “ทหาร! ”

        “พ่ะย่ะค่ะพระชายา! ” องครักษ์หลายนายที่มาพร้อมซูจิ่นซีรีบเดินเข้ามาทันที

        “ลากซูจวิ้นและซูเซียนฮุ่ยออกไปโบยยี่สิบไม้! ”

        “พ่ะย่ะค่ะ! ”

        ในเวลานี้เองที่ซูจวิ้นและซูเซียนฮุ่ยตระหนักได้ว่าซูจิ่นซีเอาจริงกับพวกเขา ดวงตาของทั้งสองเบิกกว้างด้วยความตกใจ

        “ซูจิ่นซี ท่านมีสิทธิอันใดมาตีพวกเรา? มีสิทธิอันใด? มีสิทธิอันใด? ” เป็นเสียงของซูจวิ้นที่เอ่ยขึ้น

        “ซูจิ่นซี ท่านไม่สามารถตีข้าได้ ท่านตีข้าไม่ได้ หากท่านตีข้า ไท่จื่อจะไม่ปล่อยท่านไปอย่างแน่นอน! ไม่ปล่อยท่านไปแน่นอน !” ซูเซียนฮุ่ยเอ่ยขึ้นเช่นกัน

        ไม่ว่าพวกเขาสองคนจะใช้เข็มทิ่ม [1] อย่างไร ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดจากการจับกุมขององครักษ์ได้ ซูจิ่นซีแสดงออกอย่างเย็นชา ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของพวกเขา

        องครักษ์ลากทั้งสองคนไปด้านข้าง หาแผ่นไม้และเริ่มตีดังเพียะ

        ในไม่ช้าพวกเขาก็ไม่สามารถด่าทอต่อว่าออกมาได้อีก เสียงกรีดร้องที่น่ากลัวดังก้องไปทั่วหอกุ้ยเหริน ทุกคนที่ได้ฟังได้ดู ไม่มีผู้ใดยินยอมขอร้องแทนพวกเขา และไม่มีผู้ใดกล้าพูดอันใดเลยแม้แต่ประโยคเดียว

        แม้ฮั่วซื่อจะทนไม่ได้และทุกข์ใจเพียงใด นางก็ทำได้เพียงกัดฟัน และยืนกำหมัดแน่นอยู่ด้านข้าง

        ฮั่วซื่อกัดริมฝีปาก นางต้องการอ้อนวอนซูจิ่นซี ทว่านางรู้ดีว่าการขอร้องซูจิ่นซีนั้นไร้ประโยชน์ จึงทำได้เพียงหันหลังกลับและแอบร้องไห้ สาปแช่งซูจิ่นซีในใจ ไม่กล้าเหลือบมองซูจวิ้นและซูเซียนฮุ่ย

        กว่าการทำโทษจะเสร็จสิ้น เวลาก็ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจวิ้นและซูเซียนฮุ่ยนอนราบอยู่บนพื้นราวกับกองโคลนสองกอง ทั้งร่างเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ร้องเสียงคร่ำครวญเจ็บปวดไม่หยุด

        ฮั่วซื่อรีบวิ่งไปดูซูเซียนฮุ่ยและซูจวิ้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า

        “ยังพูดสาปแช่งออกมาได้อีกหรือไม่? ” ซูจิ่นซีเงยหน้าพลางถามขึ้น

        ซูเซียนฮุ่ยนอนอยู่บนพื้น ไม่สามารถพูดอันใดได้แม้แต่ประโยคเดียว ซูจวิ้นก็นอนอยู่บนพื้นเช่นกัน แม้เขาไม่ได้มองซูจิ่นซี ทว่ากลับชี้นิ้วไปที่นาง ไม่รู้ว่าปากพึมพำสิ่งใด ฟังไม่ได้ศัพท์แม้แต่ประโยคเดียว

        ซูจิ่นซีแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่ได้พูดอันใด “ในเมื่อไม่สามารถสาปแช่งออกมาได้แล้ว หลังจากนี้หากยังทำผิดอีกครั้ง จะไม่โบยเพียงยี่สิบไม้เท่านั้น”

        ชั่วขณะหนึ่งที่ทุกคนมองไปยังรูปลักษณ์ของซูจิ่นซี พวกเขาต่างรู้สึกถึงบรรยายกาศกดดันอันหนาวเหน็บอย่างอธิบายไม่ถูก กระทั่งฝูงชนที่ยืนอยู่นอกห้องโถงก็ไม่กล้ากระซิบกระซาบแม้แต่ประโยคเดียว

        “เอาล่ะ เวลาล่าช้าถึงเพียงนี้แล้ว การคัดเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากประมุขสกุลซูเริ่มขึ้น ณ บัดนี้! ” ซูจิ่นซีประกาศด้วยเสียงก้องกังวาน

        “กระไรนะ? ซูจิ่นซี เริ่มการแข่งขันตอนนี้หรือ? ”

        ไม่รู้ว่าซูจวิ้นเอาแรงมาจากที่ใด ทันใดนั้นก็ยกคอแล้วเอ่ยขึ้น

        “ทำไม? มีปัญหาหรือ? ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้วอย่างไร้เดียงสา

        “มีปัญหาหรือ? ท่านยังจะกล้าถาม! ตีพวกเราสองคนพี่น้องจนเป็นเช่นนี้ พวกเรายังจะเข้าร่วมการแข่งขันได้อย่างไร? ”

        “ใช่ ซูจิ่นซี เจ้าน่ารังเกียจเกินไปแล้ว! เจ้าวางแผนทำร้ายพวกเราสองคน ซูอวี้จะได้เสียคู่ต่อสู้ไปสองคนใช่หรือไม่? ”

        ซูจวิ้นและซูเซียนฮุ่ยพูดขึ้นอย่างไม่กลัวตาย

        การแสดงออกบนใบหน้าของซูจิ่นซียิ่งไร้เดียงสา “ข้าไม่ได้บอกว่า เจ้าทั้งสองได้รับบาดเจ็บแล้วจะไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้นี่! หากเจ้าทั้งสองรู้สึกว่ามีกระไรไม่เหมาะสมหรือไม่สะดวกที่จะเข้าร่วมการแข่งขัน ก็สามารถออกจากการแข่งขันได้ด้วยความสมัครใจ ข้าไม่บังคับพวกเจ้า จะเลือกอย่างไร ก็เป็นความสมัครใจของพวกเจ้าล้วนๆ ”

        “ซูจิ่นซี… ”

        ซูจวิ้นและซูเซียนฮุ่ยกัดฟัน ทนแทบไม่ไหวที่จะกัดซูจิ่นซีให้ตาย

        โดยเฉพาะซูเซียนฮุ่ย การแสดงออกบนใบหน้าของนางบอกว่าจงเกลียดจงชังซูจิ่นซียิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นดวงตาของนางยังฉายแววเจ็บปวดมากเสียจนแทบร้องไห้ออกมาแล้ว

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset