สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 217 ดุดันมีอำนาจ ข้ายอมรับได้

เยี่ยโยวเหยามอบกรรมสิทธิ์ที่ดินและคฤหาสน์ทั้งหมดนี้ให้ซูจิ่นซี รวมถึงสวนและสถานที่โดยรอบสวนทั้งหมด

มอบให้กับซูจิ่นซีทั้งหมดหรือ?

ซูจิ่นซีไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เห็น

นางอดหยิกตนเองไม่ได้

“เจ้ากำลังทำอันใดหรือ? ” เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วถาม

“ลองทำดูว่าเจ็บหรือไม่ หากเจ็บก็หมายความว่าหม่อมฉันไม่ได้ฝันไป เป็นเรื่องจริง”

เยี่ยโยวเหยาอดยิ้มมุมปากไม่ได้ “ซูจิ่นซี นี่ไม่ใช่ความฝัน มันเป็นเรื่องจริง ตั้งแต่นี้ต่อไปทะเลดอกเหมยแห่งเมืองเหยาเฉิงจะมีชื่อเจ้าเป็นของเจ้าทั้งหมด ข้าส่งคนไปจัดการหนังสือสำคัญกับขุนนางในท้องที่เรียบร้อยแล้ว”

แม้เยี่ยโยวเหยาจะพูดเช่นนี้ ทว่าซูจิ่นซียังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความจริง นางยังสับสนงุนงงเหมือนอยู่ในภวังค์

ผืนดินกว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ หากนำมาพัฒนาสร้างตึกรามบ้านช่องเหมือนในยุคปัจจุบัน คงขายได้เงินจำนวนมาก

ทว่าหากทุบทำลายคฤหาสน์ที่หรูหราโอ่อ่าเช่นนี้ และโค่นต้นดอกเหมยจำนวนมากถึงเพียงนี้จนหมด ก็ดูจะฟุ่มเฟือยเกินไป

เยี่ยโยวเหยาเห็นซูจิ่นซีน้ำตาไหล ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอันใด ทว่าเขาก็อดเข้าไปจุมพิตนางด้วยความอ่อนโยนไม่ได้

“ยังไม่ได้ตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ ให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจ”

ซูจิ่นซีไม่เกรงใจ “หม่อมฉันเห็นว่าสถานที่แห่งนี้ปลูกต้นดอกเหมยไว้จำนวนมาก มิสู้ตั้งชื่อเป็น สวนตี้เหมย ดีหรือไม่? ”

เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีด้วยใบหน้าประหลาดใจ เขาไม่ได้พูดว่าดีหรือไม่ดี

จู่ๆ ซูจิ่นซีก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ สมัยโบราณในแต่ละยุคสมัยจะมีธรรมเนียมข้อห้ามในการใช้คำศัพท์บางคำ เยี่ยโยวเหยาเป็นอ๋อง หากชื่อของคฤหาสน์ที่เขาเป็นเจ้าของมีคำว่า ‘ตี้’ ที่หมายถึง ‘ราชา’ หรือ ‘ฮ่องเต้’ จำพวกนี้ จะต้องสร้างปัญหาใหญ่หลวงให้กับเขาเป็นแน่

“ถ้าเช่นนั้น เปลี่ยนเป็นชื่ออื่น! ปลอดภัยไว้ก่อน ตั้งชื่อว่า สวนดอกเหมย ดีหรือไม่? ” ซูจิ่นซีแย้มยิ้ม

กลับคิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะพูดออกมาด้วยใบหน้าดุดันมีอำนาจ “ไม่ต้อง อ๋องอย่างข้ายอมรับได้”

ซูจิ่นซีตกตะลึงเล็กน้อย เยี่ยโยวเหยาจูงมือนางเดินกลับไป “กลับไปพักผ่อนแต่เช้า วันรุ่งขึ้นจะออกเดินทางกลับแคว้นจงหนิง”

“พรุ่งนี้จะกลับแล้วหรือเพคะ? ”

“ทำไม เจ้ายังไม่อยากกลับหรือ? ”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่! ” ซูจิ่นซีรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

ไม่ใช่ไม่อยากกลับ แต่นางรู้สึกว่า แม้จะได้พักอยู่ที่นี่เพียงสองวัน ทว่าราวกับได้อยู่ในดินแดนสวรรค์ นางไม่ต้องกังวลใจใดๆ หากกลับไปแคว้นจงหนิงแล้ว นางต้องพบหน้าคนที่ไม่ต้องการพบมากมาย ทั้งยังต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำอีก ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้กลับมาที่นี่

ทว่าอีกประเดี๋ยว ซูจิ่นซีก็ไม่มีกำลังมาครุ่นคิดถึงปัญหาเหล่านี้ เพราะนางจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ยากลำบาก ทั้งยังกดดันมากอีกด้วย

เยี่ยโยวเหยาจูงมือซูจิ่นซีแน่น ไม่มีท่าทีจะปล่อยมือแต่อย่างใด ทั้งยังไม่ยอมปล่อยนางให้ไปที่ใดอีก เขาเดินไปยังตำหนักเดิมที่พวกเขานอนกันเมื่อคืนวาน

กลับไปนอน

นอนอย่างไร?

ซูจิ่นซีไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาเป็นคนที่สามารถควบคุมตนเองและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเร้าได้ อิสตรีตัวคนเดียวหลับนอนในห้องเดียวกัน อาจเกิดเรื่องขึ้นได้ง่ายๆ รู้หรือไม่

ซูจิ่นซีคิ้วขมวดเป็นเกลียว

ผลสุดท้าย คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาจูงมือซูจิ่นซีเข้าไปในตำหนักแล้ว เขากลับไม่ได้ทำอันใด เพียงสั่งให้ซูจิ่นซีนอนพักก่อน ส่วนเขาเดินไปนั่งที่โต๊ะหนังสือ

เพียงประเดี๋ยวเดียว บนโต๊ะหนังสือก็เต็มไปด้วยจดหมาย

ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก นางเดินไปนอนอย่างเชื่อฟัง

ในเวลานี้หากนางทำอันใดผิดพลาด ก็นับเป็นการแส่หาเรื่องเอง รนหาที่เอง และอาจถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่าย ซูจิ่นซีเคยประสบมาแล้ว

ซูจิ่นซีนอนอยู่บนเตียง นางไม่กล้านอนหลับในทันที ทว่าแสร้งทำเป็นหลับ นางต้องการรู้ว่า หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาจัดการกับจดหมายเสร็จแล้ว เขาจะนอนที่ใด

แต่คิดไม่ถึงว่า จนกระทั่งถึงยามจื่อ เยี่ยโยวเหยายังไม่มีทีท่าจะเข้านอน ซูจิ่นซีไม่กล้าส่งเสียงรบกวน ทว่านางเองก็ง่วงจนฝืนไม่ไหวแล้ว ในที่สุดก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

หลังจากนั้นเมื่อถึงยามสี่ ซูจิ่นซีตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่งด้วยใบหน้างัวเงีย แสงเทียนยังส่องสว่าง เยี่ยโยวเหยายังคงง่วนอยู่กับงาน นางจึงสะลึมสะลือหลับไปอีกครั้ง

จนกระทั่งตื่นนอนตอนเช้าตรู่ เยี่ยโยวเหยาก็ยังคงนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

ซูจิ่นซีลงจากเตียงด้วยความระมัดระวัง นางเม้มริมฝีปาก “ท่านอ๋องยังไม่ได้นอนหรือเพคะ? เมืองตี้จิงเกิดเรื่องใหญ่อันใดหรือเพคะ? ”

เยี่ยโยวเหยาเงยหน้าขึ้น พลางเก็บหนังสือ《ตำนานเผ่าเม้ย》ที่อยู่ในมือด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทั้งยังตั้งใจพลิกหน้าปกที่มีชื่อหนังสือไว้ด้านล่าง และวางบนหนังสืออีกเล่มเพื่อความปลอดภัย

“ให้หญิงรับใช้หวีผมให้เจ้าดีหรือไม่? รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จจะออกเดินทางทันที” เยี่ยโยวเหยาหยิบกระบี่เดินออกจากประตูไป

ซูจิ่นซีไม่ทันสังเกตการกระทำเมื่อครู่ของเยี่ยโยวเหยา หลังจากที่หญิงรับใช้เข้ามาหวีผมให้เสร็จเรียบร้อย ซูจิ่นซีก็เดินไปที่เรือนรับประทานอาหาร

เมื่อได้เวลารับประทานอาหาร เยี่ยโยวเหยาก็กลับมาพอดี อาหารมื้อนี้ทั้งสองทานด้วยความเงียบงัน เยี่ยโยวเหยาไล่หญิงรับใช้ออกไป ไม่ต้องการให้พวกนางคอยปรนนิบัติ บางครั้งเยี่ยโยวเหยาก็คีบอาหารให้ซูจิ่นซี

เหมือนที่เยี่ยโยวเหยาพูดเอาไว้ หลังจากทานข้าวเสร็จก็จะออกเดินทางทันที

บรรดาหญิงรับใช้ต่างเดินออกไปส่งพวกเขาด้านนอกเรือนด้วยความคิดถึง พวกนางต้องการสอบถามว่า เมื่อใดจะพาพระชายามาอีก ทว่าพวกนางไม่กล้าเอ่ยปากถาม

แม้จะพบปะกันเพียงสองวัน ทว่าพวกนางชื่นชอบพระชายาท่านนี้อย่างสุดซึ้ง

พระชายาไม่ถือเนื้อถือตัวทั้งยังเรียบง่าย เมื่อได้ใกล้ชิดแล้วก็ทำให้พวกนางมีความสุข

เหมือนตอนที่มา พวกเขายังคงนั่งเรือกลับไป รถม้ายังรออยู่ที่ชายฝั่ง สารถีและเหล่าองครักษ์ก็รออยู่ที่ชายฝั่งเช่นกัน

หลังจากที่ขึ้นไปบนรถม้า พวกเขาก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือทันที กว่าจะถึงเมืองตี้จิงก็อีกห้าวันให้หลัง

ก่อนหน้านี้องครักษ์เงาได้นำสมุนไพรมามอบให้อวิ๋นจิ่นกับซูอวี้ได้ทันเวลา พวกเขาจึงปรุงตัวยาได้อย่างทันท่วงที พิษในเมืองตี้จิงและในค่ายทหารจึงถูกกำจัดจนหมด แม้จะเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็ยังตกอยู่ในอันตราย เพราะจนถึงตอนนี้ยังจับตัวผู้ร้ายที่วางยาพิษไม่ได้

ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า มือสังหารจะลงมือวางยาพิษอีกหรือไม่ และจะวางยาพิษอีกครั้งเมื่อไร หลังจากวางยาพิษแล้ว พวกเขาจะสามารถถอนพิษได้อีกหรือไม่

ทันทีที่เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีมาถึงเมืองตี้จิง ทุกหนทุกแห่งในเมืองตี้จิงล้วนทราบข่าวนี้แล้ว

เมื่อเยี่ยโยวเหยาได้รับรายงานลับจากองครักษ์เงา แววตาพลันถมึงทึง

ซูจิ่นซีใบหน้านิ่งขรึม นางก็ได้รับจดหมายเชิญจากสกุลซูที่อนุปี้กับซูอวี้ส่งคนนำมาให้เช่นกัน

แม้แต่สำรับอาหารต้อนรับการกลับมาที่แม่นมฮวาจัดเตรียมให้ เยี่ยโยวเหยาก็ไม่ทันได้ทาน เขาบอกว่าต้องการไปวิหารวิญญาณ

ซูจิ่นซีก็ไม่ทันได้ทานเช่นกัน หลังจากเยี่ยโยวเหยาออกไปไม่นาน นางก็รีบเดินทางไปจวนสกุลซูทันที

“ข้าน้อยปี้ซื่อ”

“ข้าน้อยซูอวี้”

“คำนับพระชายาโยวอ๋อง”

อนุปี้กับซูอวี้คำนับซูจิ่นซีตามธรรมเนียม

กฎระเบียบเช่นนี้ ทั้งยังมีผู้คนมากมายคอยมองอยู่ ซูจิ่นซีจึงตอบรับด้วยท่าทางสุขุม

“ไม่ต้องมากพิธี”

“อนุปี้ อาการบาดเจ็บของเจ้ากับอวี้เอ๋อร์เป็นเช่นไรบ้าง? ” ซูจิ่นซีถามไถ่

“ขอบพระทัยพระชายาที่ทรงเป็นห่วง ข้าน้อยแม่ลูกอาการดีขึ้นมากแล้วเพคะ”

“ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว”

ซูจิ่นซีเห็นสีหน้าของพวกเขาดีขึ้นมากเช่นกัน เดิมทีวิชาแพทย์ของซูอวี้กับอนุปี้ก็ไม่เลว อีกทั้งสมุนไพรดีๆ ในจวนสกุลซูก็มีไม่น้อย แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะบาดเจ็บสาหัส ทว่าโชคดีที่พักฟื้นร่างกายเป็นอย่างดี คงไม่มีปัญหาอันใดแล้ว

“พระชายา เชิญทางนี้เพคะ! ” ปี้ซื่อเชื้อเชิญซูจิ่นซีไปยังเรือนของตน

ซูจิ่นซีแสดงสีหน้าเรียบเฉย นางไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงเดินตามปี้ซื่อไป

เมื่อเดินเข้าไปในเรือน ปี้ซื่อก็ขับไล่หญิงรับใช้ออกไปจนหมด ทั้งยังสั่งให้คนรับใช้ปิดประตูให้สนิท

นางคิดจะทำอันใด?

แม้ภายในใจซูจิ่นซีจะเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่านางก็ไม่ได้สอบถามอันใด

หลังจากที่เข้ามาในเรือน ปี้ซื่อก็ส่งสายตาทำสัญญาณให้ซูอวี้ ซูอวี้จึงเดินเข้าไปห้องชั้นใน เมื่อเดินกลับออกมา ก็มีคนเดินตามออกมาด้วย คนที่เดินตามออกมานั้นเป็นผู้ที่ซูจิ่นซีไม่คิดว่าจะได้พบในสถานที่เช่นนี้

เป็นผู้ใด?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset