สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 212 มหาเศรษฐี คนมีเงิน

“เยี่ยโยวเหยา! ”

ซูจิ่นซีผลักเยี่ยโยวเหยาเบาๆ ด้วยท่าทีหวาดระแวง

คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่ได้ทำอันใด เขาเพียงคลายมือจากเอวของซูจิ่นซี และยืนกุมมือซูจิ่นซีเงียบๆ เท่านั้น

ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจของซูจิ่นซีรู้สึกผ่อนคลาย ทว่ายังมีความรู้สึกสูญเสียที่อธิบายไม่ได้

หลังจากที่เรือแล่นอยู่บนทะเลสาบได้ราวหนึ่งชั่วยาม ซูจิ่นซีก็เห็นชายฝั่งอยู่ไกลๆ เมื่อเรือแล่นเข้าไปใกล้ นางก็เห็นคฤหาสน์หลังหนึ่ง

ภายนอกคฤหาสน์ยังคงมีดอกเหมยสีแดงบานสะพรั่งดั่งเปลวเพลิง ทัศนียภาพงดงามไม่ด้อยไปกว่าบนทะเลสาบ

เยี่ยโยวเหยาจูงมือซูจิ่นซีขึ้นไป บนชายฝั่งมีคนเปิดประตูคฤหาสน์ออกมาต้อนรับซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาอย่างรวดเร็ว

“นายท่าน! ”

ทุกคนต่างคำนับเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีอย่างพร้อมเพรียง

เมื่อเข้าไปในคฤหาสน์ ซูจิ่นซีก็แสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ เรือนพักและห้องหับของที่นี่ แม้จะตกแต่งด้วยรูปแบบที่แตกต่างจากจวนโยวอ๋อง ทว่ารูปแบบและความหรูหรานั้นไม่เป็นรองจวนโยวอ๋องเลย กลับหรูหรากว่าด้วยซ้ำ

บุรุษผู้นี้รู้จักสถานที่หรูหราและเงียบสงบเช่นนี้ได้อย่างไร? ทั้งยังตั้งอยู่ต่างเมืองอีกด้วย

เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ซูจิ่นซีก็อดนึกถึงตอนที่อยู่หน้าประตูไม่ได้ บ่าวรับใช้ทุกคนล้วนเรียกพวกเขาว่า ‘นายท่าน’

ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็รู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น สถานที่แห่งนี้คงไม่ใช่มรดกของเยี่ยโยวเหยาหรอกกระมัง?

จวนโยวอ๋องเป็นของเขา ก่อนหน้านั้นเรือนพักชั่วคราวขณะที่เดินทางมาหนานหลีก็เป็นของเขา อีกทั้งคฤหาสน์ทุ่งดอกเหมยที่หรูหราและโออ่าเช่นนี้ก็ยังเป็นของเขา บุรุษผู้นี้มีเงินมากมายจริงๆ !

ดูเหมือนเยี่ยโยวเหยาจะคาดเดาได้ว่าซูจิ่นซีกำลังคิดอันใดในใจ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางยิ้มมุมปากพูดว่า “ที่นี่เป็นมรดกของข้า ยังมีทะเลสาบด้านนอกและสถานที่ปลูกต้นดอกเหมยโดยรอบชายฝั่งทะเลสาบในระยะหนึ่งลี้ ล้วนเป็นของข้าทั้งหมด”

โอ้พระเจ้า!

ซูจิ่นซีตกตะลึงจนขยับเขยื้อนเดินไม่ถูกทาง

นางไม่เก่งวิชาคณิตศาสตร์และภูมิศาสตร์เท่าใดนัก จึงไม่สามารถคำนวณพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ ทว่าเมื่อมองดูความกว้างใหญ่ไพศาลของทะเลสาบและพื้นที่ของป่าดอกเหมย ทั้งยังมีความใหญ่โตโอ่อาของคฤหาสน์ที่นางเห็นก่อนหน้านี้ทั้งหมด โอ้! เมื่อนำมารวมเข้าด้วยกัน เนื้อที่โดยรวมเปรียบได้กับพื้นที่ครึ่งเมืองในยุคปัจจุบัน

เศรษฐีที่ดิน!

เศรษฐีเจ้าบุญทุ่ม!

บุรุษผู้นี้มีเงินมากถึงเพียงนี้ ซูจิ่นซีไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลย

ภายในช่วงเวลาอันสั้น ภาพลักษณ์ที่สูงส่งของเยี่ยโยวเหยาในสายตาของซูจิ่นซีพลันเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

เมื่อเข้าไปในคฤหาสน์อันโอ่อ่ากว้างขวางที่มีการจัดเตาผิงไฟทั้งสี่แห่ง ซูจิ่นซีก็รู้สึกถึงลมอุ่นปะทะเข้าใบหน้า นางรีบวิ่งไปข้างเตาไฟเพื่อคลายหนาวและไม่ขยับเขยื้อนไปไหนอีกเลย

หญิงรับใช้เข้าไปถอดเสื้อคลุมให้กับเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีและปัดหิมะบนร่างของพวกเขา เยี่ยโยวเหยาเดินเข้าไปหาซูจิ่นซี เขาดึงแขนของนางส่งให้หญิงรับใช้นางหนึ่ง “ไปอาบน้ำอุ่นชำระร่างกายก่อน”

ไปอาบน้ำอุ่นชำระร่างกายก่อน

คำพูดเช่นนี้ ทำให้ผู้อื่นคิดเลยเถิดหรือไม่?

เมื่อก่อน ภาพยนตร์ที่นางเคยดูมามากมายนั้น พระเอกกับนางเอกมักไปเที่ยวบ้านพักตากอากาศที่หรูหรามาก จากนั้นก็ไปอาบน้ำอุ่นชำระร่างกาย และหลังจากนั้นก็…

ซูจิ่นซีส่ายหน้าอย่างจริงจังด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ นางรีบกุมเสื้อบริเวณหน้าอกของตนพลางยิ้มมุมปาก “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ตอนนี้ข้ารู้สึกสบายตัวดี อีกทั้งข้าเพิ่งจะอาบน้ำมาไม่นาน ไม่ต้องอาบหรอก”

พูดจบ ซูจิ่นซีก็รีบหันหลังวิ่งกลับไปยืนพิงข้างเตาไฟตามเดิม

เยี่ยโยวเหยาจับหัวไหล่ของซูจิ่นซีไว้แน่น ซูจิ่นซีตกใจ ยืนนิ่ง นางรู้สึกถึงลมหายใจอบอุ่นที่ข้างหู ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาเคร่งขรึมแกมดุดัน เขาเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้หูของซูจิ่นซี

“เพิ่งจะอาบน้ำมาหรือ? ชายาที่รักแน่ใจหรือ? ทว่าข้าจำได้ว่าชายาที่รักอาบน้ำครั้งล่าสุดเมื่อแปดเก้าวันที่แล้วไม่ใช่หรือ? ”

ซูจิ่นซีอาบน้ำครั้งล่าสุดที่เรือนพักชั่วคราวระหว่างเดินทางเมื่อแปดเก้าวันที่แล้วจริง

บุรุษผู้นี้ เหตุใดเขาถึงรู้ละเอียดถึงเพียงนี้?

ซูจิ่นซีอดขมวดคิ้วไม่ได้ นางค่อยๆ หันไปมองหน้าเยี่ยโยวเหยา

ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับปล่อยแขนของซูจิ่นซีและหันหลังเดินไปทางตั่งผ้าไหมนานแล้ว เขากำลังจัดการกับจดหมายปึกใหญ่ที่มาในวันนี้

“ไปอาบน้ำอุ่นคลายหนาวเพื่อไม่ให้ไอเย็นเข้าสู่ร่างกาย ทั้งยังทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นด้วย”

ซูจิ่นซีมองเยี่ยโยวเหยาที่นั่งบนตั่งผ้าไหมด้วยท่าทีนิ่งเงียบ ใบหน้าเคร่งขรึมง่วนอยู่กับจดหมายในมือ นางคิดอยากจะตบไปที่หน้าของตนเองแรงๆ

ซูจิ่นซี เมื่อใดที่เจ้าจะดูโดดเด่นในสายตาของเยี่ยโยวเหยา?

เมื่อใดเจ้าจะแก้ไขโรคขี้ระแวงเช่นนี้ให้หมดสิ้นเสีย?

ซูจิ่นซี เหตุใดภายในใจเจ้าถึงได้คิดอกุศลเยี่ยงนี้?

น่าละอายใจหรือไม่? น่าละอายใจหรือไม่? น่าละอายใจหรือไม่?

“หืม? ” จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาก็เงยหน้ามามองซูจิ่นซีและพูดว่า “ยังไม่ไปอีกหรือ? ”

“ไป! ไป! รีบไปแล้วเพคะ! ” ซูจิ่นซีแก้มแดงระเรื่อ นางรีบหันหลังวิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เยี่ยโยวเหยามองไปทางทิศที่ซูจิ่นซีเดินไป ใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาพลันเผยรอยยิ้มอ่อนโยนพักใหญ่

ซูจิ่นซีไม่คาดคิดว่า สถานที่อาบน้ำของที่นี่จะเป็นบ่ออาบน้ำแห่งหนึ่ง บ่ออาบน้ำของที่นี่ใหญ่กว่าบ่ออาบน้ำที่ตำหนักฝูอวิ๋นเสียอีก อีกทั้งของใช้และเครื่องประดับโดยรอบยังหรูหรากว่าที่ตำหนักฝูอวิ๋นมากนัก

เมื่อก่อนที่ซูจิ่นซีอาบน้ำที่จวนโยวอ๋อง แต่ละครั้งล้วนใช้อ่างอาบน้ำในการชำระร่างกาย แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยใช้บ่ออาบน้ำที่หรูหราเช่นนี้

“เจ้าแน่ใจหรือ ท่านอ๋องให้ข้าอาบน้ำที่นี่? ” ซูจิ่นซีไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น นางหันหลังไปยืนยันกับสาวรับใช้

“เพคะ พระชายา”

ซูจิ่นซีวางใจแล้ว

“พระชายา บ่าวจะปรนนิบัติถอดชุดให้ท่านเพคะ! ”

“ข้าทำเอง” ซูจิ่นซีแย้มยิ้มด้วยใบหน้าอ่อนโยน “พวกเจ้าออกไปเถิด”

“เอ่อ… ”

หญิงรับใช้ลังเลเล็กน้อย

“เวลาอาบน้ำ ข้าไม่ชอบให้คนมายืนอยู่ข้างๆ พวกเจ้าออกไปเถิด! ”

“เพคะ พวกบ่าวจะยืนรออยู่นอกประตู พระชายาต้องการสิ่งใดสามารถเรียกบ่าวได้ตลอดเวลานะเพคะ”

ซูจิ่นซีแย้มยิ้มด้วยใบหน้าอบอุ่น

หลังจากที่ทุกคนออกไปจนหมด ซูจิ่นซีจึงเริ่มถอดเสื้อผ้า เมื่อมือของนางสัมผัสบริเวณหน้าอก ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนไปทันที นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมผืนบางมาคลุมร่างกายและเดินออกไปนอกประตู

“พระชายา ท่านยังขาดสิ่งใดหรือ? ” หญิงรับใช้หน้าประตูเห็นซูจิ่นซีเดินออกมา จึงรีบถามขึ้น

“ท่านอ๋องเล่า? ”

“ท่านอ๋องยังอยู่ที่ห้องโถงเพคะ”

ซูจิ่นซีไม่พูดอันใด นางเดินอย่างรวดเร็วไปทางห้องโถง

“เยี่ยโยวเหยา! ” ซูจิ่นซีผลักประตู

เยี่ยโยวเหยากำลังอ่านจดหมายอย่างมีสมาธิ ขณะที่เงยหน้าขึ้นมองซูจิ่นซี คิ้วพลันขมวดเป็นเกลียว

“เยี่ยโยวเหยา ก่อนหน้านี้ที่หอโอสถสกุลซู นอกจากหยกกิเลนกับพิณหงส์แล้ว ยังมีป้ายหยกที่สลักตัวอักษร ‘จง’ อีกหนึ่งชิ้น ตอนนี้ป้ายหยกชิ้นนั้นหายไปแล้ว ข้าสงสัยว่าขณะต่อสู้กันที่หุบเขาร้อยบุปผา ข้าอาจทำหล่นไว้ พวกเรากลับไปหาได้หรือไม่? ”

“ทำหล่นไว้ที่หุบเขาร้อยบุปผาหรือ? ”

“ใช่เพคะ ก่อนเข้าไปในหุบเขาร้อยบุปผา ป้ายหยกอยู่ติดตัวข้าตลอด หลังออกจากหุบเขาร้อยบุปผา ระหว่างทางข้าก็อยู่บนรถม้า มีบางครั้งที่ลงจากรถม้าเพื่อหยุดพัก ทว่าก็อยู่ห่างจากรถม้าไม่ไกลนัก ข้าคงทำหล่นขณะต่อสู้ที่หุบเขาร้อยบุปผา”

ป้ายหยกที่มีอักษร ‘จง’ หรือ?

เยี่ยโยวเหยากำลังครุ่นคิดจึงไม่ได้เอ่ยอันใด

ซูจิ่นซีรออยู่นานก็ยังไม่ได้คำตอบจากเยี่ยโยวเหยา จึงพูดรบเร้าด้วยความร้อนใจ “เยี่ยโยวเหยา! ”

เยี่ยโยวเหยาเงยหน้า ซุกซ่อนแววตาผิดปกติได้อย่างแนบเนียน

“พวกเราออกจากหุบเขาร้อยบุปผามาหลายวันแล้ว ถ้าป้ายหยกหล่นที่หุบเขาร้อยบุปผาจริง คงมีคนเก็บไปแล้ว หากพวกเราบุ่มบ่ามกลับไปเช่นนี้ เกรงว่าไม่เพียงแต่จะไม่ได้ป้ายหยกกลับมา ยังจะสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นขึ้นมาอีก หากเป็นเช่นนี้ ข้าจะส่งองครักษ์เงาหลายคนไปที่หุบเขาร้อยบุปผาเพื่อสืบข่าวเหตุการณ์ ถ้าป้ายหยกอยู่ที่หุบเขาร้อยบุปผาจริง พวกเราค่อยหาวิธีอีกครั้ง”

ซูจิ่นซีรู้สึกว่าคำพูดของเยี่ยโยวเหยามีเหตุผลเช่นกัน

“อืม เช่นนี้ก็ดี! ”

ซูจิ่นซีพยักหน้าเห็นด้วย จู่ๆ นางก็พบว่าแววตาที่เยี่ยโยวเหยามองตนนั้น มีบางอย่างผิดปกติ

ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็คิดอันใดขึ้นมาได้ นางค่อยๆ ก้มหน้าลง และพบว่านางเดินออกมาด้วยการสวมเสื้อคลุมผืนบางเพียงหนึ่งตัว อีกทั้งภายใต้เสื้อคลุมผืนบางนั้น นางยังไม่ได้สวมใส่สิ่งใดไว้

ผ้าไหมบางเบาพลิ้วไหวเลือนราง ทิวทัศน์งดงาม ภาพนงคราญละลานตา

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset