สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 198 ประหารทันที

    ภายในพระราชวัง เมื่อฮ่องเต้ได้ฟังเยี่ยเซินทูลรายงานจนจบความ พระองค์ก็กวาดสิ่งของบนโต๊ะทรงอักษรหล่นกระจัดกระจาย

         “สารเลว! สารเลว! สารเลว! ”

         “ฝ่าบาท กระหม่อมกลัวแล้ว! ”

         บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันสะบัดปลายแขนเสื้อคุกเข่าลงกับพื้น

         “เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าเรื่องนี้ควรเห็นแก่การใหญ่เป็นสำคัญ” เยี่ยเซินทูลเตือน

         ฮ่องเต้ทรงกริ้วมาก พระองค์หรี่พระเนตรชำเลืองมองเยี่ยเซิน “ไท่จื่อ ตอนนี้นับวันเจ้ายิ่งไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้ากราบทูลแทนโยวอ๋องและซูจิ่นซีหลายต่อหลายครั้ง”

         “ลูกมิได้อยู่ฝ่ายใครหรือลำเอียงเข้าข้างผู้ใด ลูกเห็นแก่แผ่นดินการปกครองทุกตารางนิ้วของแคว้นจงหนิงเป็นสำคัญ ตั้งแต่ที่ภายในกองทัพเกิดเรื่องวุ่นวาย ในเวลาสั้นๆ เพียงสามวัน พวกเราสูญเสียทหารไปกว่าพันนาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป กองทัพจะต้องเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้น หากแคว้นไหวเจียง แคว้นเป่ยอี้ แคว้นตงเฉิน และแคว้นอื่นๆ อาศัยโอกาสนี้เข้ามารุกราน กำลังทหารของเราจะต้องเจอกับความสูญเสียครั้งใหญ่เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ! ”

         ฮ่องเต้หรี่พระเนตรมองเยี่ยเซินด้วยความเงียบงัน

         “ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นพ้องกับไท่จื่อ ตลอดเวลาที่ผ่านมา โยวอ๋องรับผิดชอบสืบความลับในแคว้นไหวเจียงมาโดยตลอด ไม่เคยปรากฏเรื่องวุ่นวายใหญ่โตถึงเพียงนี้ ครั้งนี้อาจเป็นพวกไส้ศึกจากแคว้นไหวเจียงอาศัยช่วงเวลาที่โยวอ๋องไม่สามารถสืบข่าวลับได้ จึงยโสโอหังได้ถึงเพียงนี้ ดังนั้นขอให้พระองค์ทรงเห็นแก่สถานการณ์โดยรวมเป็นสำคัญพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางระดับสูงท่านหนึ่งกล่าว

         “ตุบ”

         ฮ่องเต้ใช้กำปั้นทุบบนโต๊ะทรงงานอย่างหนัก “ความหมายของเจ้าคือ ที่ผ่านมาความสงบในแคว้นจงหนิงเป็นความดีความชอบของโยวอ๋อง ความวุ่นวายในกองทัพช่วงนี้เป็นเพราะตัวข้าอย่างนั้นหรือ? ”

         เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ต่างพากันหวาดกลัวจนเหงื่อตก

         ขุนนางผู้ใหญ่คนนั้นรีบโขกศีรษะลงบนพื้นหลายต่อหลายครั้ง “ฝ่าบาททรงพระปรีชา ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้นแน่นอน! ความหมายของกระหม่อมคือ โยวอ๋องสืบความลับเรื่องไส้ศึกแคว้นไหวเจียงมาโดยตลอด หากมอบให้โยวอ๋องตรวจสอบความวุ่นวายในกองทัพครั้งนี้ให้ละเอียด จะต้องสืบพบผู้บงการเรื่องนี้แน่นอน ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายให้แก่กองทัพของพวกเราได้พ่ะย่ะค่ะ! ”

         “ลากออกไป ประหาร! ”

         ขุนนางผู้นั้นกราบทูลโดยมีความหมายขอร้องแทนเยี่ยโยวเหยาอย่างชัดเจน ในเวลานี้ฮ่องเต้ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ฟังอันใดล้วนไม่เข้าพระกรรณ

         องครักษ์ด้านนอกตำหนักเฉิงเฉียนเดินเข้ามาด้วยท่าทีขึงขัง แล้วลากขุนนางผู้นั้นออกไป

         ผู้ที่ความตายใกล้เข้ามาแล้วยังตะโกนว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา ฝ่าบาทโปรดทรงเห็นแก่สถานการณ์โดยรวมเป็นสำคัญ ฝ่าบาทโปรดทรงเห็นแก่สถานการณ์โดยรวมเป็นสำคัญ… ”

         ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงอันน่าสยดสยองดังออกมาจากด้านนอก จากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงอ้อนวอนต่อฮ่องเต้จากขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนนั้นอีกเลย

         ภายในตำหนักเฉิงเฉียน ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหมดต่างก้มศีรษะ หมอบลงต่ำ บรรยากาศเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พวกเขาไม่กล้ามีปากมีเสียง แต่ละคนต่างกลัวจนไม่กล้าเข้าไปยุ่งหาเรื่องจุดไฟเผาร่างตัวเองให้ชีวิตน้อยๆ ต้องสูญสิ้น

         แม้แต่เยี่ยเซินที่เป็นผู้เปิดประเด็นก็ไม่กล้าพูดอันใดให้เยี่ยโยวเหยาอีก

         “เป็นอย่างไร”

        ซูจิ่นซีกำลังดื่มชาอยู่ที่เรือนชิงโยว เมื่อเห็นพ่อบ้านเดินเข้ามาใกล้จึงถามขึ้น

         “หลังจากไท่จื่อกลับวังไป พระองค์ได้นำเงื่อนไขของพระชายาเข้าไปทูลรายงานต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ในตอนนั้นเหล่าขุนนางผู้ใหญ่จำนวนมากต่างพากันทูลโน้มน้าว ทว่าฮ่องเต้ทรงไม่รับฟังความเห็นของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น…ยิ่งไปกว่านั้น ยังสั่งประหารใต้เท้าฉ่ายขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในทันที”

         ซูจิ่นซีไม่พูดอันใด นางขมวดคิ้วบึ้งตึง นัยน์ตาขึงขัง

         ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีจึงพูดว่า “ในเมื่อฮ่องเต้ไม่ทรงร้อนพระทัย พวกเราจะร้อนใจเพื่ออันใด? ช่วงนี้หากมีคนมาขอพบ ก็บอกไปว่าข้าร่างกายอ่อนแอ นอนอยู่บนเตียงลุกขึ้นไม่ไหว ไม่พบใครทั้งสิ้น”

         ในที่สุด ช่วงพลบค่ำ เยี่ยเซินก็เดินทางมาหาซูจิ่นซีจริงๆ ทว่าถูกพ่อบ้านเข้าไปขวางและบอกให้กลับไป

         ต่อมาฮั่วซืออวี่ก็มาอีกครั้ง แม้แต่พ่อบ้านก็ยังไม่ได้พบ เขาถูกคนรับใช้หน้าประตูบอกให้กลับไปตามคำสั่งของแม่นมฮวา

         ในเช้าวันถัดมา ไม่คิดว่าฮองเฮาจะเสด็จมาจวนโยวอ๋องด้วยพระองค์เอง ทว่าแม้แต่ราชาแห่งตำหนักสวรรค์มาก็ไม่แตกต่างกัน ซูจิ่นซีไม่ต้องการพบ ก็คือไม่ต้องการพบ

         เกรงว่าครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ฮองเฮาถูกปฏิเสธตั้งแต่ประตูทางเข้าและไม่ให้เข้าจวนโยวอ๋อง

         ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านทั่วไปต่างร่ำลือกันกระฉ่อน ลือกันไปต่างๆ นานา ในตำหนักจ้งหวา ฮ่องเต้ได้ฟังว่าฮองเฮาถูกปฏิเสธที่หน้าประตูไม่ให้เข้าจวนโยวอ๋อง แม้แต่ใบหน้าของซูจิ่นก็ไม่ได้พบ พระองค์ทรงกริ้วเป็นอย่างมากจนเขวี้ยงจอกน้ำชาลงพื้นแตกกระจาย

         “กบฏ! จวนโยวอ๋องต้องการก่อกบฏหรือ? ”

         ฮองเฮาตกพระทัยจนพระวรกายสั่นสะท้าน ไม่กล้าแม้แต่จะกราบทูลอันใด

        ตอนเช้าของวันนั้น กรมกลาโหมได้ส่งสารหนึ่งฉบับ เพื่อรายงานให้กับวังหลวงทุกๆ สามวัน

         ในสารได้รายงานรายชื่อของนายทหารและแม่ทัพที่เสียชีวิตจากการถูกพิษ

         ภายในเวลาหนึ่งวัน ค่ายทหารสำคัญที่อยู่รอบๆ เมืองตี้จิง มีแม่ทัพใหญ่หลายสิบนายถูกพิษจนเสียชีวิต ส่วนทหารชั้นผู้น้อยตายนับหมื่นคน

         กว่าหมื่นคน!

         มีความคิดเห็นอย่างไร?

         เกือบเท่ากับความสูญเสียของการต่อสู้ระหว่างทหารสองฝ่ายในสงครามแล้ว

         ในวันที่สอง จู่ๆ ในเมืองตี้จิงก็มีข่าวว่าพบคนถูกพิษ ซึ่งเหตุการณ์เป็นเหมือนในค่ายทหาร ไม่ทันถึงช่วงบ่าย พิษก็แพร่กระจายมาถึงในวัง เหล่าขันทีและนางกำนัลในวังหลายคนล้วนเสียชีวิตด้วยยาพิษ

         ในที่สุดฮ่องเต้ก็ทรงนั่งไม่ติด ทนไม่ไหวแล้ว

       “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ! ” พ่อบ้านหัวเราะพลางเดินเข้ามาในเรือนชิงโยวอย่างรวดเร็ว

         “เป็นอันใด? ”

         “สายในวังส่งข่าวมาว่า ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการให้คดีทหารตระกูลเว่ยทั้งหมดเป็นความผิดของเว่ยเจินเพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องจะได้กลับจวนแล้ว”

         “จริงหรือ? ”

         แม้ทราบดีอยู่แล้วว่าข่าวนั้นเป็นความจริง ทว่าซูจิ่นซีก็ยังรู้สึกตื่นเต้นจนถึงกับลุกขึ้นยืนในทันที

         “ดีมากเจ้าค่ะ ในที่สุดท่านอ๋องก็ได้กลับแล้ว”

         แม่นมฮวายกน้ำชาที่ชงเสร็จเข้ามาพอดีจึงได้ยินซูจิ่นซีพูดคุยกับพ่อบ้าน นางตื่นเต้นจนน้ำตาไหลออกมา

        แม้แต่ใบหน้าของเหล่าองครักษ์ประจำเรือนชิงโยวก็เผยให้เห็นรอยยิ้มดีใจ

         นานแล้วที่ไม่ได้พบกับท่านอ๋อง!

         ในที่สุดท่านอ๋องก็กลับมาแล้ว

         ซูจิ่นซีรีบให้พ่อบ้านจัดเตรียมรถม้า ส่วนนางเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปรับเยี่ยโยวเหยาที่ประตูวังหลวงด้วยตนเอง

         เกล็ดหิมะพลิ้วไหวลอยตามสายลม

         ในมือของซูจิ่นซีถือเสื้อคลุมตัวหนึ่งของเยี่ยโยวเหยา นางยืนรออยู่ข้างรถม้า

         ไม่นานนัก เยี่ยโยวเหยาที่อยู่ชุดสีดำก็เดินออกมาจากพระราชวัง

         “ท่านอ๋องออกมาแล้ว ท่านอ๋องออกมาแล้ว! ” แม่นมฮวาตื่นเต้นจนน้ำตาไหลพราก

         “คุณหนู เป็นท่านอ๋อง! ”ลวี่หลีพูดด้วยความตื่นเต้น

         ซูจิ่นซีมองเห็นและได้ยินแล้ว ทว่านางไม่ได้พูดอันใดออกมาทั้งยังไม่ขยับเขยื้อน

         เยี่ยโยวเหยามองเห็นซูจิ่นซีและทุกคนอยู่นานแล้วจึงก้าวเท้าเดินตรงเข้าไปหา

         ท่ามกลางสายลมอันหนาวเหน็บ เกล็ดหิมะลอยพลิ้วไหว

         แม้คนผู้นั้นจะสวมใส่เสื้อผ้าบางเบา ทว่ารูปร่างยังคงสูงศักดิ์เคร่งขรึมดังเดิม

         ไม่ว่าลมหนาวจะหนาวเหน็บสักเพียงใด ไม่ว่าหิมะจะตกหนักสักเพียงใด มันกลับไม่ทำให้พลังความกล้าหาญของเขาลดน้อยลง ตรงกันข้าม เกียรติยศความกล้าหาญของเขาราวกับบดบังฉากหิมะให้ดูด้อยลงไป

         ชัดเจนว่าระยะห่างนั้นไม่ไกลนัก และจังหวะก้าวเดินของเยี่ยโยวเหยาก็ยาวมาก ทว่าซูจิ่นซีกลับรู้สึกราวกับว่าเยี่ยโยวเหยาใช้เวลาเดินนานมาก นานแสนนาน

         “ทูลพระชายา ท่านเดินเข้าไปรับท่านอ๋องเถิด! เดินไปรับและเดินกลับมาพร้อมกัน”

         เดินกลับมาพร้อมกันหรือ?

         ซูจิ่นซียังไม่ทันคิดว่าประโยคนี้ของแม่นมฮวามีความหมายลึกซึ้งอันใด แม่นมฮวาที่อยู่ด้านหลังก็ผลักซูจิ่นซีออกไปด้านหน้า

         ซูจิ่นซีเดินออกไปก้าวหนึ่งแล้ว นางรู้สึกว่ายืนอยู่ที่เดิมได้ไม่มั่นคงนัก จึงเดินไปทางเยี่ยโยวเหยา

         กลับไม่คิดว่า ขณที่นางกำลังจะได้พบหน้าเยี่ยโยวเหยานั้น เท้าเกิดลื่นไถล หมุนวน และล้มลงบนพื้น

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset