สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 234 บัลลังก์ของผู้ใด แคว้นนี้เป็นของผู้ใด

“กรมขุนนาง! ”

ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องด้วยความตื่นเต้นของทุกคน เจ้ากรมขุนนางลุกขึ้นยืน

เขาก็เป็นเช่นเดียวกับเจ้ากรมอาญา ทำเพียงถวายพระพรแด่องค์ไทเฮาอยู่ตรงที่นั่ง ไม่ได้เดินออกมา และไม่ได้เตรียมของขวัญอวยพรใดๆ

ลำดับต่อมาเป็นกรมพิธีการกับกรมโยธาธิการ

เจ้ากรมโยธาธิการมอบของขวัญอวยพร ส่วนเจ้ากรมพิธีการไม่ได้มอบของขวัญ

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้สลักสำคัญอันใด แม้กรมโยธาธิการจะอยู่ในหกกรม ทว่าไม่มีอำนาจตัดสินใจ

ต่อมาคือ กรมกลาโหม

หากกล่าวถึงอำนาจตัดสินใจ ทันใดนั้นก็มีคนคิดบางอย่างขึ้นมาได้

ทว่าเวลาช่างผ่านไปไวนัก เยี่ยโยวเหยาเลือกได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อเลือกถึงกรมกลาโหม ผู้ที่มีความคิดสุขุมต่างเริ่มกลั้นหายใจ บรรยากาศเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นถึงสุดขีด

ไม่มีผู้ใดคาดคิด ครั้งนี้ไม่เพียงเจ้ากรมกลาโหมเท่านั้นที่ลุกขึ้นยืน แม้แต่กองทัพหน่วยเหนือกับกองทัพส่วนกลางก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน

ทุกคนเพิ่งตระหนักได้ว่า กองทัพหน่วยเหนือกับกองทัพส่วนกลางยังไม่ได้แสดงจุดยืน!

พวกเขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับเจ้ากรมกลาโหมเช่นนี้ ต้องการจะทำอันใด?

พวกเขาต้องการเลือกผู้ใด?

“กระหม่อมถวายพระพรไทเฮา! ” เจ้ากรมกลาโหมกุมมือคำนับ

“ถวายพระพรไทเฮา ขอให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง พระชนมายุยืนนาน”

“ถวายพระพรไทเฮา ขอให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญดั่งพระทัยปรารถนา”

ภายใต้บรรยากาศที่น่าตื่นเต้น ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาทำเพียงกล่าวคำถวายพระพรโดยไม่ได้เดินออกจากที่นั่ง และไม่ได้มอบของขวัญ

จากนั้น พวกเขาก็ยกจอกสุราขึ้นมาคำนับเยี่ยโยวเหยาพร้อมกัน เช่นเดียวกับเจ้ากรมอาญาที่แสดงถึงความภักดีซื่อสัตย์

ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงคือ หลังจากที่พวกเขาดื่มสุราแล้ว พวกเขาไม่ได้วางจอกสุราไว้บนโต๊ะ ทว่ากลับเขวี้ยงจอกสุราลงบนพื้นด้านหน้าโต๊ะงานเลี้ยง

หลังจากนั้น รองเจ้ากรมกลาโหมสองนายกับเหล่าขุนนางที่มาร่วมงานเลี้ยงที่เหลือต่างกล่าวคำถวายพระพร ทว่าไม่ได้มอบของขวัญอวยพรใดๆ

โอ้ พระเจ้า!

เรื่องราวเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ตื่นเต้นยิ่งนัก

จนกระทั่งเหตุการณ์สุดท้าย ทำให้ผู้ที่มาร่วมงานต่างงุนงงไปตามๆ กัน

คาดไม่ถึงว่าในจำนวนทั้งหกกรม มีห้ากรมที่อยู่ฝ่ายเยี่ยโยวเหยา โดยเฉพาะกรมกลาโหม

การตัดสินใจของเจ้ากรมกลาโหมเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งนัก

เนื่องจากเกี่ยวพันถึงการเลื่อนตำแหน่งของขุนนางน้อยใหญ่ทั้งหมดในกองทัพ และเกี่ยวพันถึงการส่งเสบียงและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทหารแต่ละหน่วย ยิ่งไปกว่านั้นยังเกี่ยวพันกับการเพิ่มคุณภาพและความอยู่รอดในกองทัพแต่ละหน่วยอีกด้วย

เพียงอำนาจทางการทหารของกองทัพหน่วยตะวันตก หน่วยใต้ และหน่วยตะวันออก ทั้งสามหน่วยที่แสดงตัวยืนอยู่ฝ่ายฮ่องเต้ จะมีประโยชน์อันใด?

อำนาจการตัดสินใจทั้งหมดของกองทัพยังอยู่ในมือของขุนนางกรมกลาโหมทั้งสิ้น และอำนาจที่สำคัญที่สุดของกรมกลาโหมคือหน่วยกองทัพส่วนกลาง

กองทัพที่ไร้ซึ่งอำนาจทั้งสามหน่วย พวกเขาจะทำอันใดได้?

จากการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจใหม่ในราชสำนัก สามารถสังเกตเห็นได้ทันทีว่า อำนาจด้านการทหารและอำนาจการปกครองล้วนอยู่ในการควบคุมของเยี่ยโยวเหยาแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีเผ่าวิหคคอยหนุนหลังอีกด้วย

เช่นนี้แล้ว… ฮ่องเต้คือผู้ใดและแคว้นนี้เป็นของผู้ใดกันแน่?

สายพระเนตรของฮ่องเต้เผยความสิ้นหวัง ทันใดนั้นพระองค์ก็เอนพระวรกายพิงแท่นประทับ

แม้ไทเฮาจะประทับบนแท่นประทับด้วยท่วงท่ามีราศี สง่างาม ทว่าพระโอษฐ์และพระขนงกลับกระตุกไม่หยุด พระวรกายล้วนสั่นเทา

“โยวอ๋อง โยวอ๋อง กระหม่อมมีตาทว่าไร้แวว เป็นกระหม่อมที่เลอะเลือนไปชั่วครู่ กระหม่อมยอมเลือกฝ่ายโยวอ๋อง ยอมเลือกอยู่ฝ่ายโยวอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

แม่ทัพหลี่แห่งกองทัพหน่วยตะวันตกที่เลือกอยู่ฝ่ายฮ่องเต้ กลับวิ่งออกมาในทันที และมอบตราคำสั่งของกองทัพหน่วยตะวันออกให้เยี่ยโยวเหยา

ในเวลานี้ ฮ่องเต้ทรงหมดหวังโดยสิ้นเชิง

“หลี่ถัง เจ้ามันสุนัขขี้ขลาด ข้าจะสังหารเจ้า! ”

แม่ทัพเห่อหลานแห่งกองทัพหน่วยใต้เห็นหลี่ถังทรยศต่อฮ่องเต้และยอมไปเข้าฝ่ายเยี่ยโยวเหยา เขาจึงหยิบกระบี่ประจำกายที่เอวออกมาและแทงหลี่ถังจนเสียชีวิต

“โอ้… ”

เหล่านางกำนัลตกใจเป็นอย่างมาก ภายในตำหนักเกิดความโกลาหล ทุกคนต่างลุกจากที่นั่ง คิดจะวิ่งออกไปจากตำหนัก ทว่ากลับถูกองครักษ์ของเยี่ยโยวเหยาที่เฝ้าอยู่หน้าตำหนักขวางไว้

แม่ทัพแห่งกองทัพส่วนกลางและแม่ทัพแห่งกองทัพหน่วยเหนือชักกระบี่ประจำกายที่อยู่ข้างเอวออกมา และพุ่งเข้าโจมตีแม่ทัพเห่อหลานกับแม่ทัพอวี่เหวิน

แม่ทัพเห่อหลานกับแม่ทัพอวี่เหวินชักกระบี่ออกมาเช่นกัน พวกเขาไม่มีท่าทียินยอมแม้แต่น้อย

ฮ่องเต้ตกพระทัยจนพระขนงและพระโอษฐ์กระตุก “โยวอ๋อง… เจ้า… เจ้าคิดก่อกบฏ ต้องการบีบบังคับให้ข้าสละราชบัลลังก์หรือ? ”

ดวงตาเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ เหลือบขึ้นมอง เขาพูดกับแม่ทัพแห่งกองทัพส่วนกลางและส่วนเหนือว่า “พวกเจ้าทั้งสองคิดจะทำอันใด? วันนี้เป็นงานฉลองวันพระราชสมภพขององค์ไทเฮา พวกเจ้าคิดจะทำลายความสุขขององค์ไทเฮากับฝ่าบาทหรือ? ”

แม่ทัพทั้งสองต่างเก็บกระบี่เข้าฝักด้วยสีหน้าดุดัน

ฮ่องเต้โล่งพระทัยขึ้นเล็กน้อย

คิดไม่ถึงว่าเสียงสังหารของเยี่ยโยวเหยาจะดังขึ้นอีกครั้ง “ฝ่าบาท วันนี้เป็นวันพระราชสมภพขององค์ไทเฮา ไม่ควรเกิดการนองเลือดให้ระคายพระทัย”

คำพูดนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดของเยี่ยโยวเหยา และเป็นการตอบคำถามของฮ่องเต้เมื่อครู่นี้

วันนี้เยี่ยโยวเหยาเพียงต้องการแสดงอำนาจให้ฮ่องเต้ได้ประจักษ์ว่า ผู้ใดคือผู้ที่มีอำนาจเหนือแคว้นจงหนิง และผู้ใดคือผู้ที่มีอำนาจในราชสำนักอย่างแท้จริง

ดังนั้น นี่ไม่ใช่การก่อกบฏเพื่อต้องการบีบบังคับให้ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์

ทว่าเยี่ยโยวเหยาต้องการบีบบังคับให้ฮ่องเต้จัดการกับแม่ทัพเห่อหลานที่สังหารแม่ทัพหลี่ถัง

“เยี่ยโยวเหยา ท่านมันชั่วช้า ท่านมันกบฏชิงบัลลังก์” แม่ทัพเห่อหลานสบถด่าเยี่ยโยวเหยา

ทว่าเยี่ยโยวเหยายังคงนั่งพิงพนักพลางมองฮ่องเต้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย

จะมีเรื่องใดที่ทำให้สุขกายสบายใจเท่ากับการเห็นฮ่องเต้จัดการคนที่พระองค์วางพระทัยมากที่สุดด้วยพระองค์เองเล่า?

หนวดเคราเรียวงามของฮ่องเต้กระตุก

พระองค์เข้าพระทัยดี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พระองค์ไม่มีสิทธิ์เลือก

หากพระองค์ไม่จัดการกับแม่ทัพเห่อหลาน เยี่ยโยวเหยาคงไม่จบเพียงเท่านี้แน่นอน

เยี่ยโยวเหยาจะก่อกบฏจริงหรือไม่ หรือต้องการบีบบังคับให้พระองค์สละราชบัลลังก์ ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยในครั้งนี้

แม้จะทรงรู้สึกหักห้ามพระทัยไม่ได้ ทว่าฮ่องเต้ยังคงมีพระบัญชาด้วยพระสุรเสียงดุดัน “ทหาร เห่อหลานดูหมิ่นพระเกียรติ สังหารหลี่ถังในตำหนัก มีความผิด… มีความผิดชัดเจน ลากตัวออกไปขังคุก”

สิ้นเสียงพระบัญชาของฮ่องเต้ เจ้ากรมหวัง… เจ้ากรมอาญา และรองเจ้ากรมอาญาอีกสองท่านต่างเข้ามาเก็บอาวุธของเห่อหลานหย่ง และคุมตัวเขาส่งให้องครักษ์นอกตำหนัก

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ทุกคนยืนทำอันใด? วันนี้เป็นวันพระราชสมภพขององค์ไทเฮา ทุกคนควรทำให้องค์ไทเฮาพอพระทัย ขุนนางทั้งหลายได้มอบของขวัญอวยพระพรแด่องค์ไทเฮาแล้ว พระองค์ทรงโปรดปรานหรือไม่? ”

เยี่ยโยวเหยาหัวเราะเสียงดัง แม้เขาจะหัวเราะ ทว่าน้ำเสียงของเขากลับทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นยะเยือกและเสียวสันหลัง ทั้งยังทำให้คนที่อยู่ในตำหนักว่านโซ่วรู้สึกถึงแรงกดดันจำนวนมาก ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่สามารถคลายความกังวลลงได้

ไทเฮาทรงแย้มพระสรวล ทว่ารอยแย้มสรวลในครั้งนี้ช่างน่าเกลียดยิ่งกว่าการร้องไห้เสียอีก “ชอบ… ชื่นชอบ”

ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปนั่ง

เยี่ยโยวเหยาทูลฮ่องเต้อีกครั้งว่า “ฝ่าบาท เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ทุกท่านล้วนจงรักภักดีและเทิดทูลฝ่าบาทถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทควรประทานสุราให้เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่สักจอกดีหรือไม่? ”

ฮ่องเต้ตกพระทัยเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ พระองค์ถึงหยิบจอกสุราขึ้นมา พลางตรัสว่า “ข้า… ขอดื่มให้กับขุนนางทุกท่านหนึ่งจอก”

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านล่างบางคนหยิบสุราขึ้นมาดื่มอย่างมีความสุข ทว่าบางคนไม่แม้แต่จะจับจอกสุราด้วยซ้ำ

“เสียงเพลงหายไปไหน? ” เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงดัง

นักดนตรีที่หยุดขับขานไปแล้ว ต่างเริ่มต้นบรรเลงเสียงเพลงอันครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง

ขณะที่เกิดเรื่องราวมากมาย ซูจิ่นซีมีท่าทีสงบนิ่ง ไม่ได้กระทำอันใด นางนั่งอยู่ด้านข้างเยี่ยโยวเหยาอย่างเงียบงัน รับบทเป็นเพียงพระชายาโยวอ๋องเท่านั้น

ทว่าสายตาของนางกลับจับจ้องเรื่องราวทั้งหมด

สงครามครั้งนี้ เยี่ยโยวเหยารบชนะได้อย่างงดงาม

ที่แท้เมื่อเทียบกันแล้ว เยี่ยโยวเหยาใจแคบยิ่งกว่านางเสียอีก วันนี้เยี่ยโยวเหยาแก้แค้นเรื่องที่ถูกคุมขัง ณ ตำหนักเจิ้นหนานได้อย่างสาแก่ใจยิ่งนัก

แม้เยี่ยโยวเหยาจะทำให้ผู้คนกลัวเกรง ทว่างานเฉลิมฉลองก็ยังดำเนินไปตามปกติ ตำหนักว่านโซ่วในเวลานี้ไม่มีบรรยากาศสนุกสนานครื้นเครงดังเดิม สภาวะอารมณ์ของทุกคนล้วนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นอกจากขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่แสดงความภักดียืนหยัดแน่วแน่อยู่ข้างเยี่ยโยวเหยาแล้ว ขุนนางอีกกว่าครึ่งล้วนแสดงอารมณ์หวั่นเกรงระแวดระวัง

ฮ่องเต้ยังคงเสวยสุราอย่างมีความสุข ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่กล้าทัดทานอันใด ผ่านไปครู่หนึ่งพระองค์ก็ดื่มจนเมามาย

ไม่ทราบว่าฮ่องเต้ไปเสวยสุราเพิ่มกำลังใจมาจากที่ใด และไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ฮ่องเต้จึงยกจอกสุราเดินไปหาเยี่ยโยวเหยา

ฮ่องเต้คิดจะทำอันใด?

คงไม่ฉวยโอกาสนี้แก้แค้นเยี่ยโยวเหยาหรอกกระมัง?

แม่ทัพแห่งกองทัพหน่วยเหนือและแม่ทัพแห่งกองทัพส่วนกลางต่างกุมกระบี่ในมือแน่น เพื่อเตรียมพร้อม

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset