สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 216 ของขวัญสุดหรูของเยี่ยโยวเหยา

เยี่ยโยวเหยาจับไปที่ผมหน้าม้าของซูจิ่นซีด้วยความรักใคร่

“เหตุใดจึงเป็นมังกร? ”

ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากแย้มยิ้ม ทว่าไม่พูดอันใด

หากคำนวณตามสิบสองนักษัตรในยุคสมัยสามพันปีต่อมา เยี่ยโยวเหยาน่าจะเกิดปีมังกร ดังนั้นซูจิ่นซีจึงใช้เทียนวางเป็นรูปมังกร

ทว่าวิธีพูดเช่นนี้ ซูจิ่นซีไม่สามารถอธิบายให้เยี่ยโยวเหยาเข้าใจได้ ทั้งนางยังไม่ต้องการพูดถึงเรื่องเกินจินตนาการอื่นๆ จึงเลี่ยงที่จะไม่พูด

“เยี่ยโยวเหยา วันนี้เป็นวันปีใหม่! ที่แท้วันเกิดของท่านก็เป็นวันปีใหม่! ”

เยี่ยโยวเหยากำลังรอคำอธิบายจากซูจิ่นซี กลับไม่คิดว่านางจะพูดถึงหัวข้อนี้ขึ้นมา จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย

ปีใหม่ การเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ อีกทั้งยังเป็นวันเกิดของเยี่ยโยวเหยา ช่างเป็นวันที่ดีวันหนึ่งจริงๆ

“พวกเราไปทานเค้กกันเถิด! ” ซูจิ่นซียิ้มพลางพูด

“เค้ก? ”

“เมื่อครู่ที่หม่อมฉันถือมาให้ท่านตอนร้องเพลง อันที่มีเทียนหลายเล่มอยู่ด้านบนนั่นอย่างไรเล่าเพคะ! ”

ขณะที่พูด ซูจิ่นซีก็จูงมือเยี่ยโยวเหยาเข้าไปในตำหนักกลาง

เนื่องจากข้อจำกัดของวัตถุดิบในสมัยโบราณ ซูจิ่นซีจึงค่อนข้างลำบากกับการทำเค้กอยู่บ้าง มันไม่ได้ประณีตสวยงามเหมือนในสมัยปัจจุบัน ทว่านางได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว นางทำเค้กจากวัตถุดิบที่ใช้ทำขนมอบโบราณ ทั้งยังใส่ผลไม้หลายชนิดด้านบน นางยุ่งอยู่กับการทำเค้กตลอดช่วงบ่าย ในที่สุดก็ทำออกมาได้สำเร็จ!

“มานี่ มานี่ เจ้าของวันเกิดเป่าเทียนก่อนนะเพคะ! ” ซูจิ่นซีพูด

เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีด้วยใบหน้าไม่เข้าใจ

ซูจิ่นซียิ้มมุมปาก “เป่าเทียนเพคะ! เป่าเทียนเสร็จแล้วก็อธิษฐานขอพร ศักดิ์สิทธิ์มากนะเพคะ! ”

เยี่ยโยวเหยาเป่าเทียนบนเค้กตามที่ซูจิ่นซีบอก จากนั้นจึงหลับตาอธิษฐานขอพร

“ต่อไปพวกเราจะตัดเค้กกันเพคะ ให้เจ้าของวันเกิดตัดเค้กเป็นคนแรกเพคะ! ”

ซูจิ่นซียื่นมีดใส่มือเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาถือมีดตัดตรงกลางเค้ก

แน่นอนว่านางไม่อาจให้เยี่ยโยวเหยา ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ทำหน้าที่เป็นผู้แบ่งขนมเค้ก ดังนั้นซูจิ่นซีจึงทำแทน นางตัดเค้กชิ้นแรกมอบให้เยี่ยโยวเหยา

เหล่าหญิงรับใช้และองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกต่างยื่นคอยาวมองเข้าไปในตำหนักด้วยความสงสัย ซูจิ่นซีเรียกพวกเขาเข้ามา “เข้ามา เข้ามา ทุกคนเข้ามาเถิด! วันนี้เป็นวันเกิดท่านอ๋อง คนเยอะจะได้ครึกครื้น มาชิมขนมเค้กที่ข้าทำว่ารสชาติเป็นเช่นไร! ”

ได้หรือ?

พวกเขาสามารถเข้าไปแบ่งปันขนมเค้กกับท่านอ๋องได้หรือ?

ทุกคนต่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน พวกเขาล้วนแสดงท่าทีระมัดระวัง ไม่กล้าเดินเข้าประตู

ซูจิ่นซีแย้มยิ้มมองเยี่ยโยวเหยา หากไม่ได้ยินคำสั่งจากเยี่ยโยวเหยา เหล่าบ่าวรับใช้ล้วนไม่กล้าเข้ามาอย่างแน่นอน

“วันนี้ข้ามีความสุข ไม่ต้องกล่าวถึงเจ้านายหรือบ่าว” เยี่ยโยวเหยาพูดอย่างแผ่วเบา

“สุดยอดไปเลย สุดยอดไปเลย! ”

เมื่อทุกคนได้รับอนุญาตจากเยี่ยโยวเหยา ในใจล้วนเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ทว่ายังคงเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง พวกเขาเดินมายืนเข้าแถวสองแถวอยู่ข้างหลังเยี่ยโยวเหยา

ซูจิ่นซีมองพวกเขา พลางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทำอันใดกันอยู่อีก? รีบเข้ามารับเค้กสิ! เหมยจื่อ ล่าเยวี่ย รีบมาช่วยกัน! ”

หญิงรับใช้ทั้งสองนางที่ชื่อเหมยจื่อและล่าเยวี่ย รีบเดินเข้ามาช่วยซูจิ่นซีแบ่งเค้ก ทุกคนต่างเดินเข้ามาด้านข้างซูจิ่นซีทีละคนๆ แม้ขนมเค้กจะก้อนเล็ก ทว่าทุกคนยังได้รับส่วนแบ่งกันคนละเล็กละน้อย

“อร่อยมาก ฝีมือของพระชายาดียิ่งเพคะ บ่าวไม่เคยทานขนมเค้กที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเลยเพคะ”

“ใช่เพคะ! พระชายาไม่เพียงแต่มีใบหน้าที่งดงาม ทั้งยังทำอาหารได้อร่อยเช่นนี้ ท่านอ๋องช่างโชคดีจริงๆ เพคะ”

“ไป ไป ไป เป็นโชคดีของท่านอ๋อง พวกเราจะสามารถกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร ระวังหัวของพวกเจ้าไว้ให้ดี! ”

ทุกคนต่างพูดคุยกัน เจ้าหนึ่งคำ ข้าหนึ่งคำ ทำให้ความหนาวเย็นในฤดูหนาวมีความรื่นเริงและความอบอุ่นเพิ่มขึ้นมาทันที

หญิงรับใช้นางหนึ่งเห็นว่าแก้มของเยี่ยโยวเหยามีขนมเค้กชิ้นหนึ่งติดอยู่ ทันใดนั้นก็นึกสนุกขึ้นมา นางเม้มริมฝีปาก พลางใช้นิ้วมือเขี่ยไปที่เค้กชิ้นหนึ่ง และค่อยๆ ย่องอย่างเงียบงันเข้าไปด้านข้างองครักษ์นายหนึ่ง จากนั้นก็ป้ายเค้กไปบนหน้าขององครักษ์ผู้นั้น

องครักษ์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเค้ก โกรธขึ้นมาทันที “ดียิ่งนัก เจ้ากล้าป้ายเค้กใส่ข้า! หยุดนะ ห้ามวิ่งหนี ข้าบอกให้เจ้าหยุด! ”

เหมยจื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็ค่อยๆ ใช้นิ้วจิ้มไปที่เค้ก และป้ายไปบนหน้าของล่าเยวี่ยเช่นกัน

“เจ้าตัวแสบ ดีล่ะ เจ้ากล้าป้ายข้า ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้าเช่นไร! ”

ล่าเยวี่ยวิ่งไล่ตามเหมยจื่อ ทว่ารูปร่างของเหมยจื่อนั้นคล่องแคล่วกว่าล่าเยวี่ยมากนัก นางไล่ตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน

เมื่อองครักษ์และหญิงรับใช้คนอื่นๆ เห็นเช่นนั้น ต่างก็จุ่มนิ้วไปบนเค้ก และป้ายใส่ใบหน้าของกันและกัน ทันใดนั้นในตำหนักก็มีเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ต้นไม้ไฟประดับดอกไม้เงินนอกตำหนัก ดอกเหมยท่ามกลางหิมะโปรย เป็นฉากที่คึกคักและมีชีวิตชีวาฉากหนึ่ง

สวนดอกเหมยแห่งเมืองเหยาเฉิงแคว้นหนานหลี ไม่เคยคึกคักถึงเพียงนี้ เยี่ยโยวเหยาเติบโตจนอายุปูนนี้ ยังไม่เคยมีความสุขเหมือนดั่งวันนี้มาก่อน

“เยี่ยโยวเหยา เหตุใดท่านยังไม่ทานเพคะ? ”

ผู้อื่นต่างทานขนมเค้กกันหมดแล้ว ทว่าเยี่ยโยวเหยายังถือขนมเค้กอยู่และยังไม่ได้ทาน

“ไม่ชอบทานหรือเพคะ? ” ซูจิ่นซีถาม

เยี่ยโยวเหยาจึงลงมือทานด้วยท่าทางสง่างาม แม้เมื่อเทียบกับพ่อครัวระดับมืออาชีพของวังหลวงแล้ว รสชาติจะเป็นรองอยู่เล็กน้อย ทว่ายังถือว่าอร่อยมาก

หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาทานขนมเค้กเสร็จ เขาก็จูงมือซูจิ่นซีออกไปข้างนอก

ซูจิ่นซีไม่ได้ถามอันใด ทำเพียงเดินตามข้างกายเยี่ยโยวเหยา

ภายในตำหนักด้านหลังยังคงมีเสียงหัวเราะ บนท้องฟ้ายังคงประดับด้วยดอกไม้ไฟ เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีเดินย่ำบนหิมะ เสียงเท้าเหยียบหิมะดังขึ้นเป็นระยะ บริเวณโดยรอบเงียบสงัด

พวกเขาเดินบนพื้นหิมะอย่างเงียบงัน บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดเป็นอย่างมาก บางครั้งกลีบดอกเหมยก็ลอยมาตามลมหนาวและหมุนวนอยู่กลางอากาศ ก่อนจะตกลงบนร่างของเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี

“เยี่ยโยวเหยา! ”

“ซูจิ่นซี! ”

พวกเขาแทบจะพูดขึ้นมาพร้อมกัน

“เจ้าพูดก่อน! ”

“ท่านพูดก่อน! ”

พวกเขายังพูดพร้อมกันอีก

“ข้า… ”

“ข้า… ”

นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญเช่นนี้

ซูจิ่นซียกมือปิดปากหัวเราะ ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด ระหว่างพวกเขาทั้งสองราวกับมีบางอย่างค่อยๆ เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

เยี่ยโยวเหยานิ่งเงียบไม่พูดอันใด รอให้ซูจิ่นซีพูดก่อน

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีจึงแย้มยิ้มและพูดว่า “แท้จริงแล้ว หม่อมฉันรู้สึกว่ามันเงียบเกินไปจึงร้องเรียกท่าน! ท่านอ๋องต้องการพูดอันใดกับหม่อมฉันเพคะ? ”

ชั่วขณะหนึ่ง อารมณ์ที่ปรากฏอยู่ในแววตาของเยี่ยโยวเหยาพลันหายไป เขามองซูจิ่นซีด้วยแววตาที่สงบนิ่งดั่งสายน้ำ ลมหายใจสงบเงียบของพวกเขาทั้งสองมีความหวาดหวั่นปะปนอยู่เล็กน้อย ซูจิ่นซีเกิดความรู้สึกไม่ค่อยเป็นตนเองนัก

นางแย้มยิ้ม คิดอยากจะพูดอันใดบางอย่าง ทว่า จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาก็พูดขึ้นว่า “ซูจิ่นซี ขอบใจเจ้ามาก! ”

ซูจิ่นซีรู้ดีว่าที่เยี่ยโยวเหยาพูดนั้นหมายถึงอันใด

เยี่ยโยวเหยา ท่านรู้หรือไม่ หากระยะห่างระหว่างเราสองคนมีหนึ่งร้อยก้าว ซูจิ่นซีก็เต็มใจที่จะเดินไปหาท่านหนึ่งร้อยก้าว

และในหนึ่งร้อยก้าวนี้ หากท่านเดินเข้ามาหาซูจิ่นซีหนึ่งก้าว ซูจิ่นซีก็เต็มใจจับมือท่าน และเดินเคียงคู่ไปสู่อนาคตหนึ่งร้อยก้าว

หากท่านเต็มใจเดินเข้ามาหาสองก้าว ซูจิ่นซีก็เต็มใจจับมือท่าน และเดินเคียงคู่กันไปสู่อนาคตหนึ่งพันก้าว

หากท่านเต็มใจเดินเข้ามาครึ่งหนึ่งของระยะทาง ซูจิ่นซีก็เต็มใจเคียงคู่ท่านไปตลอดชีวิต ไม่ผิดต่อกัน จะเป็นหรือตายไม่แยกจากกัน ไม่ทอดทิ้งกันตลอดไป

ทว่าสุดท้ายแล้ว ซูจิ่นซีก็ไม่ได้พูดคำเหล่านี้ออกมา นางเพียงแอบคิดอย่างแน่วแน่อยู่ในใจ และมองเยี่ยโยวเหยาด้วยดวงนัยน์ตาที่เป็นประกายมุ่งมั่น

เยี่ยโยวเหยายกมือขึ้น องครักษ์เงาด้านหลังคนหนึ่งพลันเหินลงมาด้านข้างเยี่ยโยวเหยาอย่างไร้เสียง และมอบสิ่งของบางอย่างให้เยี่ยโยวเหยา

เยี่ยโยวเหยาไม่ได้กล่าวอันใด ทำเพียงส่งของสิ่งนั้นให้ซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีเปิดดูทันที นางรู้ว่าเป็นอันใด ทว่านางไม่เข้าใจความหมายของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีมองไปที่เยี่ยโยวเหยาด้วยแววตาสงสัย

“นี่เป็นของขวัญปีใหม่ที่ข้ามอบให้เจ้า”

มอบให้นางหรือ?

โอ้ พระเจ้า!

สิ่งนี่หรูหราเกินไปแล้ว!

ล้ำค่าเช่นนี้!!!

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset