สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 206 คลุมถุงชน ค่ำคืนอันน่ากลัว

ปากทางเข้าหุบเขาเทพโอสถ พวกเขาไม่ได้ปะทะกับผู้ใด แม้พฤกษานานาพรรณโดยรอบล้วนมีพิษ ทว่าซูจิ่นซีสามารถจัดการได้อยู่แล้ว

เยี่ยโยวเหยาใช้วิชาตัวเบาพาซูจิ่นซีลอยเข้าไปในหุบเขา

ซูจิ่นซีใช้อาคมกำไลปี่อั้นตรวจพบจุดที่อยู่ของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าได้อย่างรวดเร็ว ทั้งสองยืนอยู่บนยอดหลังคา เปิดกระเบื้องบนหลังคามองลงไปด้านล่าง

จอมวายร้ายไป๋เฉ่ากำลังสุขสำราญกับสตรีงามจำนวนมาก

คนผู้นั้นสวมหน้ากากไว้บนใบหน้า มองไม่ออกว่าอายุเท่าใด เขามีผมยาว สวมชุดสีแดง นอนอยู่บนตั่งที่ปูด้วยผ้านวมสีขาวดั่งหิมะ ท่วงท่ามีเสน่ห์เย้ายวน มือข้างหนึ่งถือจอกสุราสีทอง มืออีกข้างหนึ่งกำลังโอบกอดหญิงงาม พลางฮัมเพลงเสียงดังจากลำคอ ท่าทางเมามายครองสติไม่อยู่

ด้านหน้าตั่งนอนมีสตรีราวสิบกว่านางสวมชุดโปร่งบางหลากสีสันดูงดงามกำลังฟ้อนรำอยู่

ทันใดนั้น ใบหูของชายผู้นั้นก็กระดิก ดวงตาภายใต้หน้ากากขึงขัง เขายกจอกสุราสีทองเขวี้ยงออกไป สุราในจอกสาดไปทางเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีที่ยืนอยู่บนหลังคา

เยี่ยโยวเหยายังมีสีหน้านิ่งเฉย เขารีบโอบเอวซูจิ่นซีถอยห่างออกไปหลายก้าว

บนหลังคาเกิดเป็นช่องใหญ่จากสุราที่สาดออกไป จอมวายร้ายไป๋เฉ่าที่สวมชุดสีแดงเหินขึ้นไปทางช่องนั้น เขายืนประจันหน้ากับเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีด้วยท่วงท่ามีเสน่ห์

เมื่อจอมวายร้ายไป๋เฉ่าพบว่าผู้ที่มาคือเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี ก็หรี่ตาลง

“โยวอ๋อง สิ่งที่ท่านต้องการ ข้ายังหาไม่พบ ท่านมาเร็วไปแล้ว”

“ข้ามาในวันนี้ ไม่ใช่เพราะต้องการยา”

“เช่นนั้นมาเพื่ออันใด? ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าแสดงสีหน้าสงสัย

ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ตอบอันใด เขาตรงเข้าไปโจมตีจอมวายร้ายไป๋เฉ่าในทันที

ดวงตาของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าขึงขัง เขาประมือเพื่อป้องกัน จากนั้นทั้งสองก็ปะทะฝีมือกันอย่างรวดเร็ว

จนถึงบัดนี้ ซูจิ่นซียังไม่เคยพบคนที่สามารถเป็นคู่ต่อกรกับเยี่ยโยวเหยาได้ ดังนั้นนางจึงมองออกว่าวรยุทธ์ของจอมวายร้ายไป๋เฉ่านั้นร้ายกาจมิใช่น้อย

ทันใดนั้น ระบบถอนพิษก็ส่งเสียงดัง ‘บี๊บบี๊บบี๊บ’ ซูจิ่นซีรีบเตือนเยี่ยโยวเหยา “มีพิษ! ”

เยี่ยโยวเหยาถอยไปด้านข้าง หลบผงพิษของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าได้ทันท่วงที

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าหรี่ตามองซูจิ่นซีที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก “โอ้ โยวอ๋อง วาสนาดีไม่เบา! แม่นางผู้นี้ไม่เลว ท่านมอบให้ข้าเป็นเช่นไร? ”

“สตรีของข้า เจ้ากล้าพูดจาแทะโลม รนหาที่ตาย! ” สิ้นเสียง เยี่ยโยวเหยาก็พุ่งเข้าใส่จอมวายร้ายไป๋เฉ่าหมายสังหารให้ตาย

จอมวายร้ายไป๋เฉ่ามิใช่ฝีมืออ่อนหัด หลังสาดเข็มพิษใส่อย่างต่อเนื่องแล้ว เขาก็หยิบแส้ออกจากเอวเส้นหนึ่ง

เมื่อเขาตวัดแส้ออกไป ซูจิ่นซีก็พุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ห่วงความปลอดภัยของตน และสาดผงยาสีขาว “ระวัง! แส้ของเขามีพิษ! ”

ขณะที่จอมวายร้ายไป๋เฉ่าหยิบแส้ออกมา ในวินาทีนั้นพิษที่ไร้สีไร้กลิ่นก็กระจายออกมาจากตัวแส้ เยี่ยโยวเหยาไม่รู้เรื่องพิษจึงไม่รู้

ซูจิ่นซีพุ่งไปข้างหน้าและสาดผงยาในมือ เพื่อเป็นยาแก้พิษ

เวลานี้ จอมวายร้ายไป๋เฉ่าสนใจในตัวซูจิ่นซีเป็นอย่างมาก แววตามีเสน่ห์จ้องซูจิ่นซีพลางพูดว่า “แม่นางน้อย เจ้าช่างร้ายกาจนัก! ที่แท้เจ้าก็รู้เรื่องพิษ! เจ้าติดตามโยวอ๋องเพื่ออันใด? มิสู้มาอยู่กับข้าเถิด! พวกเราล้วนชื่นชอบสิ่งเดียวกัน เราจะได้แลกเปลี่ยนความรู้และสนทนาวิชาพิษ เป็นเช่นไร? ”

ขณะที่พูด ดวงตาเรียวยาวภายใต้หน้ากากที่เย็นยะเยือกก็มองซูจิ่นซีด้วยความเสน่หา

ใบหน้าซูจิ่นซีจริงจังเป็นอย่างมาก นางไม่สนใจคำพูดแทะโลมของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า นางพูดกับเยี่ยโยวเหยาว่า “ท่านอ๋อง ท่านอุ้มข้าไว้ ลำพังวรยุทธ์ของคนผู้นี้สู้ท่านไม่ได้ ทว่าหากเขาใช้พิษ ท่านจะป้องกันได้ยาก! ”

เยี่ยโยวเหยาส่งสายตาดุดันมองจอมวายร้ายไป๋เฉ่าด้วยความเย็นชา จากนั้นก็เอื้อมมือมาโอบเอวซูจิ่นซีไว้เบาๆ

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าจงใจแสดงแววตาประหลาดใจ “โอ้ คู่รักร่วมมือสอดประสาน? ข้ากลัวยิ่งนัก! ” แม้คำพูดจะบอกว่าหวาดกลัว ทว่าสีหน้าแววตาไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย เขากลับแสร้งแสดงท่าทางเหมือนถูกรังแกให้กับซูจิ่นซี “แม่นางน้อย เจ้าบอกว่าข้าด้อยกว่าบุรุษของเจ้า ข้าเสียใจยิ่งนัก รีบเข้ามาปลอบใจข้าเร็ว! มานี่ รีบเข้ามาในอ้อมกอดของข้า! ”

จอมวายร้ายไป๋เฉ่ายังคงเจ้าเล่ห์เพทุบาย เขาแสร้งทำท่ายื่นมือไปหาซูจิ่นซี ทว่าช่วงที่คลายนิ้วทั้งห้านั้น เขากลับสาดเข็มพิษเข้าใส่เยี่ยโยวเหยา

“บนเข็มมีพิษ! ” ซูจิ่นซีรีบพูดเตือน

เยี่ยโยวเหยามือเปล่าไร้อาวุธ เขาใช้แขนเสื้อผืนใหญ่ปัดป้อง กลับคาดไม่ถึงว่าเข็มเงินที่สาดออกมาในวินาทีนั้นได้กลายเป็นผงแป้งฟุ้งกระจาย อีกทั้งผงฝุ่นเหล่านี้ล้วนเป็นผงพิษ ขอเพียงสูดดมเข้าไป จะต้องเสียชีวิตในทันที

ซูจิ่นซีสีหน้าขึงขัง นางสาดผงยาเข้าใส่เพื่อสลายพิษ

ต้องกล่าวว่า เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี สองสามีภรรยาร่วมมือต่อสู้สอดประสานกันและกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ซูจิ่นซีในอ้อมกอดของเยี่ยโยวเหยาคอยสลายพิษ ส่วนเยี่ยโยวเหยาที่รับมือกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เขาสามารถจับตัวจอมวายร้ายไป๋เฉ่าได้อย่างรวดเร็ว

เยี่ยโยวเหยาเหยียบบนหลังจอมวายร้ายไป๋เฉ่าที่นอนบนพื้น ทว่าปากยังพร่ำบ่นไม่ยอมแพ้ “เฮ้ย! เยี่ยโยวเหยา พวกเจ้าทั้งสองรวมหัวกันรุมข้าเพียงคนเดียว ข้าไม่ยอมแพ้ หากใจกล้า เจ้าก็มาสู้กันตัวต่อตัวกับข้าสิ”

ซูจิ่นซีแสดงสีหน้าสะใจ “ตาเฒ่า ข้าไม่มีวรยุทธ์! แม้แต่ตัวข้า เจ้ายังกลัวอีกหรือ? อีกอย่าง เจ้าใช้อาวุธ ทว่าสามีของข้าต่อสู้ด้วยมือเปล่า เจ้าได้เปรียบมากอยู่แล้ว หากเก่งจริงก็อย่าใช้พิษสิ! ”

ซูจิ่นซีมิทันได้เอะใจว่า คำพูดที่เอ่ยว่า ‘สามี’ นั้นเป็นธรรมชาติเพียงใด ในดวงตาของเยี่ยโยวเหยาเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ เขามองใบหน้าของซูจิ่นซีด้วยใบหน้านิ่งเงียบไม่แสดงอาการ

“แม่นางน้อย เจ้าปกป้องชายอื่นต่อหน้าข้าเช่นนี้ ข้าเจ็บปวดใจเสียจริง ”

จอมวายร้ายไป๋เฉ่ายังกล้าพูดจาแทะโลมซูจิ่นซีอีก

ซูจิ่นซียังไม่ทันได้ตอบสนองกลับ เท้าของเยี่ยโยวเหยาก็เหยียบไปที่ปากของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าและบดขยี้อย่างหนัก

“หากเจ้ายังกล้าพูดจาสกปรกเช่นนี้ ข้าจะไม่ให้อภัยอีก”

หากเยี่ยโยวเหยาไม่มีข้อแลกเปลี่ยนกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่า อีกทั้งยังต้องพาตัวจอมวายร้ายไป๋เฉ่าไปหุบเขาร้อยบุปผาเพื่อแลกกับสมุนไพร เยี่ยโยวเหยาคงสังหารจอมวายร้ายไป๋เฉ่าไปเสียตรงนั้น

กล้าพูดจาแทะโลมสตรีของเยี่ยโยวเหยา รนหาที่ตาย!

เยี่ยโยวเหยาสกัดจุดชีพจรของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า มือข้างหนึ่งโอบเอวของซูจิ่นซี มืออีกข้างหิ้วจอมวายร้ายไป๋เฉ่าราวกับหิ้วถุงกระสอบ จากนั้นก็ใช้วิชาตัวเบาเหินไปทางหุบเขาร้อยบุปผา

หลังจากหนึ่งชั่วยาม ทั้งสามก็เดินทางมาถึงปากทางเข้าหุบเขาร้อยบุปผา

เฒ่าลวี่ยืนคอยอยู่ปากทางเข้าหุบเขาร้อยบุปผา ครั้นเมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีพาตัวจอมวายร้ายไป๋เฉ่ามาได้จริงๆ แววตาก็แสดงความประหลาดใจเล็กน้อย

“ยินดีด้วย โยวอ๋องกับพระชายาโยวอ๋อง อาหญิงจัดงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของพวกท่านทั้งสองอยู่ภายในหุบเขา”

อุปนิสัยของเยี่ยโยวเหยายังคงเย็นชาเหมือนเคย เขาไม่สนใจเฒ่าลวี่ และมุ่งหน้าเข้าไปในหุบเขาร้อยบุปผาทันที

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าที่เขาหิ้วอยู่ในมือ เมื่อเห็นว่าด้านหน้าคือหุบเขาร้อยบุปผา สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที ดวงตาเบิกกว้างแดงก่ำ คิดดิ้นรนสุดชีวิต ทว่าเขาถูกเยี่ยโยวเหยาสกัดจุดทั้งยังสกัดจุดใบ้อีกด้วย จึงทำอันใดไม่ได้เลย

ทว่าสิ่งที่ทำให้ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาประหลาดใจยิ่งกว่านั่นก็คือ หลังจากที่พวกเขากลับเข้ามาในหุบเขาร้อยบุปผาอีกครั้ง พวกเขาพบว่าภายในหุบเขาร้อยบุปผาได้แขวนผ้าสีแดงเกือบทุกหนทุกแห่ง เสียงเพลงขับขานดังก้องไปทั่ว ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความสุข

นี่คือการจัดงานวิวาห์มิใช่หรือ

ผู้ใดจะเข้าวิวาห์หรือ?

เมื่อซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยานำตัวจอมวายร้ายไป๋เฉ่ามาถึงเรือนโบตั๋น ก็มีสตรีห้าหกนางรีบเดินเข้ามาถอดเสื้อผ้าจอมวายร้ายไป๋เฉ่าตรงนั้นทันที และเปลี่ยนเป็นชุดวิวาห์ที่สวยงาม

“เจ้าสาวมาถึงแล้ว! ”

มีเสียงคนตะโกนดังขึ้นจากทางด้านนอกประตู ทุกคนต่างหันไปมองด้านนอกอย่างพร้อมเพรียงกัน ซูจิ่นซีถึงกับตกใจยืนอึ้ง

ท่านนี้คือฮูหยินเตี๋ยเมิ่งหรือ?

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งในเวลานี้เป็นเหมือนดั่งที่ร่ำลือกัน งดงามตราตึง ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด จุดไฝสีดำบนใบหน้าของนางก่อนหน้านี้ถึงหายไปหมดสิ้น เผยใบหน้างดงาม ผิวขาวนวลเปล่งประกาย นางสวมชุดวิวาห์สีแดง ยิ่งขับให้นางโดดเด่นเหมือนดอกโบตั๋นที่เบ่งบานในหมู่มวลบุปผา

ซูจิ่นซีรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง

ทว่าตอนนี้ซูจิ่นซีไม่มีเวลาให้ตรึกตรองมากนัก เพราะแม้แต่คนโง่ก็มองออกว่า เหตุการณ์ที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้านั้น ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งคิดจะคลุมถุงชน [1]

บังคับให้จอมวายร้ายไป๋เฉ่าแต่งงาน!

……

เชิงอรรถ

[1] คลุมถุงชน สำนวน หมายถึง ลักษณะการแต่งงานที่ผู้ใหญ่จัดการให้ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้จักคุ้นเคยหรือรักกันมาก่อน หรือการบังคับให้แต่งงาน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset