สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 194 กลืนกุญแจเข้าไปในปาก

        “ผู้นำสกุลซู ตัดสินใจเถิด! ”

        “ตัดสินใจเถิด! ผู้นำสกุลซู ช้าเร็วก็ต้องทำอยู่แล้ว! ”

        ทุกคนต่างกดดันซูจ้งอย่างหนัก บรรยากาศในตอนนี้ตึงเครียดเป็นอย่างมาก ภายในใจซูจิ่นซียิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ

        หากซูจ้งส่งต่อกิจการสกุลซูให้กับซูจวิ้นจริงๆ แน่นอนว่าเรื่องป้ายคำสั่งผู้นำสกุลซู ซูจ้งต้องไม่ยอมรับแน่นอน หากเป็นเช่นนี้ซูจิ่นซีคงอับจนหนทางที่จะอธิบายเรื่องนี้กับทุกคน

        ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างนางกับฮั่วซื่อยังมีความตายเป็นเดิมพัน!

        “ท่านพ่อ… ”

        ซูจิ่นซีอดไม่ได้ที่จะมองซูจ้งด้วยสายตานิ่งขรึม นางพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพื่อเตือนซูจ้งให้ตรึกตรองอย่างรอบคอบ

        ทว่าน่าเสียดาย ซูจ้งไม่หันมามองนางเลย

        “ข้าจะส่งมอบกิจการของสกุลซูให้กับ… ” ซูจ้งพูดพลางหันหน้าไปมองซูจวิ้น

        ซูจวิ้นดีใจลิงโลดทันที

        ซูจิ่นซีกำหมัดเบาๆ หลับตาทั้งสองด้วยความผิดหวัง

        ทว่าคาดไม่ถึง เสียงที่ดังเข้ามาในหูกลับเป็น “ข้าขอส่งมอบกิจการสกุลซูให้กับซูอวี้ และเรื่องป้ายคำสั่งผู้นำสกุลซู เป็นข้าเองที่มอบให้กับจิ่นซีบุตรสาวของข้า เพื่อให้นางคัดเลือกผู้สืบทอดสกุลซูคนใหม่ ในเมื่อซูอวี้เป็นผู้ที่ได้รับคัดเลือก ข้าต้องส่งมอบกิจการสกุลซูให้เขาอย่างแน่นอน”

         ดวงตาทั้งสองของซูจิ่นซีเบิกกว้าง ตื่นเต้นจนเลือดสูบฉีดพลุ่งพล่าน ทว่านางยังคงคุมสติได้ดี บนใบหน้าจึงไม่ปรากฏอารมณ์แน่ชัด

         “ท่านพ่อ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือ? ท่านต้องการส่งมอบกิจการสกุลซูให้กับเจ้าเด็กชั่วซูอวี้คนนี้หรือ? ” ซูจวิ้นไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

        “พอได้แล้ว! เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของเจ้า พวกเจ้าสองแม่ลูกทำอันใดไว้ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ จากนี้ต่อไปก็สงบเสงี่ยมท่าทีไว้ให้ดี”

        “ท่านพี่ ท่านทำกับข้าเช่นนี้ไม่ได้! ข้าอยู่ในจวนสกุลซูมาค่อนชีวิต มีบุตรสาวบุตรชายสองคนให้กับท่าน ดูแลเรื่องราวภายในจวนอย่างจริงจัง หลายปีที่ผ่านมา แม้ไม่มีความดีความชอบ ทว่าก็ทำด้วยความตั้งใจ หากท่านส่งมอบกิจการสกุลซูให้กับซูอวี้ ต่อไปภายหน้าจะให้ข้าอยู่ในจวนด้วยฐานะใด ข้าจะยังมีหน้าไปพบกับผู้คนภายนอกได้อย่างไร? ” ฮั่วซื่อร่ำไห้แทบสิ้นใจ นางกอดขาทั้งสองของซูจ้งด้วยน้ำตานองหน้า

        ทว่าน่าเสียดาย ซูจ้งปัดแขนทั้งสองของฮั่วซื่อออกอย่างไร้เยื่อใย เขาไม่มองนางแม้แต่หางตา ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ชำเลืองตามองไปทางซูจวิ้นแม้แต่น้อย ทว่าซูจ้งกลับเดินเข้าไปหาซูอวี้ และตบไปที่ไหล่ของซูอวี้

        “ท่านพ่อ… ”

        เดิมทีใบหน้าของซูอวี้ที่ไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ กลับเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาตั้งใจจะลุกขึ้นยืน ทว่าซูจ้งกลับรั้งไว้

        “อวี้เอ๋อร์ เจ้ายังเล็ก ยังมีชีวิตอีกยาวไกล กิจการของสกุลซูและวงศ์ตระกูล ต่อไปต้องให้เจ้าดูแลแล้ว! ”

        ซูอวี้เม้มริมฝีปาก ดวงตาทั้งสองมองซูจ้งด้วยสายตานิ่งเงียบ และไม่ได้พูดอันใดออกมา

        ซูจิ่นซีถอนหายใจคำโตเหมือนยกภูเขาออกจากอก

        ก่อนหน้านี้นางตื่นเต้นมากจนสติเตลิดเปิดเปิง ทว่าในที่สุดก็สามารถโล่งใจได้แล้ว

         ทว่าไม่มีใครคาดคิด ในเวลานั้นเองกลับเกิดเรื่องที่เหนือความคาดหมาย

         “ตาแก่หงำเหงือก ในเมื่อเจ้าไม่มีใจเมตตา ก็อย่าหาว่าข้าอกตัญญู”

         ซูจวิ้นดึงกระบี่ที่เหน็บไว้ข้างเอวขององครักษ์ออกมา และแทงเข้าไปที่ซูจ้งอย่างรวดเร็ว

        ซูจ้งได้ยินเสียงจึงหันหลังกลับในทันที กระบี่ยาวเล่มนั้นแทงเข้าไปที่ท้องของซูจ้งจนมิดด้าม

        ความจริงแล้วซูอวี้เหลือบไปเห็นก่อนผู้ใด ทว่าเข้าไปขวางไว้ไม่ทัน เพราะหัวไหล่ของเขาถูกซูจ้งกดไว้แน่นจนขยับเขยื้อนไม่ได้

        “เฮ้ย… ฆ่าคนตาย… ฆ่าคนตาย… ”

        คนผู้หนึ่งในฝูงชนร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก ทำให้เกิดโกลาหลขึ้นทันที

        องครักษ์รีบเข้าไปควบคุมตัวซูจวิ้น ฮั่วซื่อตกใจจนนิ่งอึ้งราวกับหุ่นขี้ผึ้ง

        “ท่านพ่อ… ”

        ซูจิ่นซีรีบวิ่งเข้าไปประคองตัวซูจ้ง นางพยายามจัดการกับบาดแผล ทว่าไม่ทันเสียแล้ว บาดแผลที่หน้าท้องของซูจ้งมีเลือดไหลออกมาจำนวนมาก ไหลพุ่งราวกับเขื่อนแตก

         “หมอหลวงอวิ๋น… รีบไปตามหมอหลวงอวิ๋นมา… ” ซูจิ่นซีตะโกนบอก

        “ไม่จำเป็น จิ่นซี ให้หมอหลวงอวิ๋นคอยดูแล… คอยดูแลปี้ถง ทำบาดแผล… ให้กับ… ปี้ถง”

         “ท่านพ่อ… ” ดวงตาทั้งสองของซูจิ่นซีหดแคบลง

         “จิ่นซี พ่อรู้ดีว่าตนเองมีเวลาไม่มากแล้ว หลายปีมานี้… หลายปีมานี้คนที่พ่อต้องขอโทษมากที่สุดก็คือเจ้า”

        ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากไม่พูดอันใด ซูจ้งไม่ใช่พ่อที่ดีจริงๆ หากซูจิ่นซีพูดว่าไม่เคยเกลียดชังเขา ก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

         “จิ่นซี เจ้า… เจ้าเข้ามาใกล้ๆ ใกล้อีกนิด… ”

        ซูจิ่นซีขยับเข้าไปใกล้ตัวของซูจ้ง จู่ๆ ซูจ้งก็คว้าแขนอีกข้างของซูจิ่นซีไว้แน่น

        เดิมทีซูจิ่นซีคิดจะหลบ ทว่านางกลับได้ยินซูจ้งเอ่ยปากพูดว่า “พ่อมีเรื่องสำคัญจะบอกกับเจ้า”

        ซูจิ่นซีขยับเข้าไปใกล้ตัวซูจ้งพลางเงี่ยหูฟัง

        “ความจริงแล้ว… เจ้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของข้า หอโอสถ… หอโอสถสกุลซูจะต้องไปให้ได้ แม่… แม่ของเจ้าข้าไม่ได้เป็นคนฆ่า นาง… เป็นเพราะ… ”

        คำพูดของซูจ้งไม่ทันจบความ แรงที่จับแขนของซูจิ่นซีก็คลายลงทันที

        “เป็นเพราะอะไร? ”

        ซูจิ่นซีหันไปมองอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน น้ำเสียงของนางสั่นเครือ ทว่าน่าเสียดาย ซูจ้งได้จากไปพร้อมกับความลับนี้โดยไม่ทันได้บอกความจริง

        “ท่านพ่อ… ”

        ซูอวี้ร้องห่มร้องไห้ หมอบอยู่บนร่างของซูจ้งด้วยความโศกเศร้า

        “เสียชีวิตแล้วหรือ? ”

         “ผู้นำสกุลซูเสียชีวิตแล้วจริงๆ หรือ? ”

         “ผู้นำสกุลซูถูกบุตรชายแท้ๆ ของตนฆ่าหรือ? ”

        บางทีการกระทำเมื่อครู่นี้เป็นเพียงบันดาลโทสะ ทว่าตอนนี้ซูจวิ้นเพิ่งได้สติ เมื่อทราบว่าตนเองได้กระทำอันใดลงไปก็หวาดกลัวสุดขีด

        “ปล่อยข้า พวกเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! ”

        ทว่าน่าเสียดาย ข้อหาฆ่าคนตายมีโทษประหาร นอกจากนั้นยังเป็นการกระทำต่อหน้าผู้คนมากมาย เขาไม่มีทางปฏิเสธได้เลย ซูจวิ้นถูกผู้คุมประจำกรมอาญาจับตัวไว้ ไม่สามารถหนีไปไหนได้

        “ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ”

        จู่ๆ ฮั่วซื่อก็หัวเราะเสียงดังเหมือนคนบ้า

        “ซูจ้ง ตลอดชีวิตของข้า…ฮั่วชิงหลัวพ่ายแพ้ให้กับเจ้า คิดไม่ถึงว่าก่อนตาย เจ้ายังห่วงหาอาวรณ์นางแพศยาปี้ถง ในเมื่อตอนมีชีวิต บุญคุณความแค้นของพวกเราสามคนไม่สามารถชำระได้ เช่นนั้นพวกเราไปพบกันในปรโลกเถิด เจ้าคิดจะให้นางมีชีวิตรอด ข้าไม่มีทางให้เจ้าสมหวัง”

        พูดจบ ฮั่วซื่อก็เอากุญแจในมือยัดเข้าไปในปาก

        “พี่จิ่นซี รีบขวางนางไว้ นั่นเป็นกุญแจหอโอสถสกุลซู” ซูอวี้พูดขึ้นทันที

        ซูจิ่นซียังไม่ทันได้ทำอันใด เจ้ากรมหวังก็พุ่งตัวเข้าไปหาฮั่วซื่อก่อนแล้ว เขาบีบไปที่กรามของฮั่วซื่อ

        ทว่าสายไปเสียแล้ว

        แม้กุญแจจะทำขึ้นจากเหล็กนิล ทว่าฮั่วซื่อเจตนากลืนมันเข้าไป นางเกือบจะยัดกุญแจเข้าไปในลำคอโดยตรง

        ในเวลานี้กุญแจได้บาดจนเลือดกบปาก อีกทั้งกุญแจดอกนั้น ฮั่วซื่อไม่ได้กลืนลงไปในท้องทว่ามันค้างอยู่ตรงลำคอ ไม่ขึ้นไม่ลง ติดอยู่ในคอจนนางหน้าแดงก่ำ เส้นเลือดอัดอั้นอยู่ในดวงตาทั้งสอง

        “พระชายา ต้องรีบหาทางเอากุญแจออกมาจากลำคอของนาง ไม่เช่นนั้นนางต้องตายแน่ๆ ” รองเจ้ากรมหลี่พูดขึ้น

        ซูจิ่นซีค่อยๆ เดินเข้าไปหาฮั่วซื่อ นางจ้องฮั่วซื่อด้วยสายตาเย็นชา

        ใบหน้าของฮั่วซื่อตกอยู่ในสภาพทุรนทุรายเช่นนั้น ยังสามารถยิ้มให้กับซูจิ่นซี

        “ในเมื่อนางรนหาที่ตาย ไยต้องช่วยนางด้วยเล่า! ” ซูจิ่นซีใช้มือบีบคางของฮั่วซื่อพลางยิ้มมุมปาก “สามารถยิ้มได้จนถึงวาระสุดท้ายจึงจะนับว่าเป็นรอยยิ้มที่สวยงาม ต้องการให้อนุปี้ตายหรือ? ดูสิว่าใครกันแน่ที่จะได้ดั่งใจหวัง ข้าจะให้เจ้าเห็นกับตาตนเองก่อนตายว่าข้ารักษาอนุปี้ให้หายได้อย่างไร”

        “ซู… ซูจิ่นซี… ที่หอโอสถของสกุลซู ผนังกำแพงทำจากเหล็กกล้า หากไม่มีกุญแจ ไม่มีทางเปิดประตูหอโอสถได้อย่างแน่นอน แม้… แม้เจ้าจะหาวิธีได้ ปี้ซื่อนางแพศยานั่นก็ไม่สามารถรอได้นานถึงเพียงนั้น เจ้าคิดจะช่วยนางอย่างไร? ”

        ฮั่วซื่อจะตายอยู่รอมร่อยังกล้าปั้นหน้า กุญแจค้างอยู่ในลำคอ เสียงพูดของนางจึงแหบแห้งจนฟังไม่ได้ความ

        “ฮึ ใครบอกว่าประตูหอโอสถใช้กุญแจเปิดได้เท่านั้นเล่า? ” ซูจิ่นซีพูดเสียงเย็นชา

        ไม่มีกุญแจ เปิดได้ด้วยหรือ?

        นั่นคือประตูที่สร้างขึ้นจากเหล็กนิลเชียวนะ!

        จะเปิดอย่างไร?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset