สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 232 ขุนศึกเผ่าเทพ เผ่าวิหค

เมื่อสิ้นเสียงของเยี่ยโยวเหยา ผู้คนก็ได้ยินเสียงกระดิ่งดังกังวานมาจากทางด้านนอกตำหนักว่านโซ่ว เสียงนั้นดึงดูดสายตาของทุกคน

พวกเขาอดหันไปมองด้านนอกตำหนักว่านโซ่วไม่ได้

ทว่ามองอยู่เป็นเวลานาน ก็ได้ยินเพียงเสียงกระดิ่ง ไม่เห็นของขวัญอวยพรใดๆ ของเยี่ยโยวเหยา และไม่เห็นสิ่งอื่นใดอีก

อย่างไรก็ตาม ทุกคนยังอดทนรอ ไม่มีผู้ใดเอ่ยเร่งรัด

เนื่องจากเสียงกระดิ่งนั้นไพเราะน่าฟังจริงๆ แม้จะดังกังวานสดใส ทว่าราวกับมีเวทมนตร์ดึงดูดจิตวิญญาณของผู้คนอย่างไร้เหตุผล

ซูจิ่นซีอดหันไปมองใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ นางไม่เห็นสิ่งใดปรากฏบนใบหน้าของเขาแม้แต่น้อย ด้วยความคาดหวัง ซูจิ่นซีจึงมองไปยังด้านนอกตำหนักว่านโซ่วเช่นเดียวกับทุกคน

ในเวลานั้น มีเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดปีคนหนึ่งเดินเข้ามาในตำหนักว่านโซ่ว ที่เอว ข้อมือ และมวยผมของนางล้วนประดับตกแต่งด้วยกระดิ่ง เสียงกระดิ่งเมื่อครู่คงดังมาจากร่างของนางนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม แม้ทุกคนจะถูกเสียงกระดิ่งบนร่างของนางดึงดูด ทว่าสิ่งที่ดึงดูดผู้คนยิ่งกว่าคือการแต่งหน้าของนาง

นางสวมผ้าแพรผืนบางคลุมหน้า เส้นผมสีขาวบนศีรษะ ถักเป็นเก้าเปียสองด้าน ด้านหลังปล่อยชายยาวตกแต่งด้วยเครื่องประดับศีรษะ ติดพู่สวยงาม ทว่าเครื่องประดับนั้นดูแปลกประหลาดอย่างมาก ส่วนใหญ่เป็นรูปขนนกและรูปนกโบยบิน แตกต่างจากที่เด็กสาวทั่วไปในแคว้นจงหนิงนิยม

นางสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวหิมะ เสื้อคลุมด้านนอกเป็นสีชมพูอ่อน วัสดุที่ใช้ทำชุดกระโปรงยาวสีขาวหิมะนั้นไม่ใช่ผ้าไหมที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ และไม่ใช่ผ้าแพรบาง มันราวกับทำมาจากขนนก ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน

เมื่อนางเดินเยื้องย่างไปมา ก็ทำให้ผู้คนนึกถึงเทพวิหคในตำนานขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

ทว่าขนปีกของเทพวิหคนั้นเป็นสีเขียว แต่เรือนร่างของนางกลับดูเหมือนเปล่งประกายเป็นสีขาวนวล

ฝูงชนเห็นแล้วต่างรู้สึกสับสน ทว่าไม่มีความคิดที่จะถามเยี่ยโยวเหยาว่าแม่นางผู้นี้มาทำอันใด

ในขณะที่ทุกคนต่างตกตะลึงนั้น แม่นางน้อยก็ถอดเสื้อคลุมออกอย่างเชื่องช้า

ทันใดนั้น…

มีเสียง ‘ฟู่ว’ ดังขึ้น ปีกสีชมพูคู่หนึ่งพลันงอกออกมาจากหลังของนาง

ทุกคนต่างพากันตกใจ และก้าวถอยไปด้านหลังอย่างพร้อมเพรียง

ฮ่องเต้ตกพระทัยจนก้าวลงมาจากบัลลังก์มังกร ส่วนองค์ไทเฮา แม้การตอบสนองจะไม่เกินจริงมากนัก ทว่าพระพักตร์ของพระนางกลับซีดเผือด

“เผ่า… เผ่าวิหค… ”

ภายในงานเลี้ยง ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่พูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ

เผ่าวิหคเป็นเผ่าในตำนานเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนมนุษย์

พวกเขาเกิดมาพร้อมขนนกและปีกคู่หนึ่งที่สามารถปกปิดไว้ได้ตลอดเวลา พวกเขาสามารถโบยบินไปบนท้องฟ้าได้อย่างอิสระ

ด้วยเหตุนี้ กองทัพของเผ่าวิหคจึงชนะในทุกศึกสงคราม ไม่มีผู้ใดหยุดยั้งได้

ตามตำนานเล่าว่า กองทัพของเผ่าวิหคเคยสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ฉินซึ่งเป็นราชวงศ์ก่อน ทว่าหลังจากแคว้นฉินล่มสลาย เผ่าวิหคก็หายสาบสูญไปจากโลกมนุษย์ทันที ไม่มีผู้ใดทราบว่าคนของเผ่าวิหคหายสาบสูญไปพร้อมกับการล่มสลายของราชวงศ์ฉิน หรือพวกเขาหลบซ่อนตัวอยู่

คาดไม่ถึงว่า วันนี้คนของเผ่าวิหคจะปรากฏตัวขึ้น ทั้งยังปรากฏตัวในสถานการณ์เช่นนี้อีก

ทันใดนั้นนักดนตรีสี่ท่านก็เดินเข้ามาในตำหนักว่านโซ่ว และเริ่มบรรเลงเพลงฉิน

สาวน้อยพลันสยายปีกที่อยู่ด้านหลังออก นางบินวนเวียนเหนือตำหนักว่านโซ่ว และเริ่มเต้นรำ

การเคลื่อนไหวและท่วงท่าฟ้อนรำช่างงามสง่าราวกับวิหคบนท้องฟ้า เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นมงคลยิ่ง ขณะที่นางสยายปีกและฟ้อนรำ ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความลึกลับอันน่าเหลือเชื่อ

เพียงเด็กสาวที่เกิดมาพร้อมกับปีกคู่หนึ่งก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังไม่เคยเห็นการฟ้อนรำเช่นนี้ ทุกคนต่างมองตะลึงจนตาค้างไปตามๆ กัน

เมื่อเพลงแรกจบลง เด็กสาวก็ลอยลงมาอย่างเชื่องช้า

ในขณะที่นางโบยบินลงมานั้น ปีกคู่ที่อยู่ด้านหลังของนางพลันหดกลับไปในทันที ทุกคนต่างไม่ทันสังเกตว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ปีกนั้นหายไปในอากาศ เพียงครู่เดียวก็มองไม่เห็นแล้ว ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงจินตนาการ แผ่นหลังของนางกลับมาแบนราบเหมือนเมื่อครู่นี้ไม่มีอันใดอยู่เลย

เด็กสาวเดินด้วยท่าทีอ่อนช้อย นางเดินไปด้านหน้าไม่กี่ก้าวก็ถอดผ้าแพรที่ปิดหน้าออก และคำนับองค์ไทเฮากับฮ่องเต้

เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กสาว ใบหน้าของซูจิ่นซีพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ข้าน้อยคือหลานเยวี่ยหลี รับบัญชาจากโยวอ๋องให้มาเต้นรำถวายพระพรให้องค์ไทเฮา ขออวยพรให้องค์ไทเฮามีพลานามัยแข็งแรง อายุยืนยาวนับพันปี! ”

รับบัญชาจากโยวอ๋อง?

ทุกคนเพิ่งคืนสติกลับมา ที่แท้นางก็เป็นของขวัญที่โยวอ๋องถวายแด่องค์ไทเฮา

ทว่าเหตุใดโยวอ๋องจึงให้หลานเยวี่ยหลีเต้นรำถวายเป็นของขวัญแด่ไทเฮาเล่า?

อย่างไรก็ตาม หลานเยวี่ยหลีเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่หลาน

เด็กสาวผู้นี้เกิดมาจากเผ่าวิหคจริงๆ หรือว่า… หรือว่าตระกูลหลานคือเผ่าวิหคในตำนาน?

นี่… เป็นไปได้อย่างไร?

แม้พวกเขาจะประหลาดใจเพียงใด หรือตั้งข้อสงสัยมากมายเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว พวกเขาเห็นกับตาว่าบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่หลาน หลานเยวี่ยหลีเกิดมาพร้อมกับปีกที่อยู่ด้านหลัง เรื่องนี้ปั้นแต่งกันได้หรือ?

นอกจากนั้น ตระกูลหลานอยู่ฝ่ายโยวอ๋องแล้ว

วันนี้โยวอ๋องให้หลานเยวี่ยหลีฟ้อนรำถวายพระพร เพื่อเปิดเผยความจริงต่อทุกคนว่าตระกูลหลานคือเผ่าวิหค และเผ่าวิหคซึ่งเป็นขุนศึกเผ่าเทพในตำนาน ได้สวามิภักดิ์ต่อเขาแล้ว

ขุนนางจำนวนหนึ่งเกิดความชัดเจนในใจ ก่อนหน้านี้ เรื่องที่ฮ่องเต้คุมขังเยี่ยโยวเหยาจบลงด้วยดี โยวอ๋องทำเช่นนี้ เพื่อประกาศศักดาและแสดงอำนาจต่อผู้คนจำนวนมาก เขาท้าทายพระราชอำนาจและแสดงบารมีของตนต่อฮ่องเต้ เพื่อแก้แค้นเรื่องที่ถูกฮ่องเต้คุมขังไว้ในตำหนักเจิ้นหนาน

กล่าวตามตรงก็คือ นี่เป็นเรื่องภายในราชวงศ์ เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาสองพี่น้อง ทั้งยังสร้างความเดือดร้อนและส่งผลกระทบต่อผู้อื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นนอกจากใบหน้าขึงขังกระด้างกระเดื่องระหว่างขุนนางฝ่ายฮ่องเต้กับฝ่ายโยวอ๋องแล้ว ขุนนางที่เหลือล้วนก้มหน้าลง แสดงท่าทีราวกับไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย

“เจ้าเป็นบุตรสาวของหลานเสวียนหมิงหรือ? ”

แม้ฮ่องเต้จะทรงทราบแก่พระทัยดี ทว่าพระองค์ยังตรัสถามด้วยพระสุรเสียงเย็นชา พระหัตถ์ที่วางอยู่บนโต๊ะกำแน่น จนนิ้วมือแทบทะลุออกจากฝ่าพระหัตถ์ เรื่องนี้นับว่าส่งผลกระทบต่อพระองค์อย่างมาก

“ใช่ เพคะ!”

“ตระกูลหลานของพวกเจ้าเป็นเผ่าวิหคหรือ? ” ฮ่องเต้ตรัสถามต่อ

“เพคะ! ” แม้ฮ่องเต้ไม่ทรงเชื่อ ทว่าคำตอบที่เป็นความจริงของหลานเยวี่ยหลีได้ทำลายความนับถือตนในส่วนลึกของจิตใจพระองค์ และเป็นแนวป้องกันที่อ่อนแอที่สุด

เสียง ‘ตุบ’ ดังขึ้น ฮ่องเต้ใช้กำปั้นทุบโต๊ะทรงงานด้านหน้าอย่างจัง จนโต๊ะทรงงานได้รับความเสียหาย

ขณะที่เศษไม้แตกกระจาย ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเยี่ยโยวเหยาด้วยสายตาโกรธเคือง แววตาถมึงทึงจนสามารถกินคนได้

ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับนั่งลงอย่างใจเย็น เขารินสุราสองจอกด้วยท่าทีผ่อนคลาย จอกหนึ่งส่งให้ซูจิ่นซี อีกจอกหนึ่งสำหรับตนเอง ทั้งสองชนจอกสุราแล้วดื่มลงไป

การกระทำนี้ กล่าวได้ว่าเป็นการเหยียบย่ำและทำลายพระเกียรติของฮ่องเต้อย่างไม่มีชิ้นดี

ฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างรุนแรง เหล่าขุนนางล้วนหวาดกลัวจนตัวสั่น ทว่าโยวอ๋องกลับไม่มีความเกรงกลัวอันใด เขายังเพลิดเพลินกับสาวงามข้างกาย การกระทำเช่นนี้ หากไม่ใช่การยั่วยุ ไม่ใช่การดูหมิ่น ไม่ใช่การหยิ่งยโส แล้วจะเป็นอันใดไปได้?

“โยวอ๋อง ในสายตาของเจ้ายังมีข้าอยู่หรือไม่? ” ฮ่องเต้ ตรัสด้วยความเดือดดาล

แววตาเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาหันไปมองฮ่องเต้ที่กำลังกริ้วจัด “มีแล้วเป็นเช่นไร? ไม่มีแล้วเป็นเช่นไร? ”

เยี่ยโยวเหยาพูดพลางบีบจอกสุราในมือจนแตกละเอียดดัง ‘เพล้ง’

พระพักตร์เดือดดาลของฮ่องเต้พลันตกตะลึงจนซีดเผือด พระองค์สะดุ้งถอยหลังไปสองก้าวจนสะดุดเข้ากับบัลลังก์มังกรที่อยู่ด้านหลัง หากบัลลังก์มังกรไม่กว้างพอ พระองค์อาจล้มลงข้างโต๊ะทรงงานไปแล้ว

ทุกคนต่างหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทา

แม้แต่ซูจิ่นซีที่อยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยาก็ตกตะลึงเช่นกัน

ชั่วพริบตา ทั่วทั้งตำหนักว่านโซ่วพลันเงียบสงัด น่ากลัวราวกับป่าช้า เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจของตนเอง ตึกๆ … ตึกๆ … ตึกๆ ช่างน่าตื่นเต้นยิ่งนัก

ท่ามกลางความเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง มีเพียงเสียงเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาที่ดังขึ้นราวกับเสียงปีศาจจากขุมนรก

“ขุนนางผู้ใหญ่ทุกท่านคงยังไม่ได้ถวายของขวัญอวยพระพรวันพระราชสมภพแด่องค์ไทเฮาใช่หรือไม่? ”

ตามกฎระเบียบแล้ว การถวายของขวัญอวยพระพรในโอกาสเช่นนี้จะเรียงตามยศตำแหน่งสูงต่ำ หากเยี่ยโยวเหยายังไม่ได้ถวายของขวัญ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เหลือล้วนไม่สามารถทำได้ ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ได้ถวายของขวัญอวยพระพรแด่ไทเฮา

ทว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ทุกคนล้วนตระหนักได้ว่า การถวายของขวัญอวยพระพรในเวลานี้ต้องแตกต่างจากการถวายของขวัญอวยพระพรในยามปกติเป็นแน่

โยวอ๋องได้เผยไพ่ใบสำคัญของตนออกมาแล้ว เขาประกาศศักดากับพระราชอำนาจของฮ่องเต้ต่อหน้าขุนนางทุกท่าน ถือเป็นของขวัญแสดงศักดาเพื่อแบ่งขั้วอำนาจ การถวายของขวัญอวยพระพรของเหล่าขุนนางในเวลานี้ เท่ากับเป็นการแบ่งขั้วอำนาจใหม่อีกครั้ง อำนาจในราชสำนักได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว

พวกเขาจะถวายของขวัญอวยพระพรหรือไม่ ถวายของขวัญอันใด ถวายเช่นไร เท่ากับเป็นการแสดงจุดยืนของตนต่อหน้าทุกคนว่า เขายืนอยู่ฝ่ายฮ่องเต้ หรือยืนอยู่ฝ่ายเยี่ยโยวเหยา

“แม่ทัพอวี่เหวิน เริ่มจากท่านก่อนเถิด! ”

แม่ทัพอวี่เหวิน?

เขาเป็นฝ่ายของฮ่องเต้อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้เขายังยั่วยุโยวอ๋องแทนฮ่องเต้อยู่เลย

นอกจากนั้น เขายังเป็นผู้ที่แสดงจุดยืนคนแรก การเลือกของเขาส่งผลกระทบต่อการเลือกของขุนนางที่เหลืออย่างมาก ทั้งยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการท้าทายระหว่างเยี่ยโยวเหยากับฮ่องเต้ว่า ในครั้งนี้ผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะและผู้ใดจะเป็นฝ่ายแพ้

เขาจะเลือกอย่างไร?

เมื่อรู้ว่าเยี่ยโยวเหยามีอำนาจเหนือเผ่าวิหค ขุนศึกเผ่าเทพ เขาจะอยู่ฝ่ายฮ่องเต้เช่นเดิม หรือเปลี่ยนมายืนฝ่ายเดียวกับเยี่ยโยวเหยา?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset