สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 224 ภัยพิบัติ แผนล่องูออกจากรู

ขณะที่พูด หมอเทวดาหวาก็คุกเข่าลงบนพื้น พลางร่ำไห้น้ำตาคลอ “แม้กระหม่อมจะทราบว่าท่านอ๋องมีความรู้สึกที่ไม่ธรรมดากับพระชายา ทว่ากระหม่อมยังต้องเตือนท่านอ๋องสักประโยค หลายปีมานี้ สิ่งที่ท่านอ๋องได้มานั้น หาใช่ได้มาโดยง่าย ท่านอ๋องได้โปรดเห็นแก่งานใหญ่เป็นสำคัญ ขอท่านอ๋องใคร่ครวญให้รอบคอบ อย่าให้ความรักหนุ่มสาวมาทำให้ท่านอ๋องละทิ้งจิตวิญญาณที่ภักดีต่อประเทศชาติ! ”

“หึ! ” ทันใดนั้นแววตาของเยี่ยโยวเหยาก็ราวกับปีศาจกระหายเลือด เขาเตะไปที่หน้าอกของหมอเทวดาหวาอย่างหนัก “หากยังกล้าพูดเช่นนี้อีก ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า! ”

ผู้คนที่วิหารวิญญาณต่างรู้นิสัยของเยี่ยโยวเหยาเป็นอย่างดี ตราบใดที่เยี่ยโยวเหยาโกรธ แม้พวกเขาจะมีความกล้าหาญมากเพียงใด ก็ไม่กล้าพูดออกมา

ทว่าครั้งนี้ ไม่รู้หมอเทวดาหวาไปเอาความกล้ามาจากที่ใด แม้แต่ชีวิตของตนก็ไม่ต้องการ ขณะที่เยี่ยโยวเหยากำลังจะเดินจากไป หมอเทวดาหวาก็คลานกับพื้นมาขวางทางเยี่ยโยวเหยาไว้ เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าเยี่ยโยวเหยาพลางพูดว่า “ท่านอ๋อง แม้วันนี้ท่านจะเอาชีวิตกระหม่อม ทว่าคำพูดที่ไม่รื่นหูนั้นล้วนเต็มไปด้วยความภักดี กระหม่อมไม่พูดไม่ได้ หากท่านอ๋องไม่เห็นแก่ประโยชน์อื่นใด ท่านก็ควรครุ่นคิดให้รอบคอบ หลายปีมานี้ เจ้าตำหนักทำให้ท่านต้องทนแบกรับทุกอย่างไว้ อีกทั้งตระกูลหนานกงและตระกูลหลาน ยังมีเหล่าขุนนางที่สละชีวิตเพื่อรากฐานของประเทศ สิ่งเหล่านี้เทียบไม่ได้กับซูจิ่นซีเพียงผู้เดียวเช่นนั้นหรือ? ”

เยี่ยโยวเหยามองหมอเทวดาหวาด้วยสายตาเย็นชาโดยไม่ได้พูดอันใด

แม้ร่างกายของหมอเทวดาหวาจะสั่นเทา ทว่าเขายังพูดตักเตือนต่อไป “ท่านอ๋อง โบราณว่าไว้ ความงามคือหายนะ ถ้าท่านไม่อดทน หากเพื่อซูจิ่นซีแล้วท่านเป็นอันใดไป เหล่าวิญญาณที่ภักดีต่อประเทศชาติจะไม่ปล่อยซูจิ่นซีไว้แน่ พวกเขาจะต้องลุกขึ้นมาสังหารนาง”

“สารเลว! ใครให้เจ้าพูดเช่นนี้? ” เยี่ยโยวเหยาเดือดดาลสุดขีด เขาใช้เท้าเตะไปที่หน้าอกของหมอเทวดาหวาอีกครั้ง

ครั้งนี้เยี่ยโยวเหยาเตะอย่างรุนแรง ร่างของหมอเทวดาหวาทะลุผ่านประตู กระเด็นไปตกที่เรือนด้านใน เขากระอักเลือดออกมาเต็มปาก ดวงตาเริ่มรู้สึกพร่ามัว

เหตุการณ์ใหญ่โตเพียงนี้ ย่อมทำให้องครักษ์ของวิหารวิญญาณหลายคนตื่นตระหนกจนวิ่งเข้ามา ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นเยี่ยโยวเหยากำลังลงโทษหมอเทวดาหวาด้วยตนเอง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าออกเสียง

“โยวเหยา นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? ”

ฉินเทียนรีบเดินเข้ามา เขาประหลาดใจอยู่บ้างที่เห็นหมอเทวดาหวานอนอยู่บนพื้นในสภาพเช่นนี้ พี่ชายของเขาเคารพหมอเทวดาหวาอย่างมากมาโดยตลอด เหตุใดวันนี้จึงลงโทษหมอเทวดาหวาด้วยตนเองเช่นนี้?

ทั้งยังโกรธมากอีกด้วย?

“จับไปขังในคุกมืด! ” เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ตอบคำถามของฉินเทียน เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา

คุกมืด?

ฉินเทียนและหมอเทวดาหวาต่างตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างทันที

องครักษ์สองนายที่อยู่ด้านหน้าเข้ามาลากหมอเทวดาหวาออกไป ทว่าฉินเทียนกลับยืนขวางไว้

“โยวเหยา หมอเทวดาหวาทำความผิดอันใด ท่านจึงลงโทษเขาถึงเพียงนี้? ”

ต้องรู้ว่า คุกมืดเป็นสถานที่ที่มีการลงโทษโหดร้ายทารุณที่สุดในวิหารวิญญาณ ปกติแล้วผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ที่นั่นล้วนเป็นสายลับหรือเชลยศึก วิธีการลงโทษนั้นโหดร้ายทารุณอย่างที่สุด หากคนของตนไม่ได้ทำความผิดใหญ่หลวง ปกติแล้วจะไม่คุมขังไว้ในสถานที่แห่งนี้

“แม้จะเป็นเจ้า หากทำความผิดมหันต์ ข้าก็จะไม่ปราณี! ”

ฉินเทียนยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง

องครักษ์จึงนำตัวหมอเทวดาหวาออกไป

เยี่ยโยวเหยาไม่ได้พูดอันใดอีก เขาเดินออกจากวิหารวิญญาณและกลับไปยังจวนโยวอ๋อง

ฉินเทียนไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เขายังยืนอยู่ที่เดิม ตกอยู่ในภวังค์

เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปแล้ว…

แม้ฉินเทียนจะเรียกชื่อของเยี่ยโยวเหยามาโดยตลอด ทว่าเยี่ยโยวเหยาก็เป็นพี่ชายของเขา… ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

เมื่อก่อนไม่ว่าฉินเทียนจะทำความผิดอันใด เยี่ยโยวเหยามักจะอดทนและให้อภัย นอกจากนั้นไม่ว่าเยี่ยโยวเหยาจะเข้มงวดกับลูกน้องเพียงใด ทว่าวิธีการโหดร้ายเช่นนี้ เขาจะทำกับคนนอกเท่านั้น เขาไม่เคยใช้วิธีการนี้กับผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนมาก่อน

ทว่าวันนี้เยี่ยโยวเหยากลับจัดการหมอเทวดาหวาเช่นนี้ ชัดเจนแล้วว่าเขาต้องการให้หมอเทวดาหวาตายอย่างทรมาน

หลังจากที่ซูจิ่นซี สตรีนางนี้ปรากฏตัวขึ้น เยี่ยโยวเหยาก็เปลี่ยนไป การกระทำของเขาล้วนเป็นผลกระทบมาจากสตรีผู้นี้

ซูจิ่นซี คือตัวหายนะ…

หากไม่กำจัดนาง ข้า…ฉินเทียนคงไม่ใช่คนแซ่ฉิน!

ฉินเทียนครุ่นคิด แววตาเริ่มเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมเลือดเย็น เขาค่อยๆ กำหมัดแน่น

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินเทียนทำตามคำสั่งของเยี่ยโยวเหยา เขานำองครักษ์เงาไปยังจวนโยวอ๋อง เยี่ยโยวเหยาจัดเตรียมองครักษ์เงาไว้ไม่มากนัก กอปรกับคนที่ฉินเทียนพามาอีกสิบกว่าคนก็ล้วนเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่ง

แม้เยี่ยโยวเหยาจะเตรียมลูกน้องที่เป็นยอดฝีมือไว้ ทว่าเขายังไม่วางใจ เขาคิดจะโน้มน้าวซูจิ่นซีให้ใช้วิธีอื่น

ทว่าซูจิ่นซียังคงยืนกราน เยี่ยโยวเหยาจึงจนปัญญาและยอมให้ซูจิ่นซีไป

เพื่อให้แผนล่องูออกจากรูได้ผลดีมากยิ่งขึ้น ซูจิ่นซีจึงเลือกสถานที่เป็นจวนสกุลซู หากทำเช่นนี้ ทุกอย่างจะดูสมจริงยิ่งขึ้น แม้องครักษ์จะทำการหละหลวมจนปล่อยงูเลื้อยเข้าไปโดยง่าย ก็จะไม่เป็นที่สงสัย

โดยปกติแล้ว เหล่าองครักษ์ของจวนโยวอ๋องล้วนเข้มงวด ทว่า จู่ๆ กลับผ่อนคลายหละหลวม อาจทำให้ผู้อื่นสงสัยได้ง่าย

ซูจิ่นซีไปหาอนุปี้และซูอวี้ที่จวนสกุลซูเพื่อช่วยจัดการสิ่งต่างๆ ทั้งยังพาลวี่หลีมาด้วย

“พระชายา รถม้าเตรียมพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านเข้ามารายงาน

“เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันต้องไปแล้วเพคะ! ” ซูจิ่นซีลุกขึ้น

เยี่ยโยวเหยายังแสดงสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ทว่าไม่ได้พูดอันใด

“วางใจได้เพคะ! มีฉินเทียนและพวกเขาอยู่ด้วย หม่อมฉันจะต้องไม่เป็นอันใด! ท่านรอฟังข่าวดีจากหม่อมฉันได้เลย” ซูจิ่นซีเดินไปด้านข้างเยี่ยโยวเหยา

เยี่ยโยวเหยายังคงไม่พูดอันใด

ซูจิ่นซีถอนหายใจแรง นางหันหลังเดินไปทางเรือนชิงโยว ทว่ากลับถูกเยี่ยโยวเหยาคว้ามือไว้อย่างกะทันหัน

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากแผ่วเบา นางหันหน้ากลับไป ดวงตาดำขลับคู่หนึ่งมองเยี่ยโยวเหยาด้วยแววตาเป็นประกาย

“ระวังตัวด้วย! ” เยี่ยโยวเหยาพูด

“วางใจเถิดเพคะ! ” ซูจิ่นซีแย้มยิ้มอย่างสดใส

ขณะที่ซูจิ่นซีเดินออกมาจากจวนโยวอ๋อง ฉินเทียนและคนอื่นๆ ก็ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดองครักษ์ธรรมดาของจวนโยวอ๋องแล้ว พวกเขายืนอย่างพร้อมเพรียงอยู่ด้านหลังรถม้า ซูจิ่นซีรู้ว่าสถานะของฉินเทียนไม่ธรรมดา นางจึงให้ความเกรงใจต่อฉินเทียนมาโดยตลอด เมื่อหันไปทางฉินเทียน นางก็ยกยิ้มให้เขาเล็กน้อยและเดินผ่านไป

กลับคาดไม่ถึงว่าฉินเทียนจะยิ้มเยาะอย่างเย็นชา แววตาขึงขังน่ากลัว ทั้งยังซ่อนความอาฆาตเอาไว้อีกด้วย

ซูจิ่นซีเคยชินกับท่าทางเช่นนี้ของฉินเทียน จึงไม่ได้คิดอันใดมากนัก นางขึ้นไปนั่งบนรถม้าตามปกติ

เมื่อถึงจวนสกุลซู อนุปี้กับซูอวี้ก็มารออยู่ที่ประตูใหญ่แล้ว

ซูจิ่นซีเห็นว่าตอนที่อนุปี้คำนับ ร่างกายของนางสั่นคลอนเล็กน้อย ซูจิ่นซีจึงเดินมาด้านหน้าของอนุปี้และประคองนางไว้ กลับคาดไม่ถึงว่ามือของอนุปี้จะเย็นเฉียบถึงเพียงนี้

“ไม่ต้องกลัว! ” ซูจิ่นซีพูด

“เชิญพระชายา! ” อนุปี้พยายามบังคับตนเองให้สงบลง นางเดินนำซูจิ่นซีเข้าไปในจวน

ซูจิ่นซียังคงพักอยู่ที่เรือนฮั่นเซียง ฉินเทียนกับพรรคพวกยืนคุ้มกันอยู่ด้านนอกเรือน

ทันทีที่อนุปี้เดินเข้าประตูมา นางก็คุกเข่าลงบนพื้นและพูดโน้มน้าวซูจิ่นซี “พระชายา หม่อมฉันครุ่นคิดมานาน ยังรู้สึกว่าวิธีนี้เสี่ยงเกินไป ขณะนี้ท่านเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ จะนำตัวเองเข้ามาเป็นเหยื่อล่อได้อย่างไร? ”

“พี่จิ่นซี เหตุใดพวกเราไม่คิดหาวิธีอื่นดูเล่า! ” ซูอวี้พูดโน้มน้าว

ทว่าซูจิ่นซียังคงดื้อดึง “เรื่องนี้ข้าได้เตรียมการไว้แล้ว เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ ทุกคนต้องร่วมมือเล่นละครกับข้าจนจบ! ไม่ต้องพูดอันใดอีก”

อนุปี้ยังต้องการกล่าวเตือนอีกครั้ง ทว่าแววตาของซูจิ่นซียังมุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อคำพูดมาถึงคอหอยแล้ว นางจึงต้องกลืนกลับเข้าไป

“ช่วงนี้สถานการณ์ที่จวนและหอโอสถเป็นอย่างไรบ้าง? ”

แม้ซูจิ่นซีจะต้องการช่วยเหลือจัดการสิ่งต่างๆ ในจวนสกุลซู ทว่าที่ซูจิ่นซีมาครั้งนี้ นางไม่ได้มาเพื่อแผนอำพรางตัวทั้งหมด แต่มาเพื่อช่วยเหลืออนุปี้และซูอวี้อย่างจริงใจ

ตั้งแต่ที่ซูอวี้สืบทอดกิจการของสกุลซู ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาก็เดินทางไปแคว้นหนานหลี เมื่อกลับมาก็ไม่มีโอกาสได้ถามไถ่สถานการณ์ ซูอวี้มีอายุเพียงแปดปี อีกทั้งซูจิ่นซียังไม่รับรู้ถึงความสามารถทั้งหมดของอนุปี้ นางจึงเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset