สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 240 ผู้ใดจะลงนรก

เว่ยเหม่ยเจียกัดริมฝีปากแน่น น้ำตาคลอเบ้า เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ทว่านางกลับไม่ยอมตอบคำถามซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีไม่คิดเร่งรัด นางรอคอยอย่างเงียบงัน ทุกคนก็รอฟังคำตอบเช่นกัน

ไทเฮากับไหวหยางจวิ้นจู่ส่งสายตาดุดันเตือนเว่ยเหม่ยเจีย

เว่ยเหม่ยเจียอับจนหนทาง สายตาของไทเฮากับไหวหยางจวิ้นจู่ทำให้นางต้องพูดออกมา ตอนนี้เสด็จป้าปกป้องนางไม่ได้แล้ว เกราะกำบังสุดท้ายของนางคือไหวหยางจวิ้นจู่ ไม่ว่าอย่างไร นางไม่มีทางทำลายแผนการของไหวหยางจวิ้นจู่เป็นแน่

ดังนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจียจึงดูเกินจริงไปมาก “พี่สะใภ้ ท่านคู่ควรแน่นอนอยู่แล้ว… ท่านเหมาะสมกับเสด็จพี่โยวอ๋องแน่นอน”

สวรรค์รู้ดี เมื่อครู่สิ่งที่นางพูดออกไปนั้น ภายในใจของนางเจ็บปวดมากเพียงใด

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ”

ซูจิ่นซีหัวเราะด้วยใบหน้าสุขใจเป็นอย่างมาก

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทุกคนที่อยู่ฝ่ายโยวอ๋องต่างทยอยลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงคำนับให้ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา พลางพูดว่า

“ท่านอ๋องกับพระชายาเป็นดั่งคู่รักสวรรค์สร้าง ขออวยพรให้ท่านอ๋องกับพระชายาสมัครสมานสามัคคี ครองรักกันไปจนแก่เฒ่า”

พฤติกรรมเช่นนี้ของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

ซูจิ่นซีไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองนางเช่นไร นางทำเพียงเงยหน้าขึ้น และยืนยิ้มแผ่รัศมีอยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยาด้วยความมั่นใจและภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก

เยี่ยโยวเหยาปัดผมหน้าม้าของซูจิ่นซีด้วยความรักและเอ็นดู

เวลาล่วงเลยไปมากแล้ว ทั้งยังเกิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทว่าความภาคภูมิใจของสตรีนางนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

“ไหวหยางจวิ้นจู่ พวกเราไปกันเถิด! ” ซูจิ่นซีพูดกับไหวหยางจวิ้นจู่ จากนั้นจึงหันไปพูดกับเยี่ยโยวเหยาว่า “ท่านอ๋องโปรดรอสักครู่! ”

ความหมายนี้บอกเป็นนัยว่า นางไม่ต้องการให้เยี่ยโยวเหยาเข้ามายุ่ง

ด้วยเหตุนี้ เยี่ยโยวเหยาจึงไม่ได้ขัดขวางอันใด ทำเพียงพยักหน้าและนั่งลงอย่างสงบ

หลังจากที่ซูจิ่นซีเดินตามไหวหยางจวิ้นจู่ออกจากตำหนักว่านโซ่ว พระพักตร์ของไทเฮาก็เผยให้เห็นถึงแผนการชั่วร้ายอย่างเห็นได้ชัด

เนื่องจากตอนที่ซูจิ่นซีแข่งดื่มสุรา นางดื่มเข้าไปจนมึนเมาเล็กน้อย เมื่อเดินออกจากประตูแล้วปะทะกับสายลม ฤทธิ์สุราจึงตีกลับ

ไหวหยางจวิ้นจู่รีบเข้าไปพยุงซูจิ่นซี พลางพูดว่า “พระชายาโยวอ๋อง ท่านเดินช้าลงหน่อย ระวังสะดุดล้ม ข้าจะคอยพยุงท่านเอง”

ซูจิ่นซีไม่ได้สนใจอันใดมากนัก นางยอมให้ไหวหยางจวิ้นจู่ประคองเดิน

ทว่าหลังจากเดินเลี้ยวไปมาครู่ใหญ่ ไหวหยางจวิ้นจู่ก็ยังไม่หยุดเดิน

ซูจิ่นซีดูเหมือนกำลังเมา ดวงตาของนางพร่ามัวจนมองทางไม่ชัด

“ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านคิดจะพาข้าไปที่ใด? ”

“พระชายาโยวอ๋อง ท่านไม่ต้องร้อนใจ! ใกล้จะถึงแล้ว ใกล้จะถึงแล้ว”

หลังจากเดินวนเวียนตามทางเดินหลายรอบ ไหวหยางจวิ้นจู่ก็พาซูจิ่นซีเข้ามาในตำหนักแห่งหนึ่ง

นางประคองซูจิ่นซีให้ขึ้นไปนอนบนเตียง “พระชายาโยวอ๋อง ท่านรอข้าอยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าจะไปหาชุดมาเปลี่ยนให้ท่าน”

“อืม ไปเถิด ไปเถิด! รบกวนไหวหยางจวิ้นจู่แล้ว”

ซูจิ่นซียังอยู่ในอาการมึนเมา ดวงตาของนางพร่ามัว ราวกับว่าหลังจากที่ถูกลมพัด ฤทธิ์สุราก็ถูกตีกลับอย่างรุนแรง เวลานี้นางจึงเมามายจนแทบไม่รู้สึกตัว

นัยน์ตาของไหวหยางจวิ้นจู่เผยแววเจ้าเล่ห์ นางเดินออกไปนอกห้องและปิดประตูอย่างแน่นหนา

รอจนเสียงฝีเท้าของไหวหยางจวิ้นจู่ไกลออกไปทุกที ซูจิ่นซีจึงฟื้นฟูอาการกลับมาเป็นปกติ

ซูจิ่นซีหยิบสมุนไพรบางอย่างออกมาจากระบบถอนพิษ และรีบทานเข้าไปทันที

ความจริงแล้วซูจิ่นซีดื่มสุราไม่เก่งเท่าใดนัก นับว่าแย่เสียด้วยซ้ำ ทว่าสาเหตุที่นางชนะ เป็นเพราะขณะที่แข่งดื่มสุรากับหวาหรงจวิ้นจู่และพวกพรรค นางกินยาถอนพิษสุราไปก่อนล่วงหน้าแล้ว

อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย ตอนนั้นนางจึงกินยาลงไปไม่มากนัก ปริมาณยาสามารถถอนพิษสุราได้เพียงครึ่งเดียว

ซูจิ่นซีรู้ดี มีโอกาสเป็นไปได้ที่ไหวหยางจวิ้นจู่กับไทเฮาจะเตรียมแผนการทำร้ายนาง ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จะอยู่นานไม่ได้

ซูจิ่นซีเดินมาถึงหน้าประตู นางแอบมองรอดช่องประตูเพื่อดูสภาพการณ์ด้านนอก ด้านนอกตำหนักไม่มีคนแม้แต่คนเดียว นางจึงรีบผลักประตูออกไป เมื่อเดินออกจากประตูก็เลี้ยวไปทางซ้ายมือ

เดิมทีซูจิ่นซีคิดจะหนีออกไปทันที ทว่าเมื่อเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ ซูจิ่นซีก็อยากรู้ว่าต่อไปจะเกิดอันใดขึ้น นางจึงหลบเข้าไปอยู่ด้านหลังภูเขาจำลองในตำหนัก ซึ่งด้านหลังของภูเขาจำลองมีช่องเล็กๆ ช่องหนึ่งที่สามารถซ่อนตัวได้

ในเวลานี้ หวาหรงจวิ้นจู่ที่ถูกนางกำนัลประคองออกมาจากตำหนักว่านโซ่ว พักอยู่ในตำหนักอีกแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากตำหนักแห่งนี้นัก เมื่อนางกำนัลปรนนิบัติหวาหรงจวิ้นจู่เรียบร้อยแล้ว ด้านนอกตำหนักจึงมีเพียงขันทีสี่คนกับนางกำนัลอีกสี่คนที่คอยเฝ้า

ทันใดนั้น แม่นมท่าทางมีอำนาจผู้หนึ่งที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างพระวรกายไทเฮา ก็เดินมาที่หน้าตำหนัก

“พวกเจ้า ตามข้ามาทางนี้! ”

เหล่าขันทีและนางกำนัลทั้งแปดคนต่างมองเข้าไปด้านในตำหนัก เมื่อเห็นว่าหวาหรงจวิ้นจู่ยังไม่ตื่นจากบรรทม ก็แสดงสีหน้าลังเลออกมา

ขันทีผู้หนึ่งที่เป็นหัวหน้าพูดว่า “แม่นม จวิ้นจู่ยังไม่ตื่นจากบรรทม! พวกบ่าวยังไปไหนไม่ได้ขอรับ หากจวิ้นจู่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่มีใครคอยปรนนิบัติ พวกบ่าวจะถูกตำหนิได้ขอรับ”

“จวิ้นจู่ดื่มสุราจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ ผู้ใดจะรู้ว่าพระองค์จะตื่นขึ้นมาเมื่อใด? นี่เป็นพระบัญชาของไทเฮา พวกเจ้ากล้าขัดพระบัญชาหรือ? ”

เมื่อข้ารับใช้ทั้งแปดได้ยินว่าเป็นพระบัญชาขององค์ไทเฮา จึงไม่กล้าพูดอันใดอีก และรีบเดินตามแม่นมผู้นั้นไป

ด้วยความบังเอิญอย่างยิ่ง ในเวลานี้ หวาหรงจวิ้นจู่กลับตื่นขึ้นมาอย่างพอดิบพอดี

“ใครก็ได้! ใครก็ได้! ข้าต้องการดื่มน้ำ รีบเอาน้ำมาเดี๋ยวนี้! ข้าต้องการดื่มน้ำ… ”

นางร้องเรียกอยู่พักใหญ่ ทว่าไม่มีผู้ใดตอบ

หวาหรงจวิ้นจู่ตื่นขึ้นมาในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะฟื้นจากฤทธิ์สุรา นางเพียงคอแห้งเท่านั้น

เมื่อไม่มีผู้ใดตอบรับ นางจึงลุกขึ้นจากเตียงด้วยความยากลำบาก และคิดจะไปรินน้ำด้วยตนเอง ทว่าในกาน้ำชากลับไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว

“คนพวกนี้ไร้ประโยชน์เสียจริง ไปอยู่ที่ไหนกันหมด เจอตัวเมื่อไร… เจอตัวเมื่อไรข้าจะจัดการกับพวกเจ้า… จัดการกับพวกเจ้า… ”

หวาหรงจวิ้นจู่พูดพลางหยิบกาน้ำชาว่างเปล่าเดินออกประตูไปเอาน้ำด้วยตนเอง

ด้านนอกประตูไม่มีคน จึงไม่มีผู้ใดขวางนางไว้

หวาหรงจวิ้นจู่ยังมีอาการเมาสุราอย่างหนักอยู่ นางเดินโซเซอยู่ในพระราชวัง จนเดินมาพบกับฉ่ายเยวี่ย บ่าวรับใช้ประจำตัวของนาง

“จวิ้นจู่ บ่าวทราบข่าวว่า วันนี้ในงานเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพขององค์ไทเฮาที่ตำหนักว่านโซ่ว ท่านแข่งดื่มสุรากับพระชายาโยวอ๋องจนเมาหลับไป และถูกนางกำนัลพาเข้ามาด้านใน บ่าวตามหาท่านอยู่นาน จวิ้นจู่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเพคะ? ”

“ดื่มน้ำ… ข้าต้องการดื่มน้ำ! ”

ในเวลานี้ หวาหรงจวิ้นจู่ไม่มีทางได้ยินคำพูดของฉ่ายเยวี่ยได้อย่างชัดเจน นางทำเพียงยกกาน้ำชาในมือแกว่งไปมา

ฉ่ายเยวี่ยรีบรับกาน้ำชามาไว้ในมือและพูดว่า “จวิ้นจู่ บ่าวจะรีบพาท่านเข้าไปพักก่อน ท่านเมาเช่นนี้ หากวิ่งวุ่นไปทั่วคงไม่ดีนัก บ่าวจะพาท่านไปนอนพักแล้วจะรีบยกน้ำไปให้นะเพคะ”

“ดื่มน้ำ… ดื่มน้ำ… ข้าต้องการดื่มน้ำ”

ฉ่ายเยวี่ยมองไปรอบๆ “จวิ้นจู่ พวกเราไปทางนี้เถิดเพคะ”

ขณะที่พูดอยู่ ฉ่ายเยวี่ยก็ประคองหวาหรงจวิ้นจู่ให้เดินไปทางตำหนักที่ไหวหยางจวิ้นจู่จัดให้เป็นเรือนพักของซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีหลบอยู่ในช่องหลังภูเขาจำลอง นางเห็นทุกอย่าง ทว่าไม่ได้ปริปากอันใด และไม่ได้เขาไปห้าม

ในขณะเดียวกัน ด้านหนึ่งของตำหนัก แม่นมผู้มีอำนาจซึ่งคอยปรนนิบัติอยู่ข้างพระวรกายไทเฮาอีกนางหนึ่ง ได้พาหลวงจีนหนุ่มรูปหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

แม้หลวงจีนรูปนี้จะมีลักษณะอย่างผู้ที่ออกบวช คือ โกนผม สวมชุดพระสงฆ์ คลุมผ้ากาสาวพัสตร์ [1] และในมือถือลูกประคำ

ทว่าแววตาของเขา ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนแววตาที่มีความเมตตาอย่างผู้ที่ออกบวชแล้ว ทว่าเป็นแววตาที่มีแต่กิเลส ราวกับผู้ที่อยู่อาศัยในสถานที่พลอดรักของหนุ่มสาวเป็นเวลานาน เขาเดินตามแม่นมอย่างรวดเร็ว ทั้งยังชำเลืองตามองนางกำนัลด้วยสายตากรุ้มกริ่มเป็นระยะ

“รีบเดินหน่อย! ไทเฮารู้เรื่องราวสกปรกก่อนหน้านี้ของเจ้ากับฮองเฮาแล้ว ทั้งยังรู้ด้วยว่าบนตัวเจ้ายังมี… ” พูดถึงตรงนี้ เสียงของแม่นมก็หยุดลง แววตาแสดงความรังเกียจและต้องการอยู่ให้ห่างจากหลวงจีนรูปนี้ให้มากที่สุด ทั้งยังจงใจยืนห่างจากเขาสองช่วงตัว “อย่างไรเสีย หากวันนี้เจ้าทำสำเร็จ ไทเฮาต้องประทานรางวัลแก่เจ้าอย่างงามแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้น พระนางยังจะหาทางรักษาโรคของเจ้าให้หายดี”

หลวงจีนรูปนั้นยกยิ้มมุมปาก ทว่าไม่ได้พูดอันใด

เดินมาได้สักพัก แม่นมก็พูดขึ้นว่า “เจ้านี่นะ เป็นหลวงจีนอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ให้จำศีลอยู่ในวัดก็ไม่ทำ กลับกล้าทำเรื่องอุกอาจเช่นนี้ เกียรติของสงฆ์ในใต้หล้าล้วนถูกเจ้าทำลายจนสิ้น”

ขณะที่พูดอยู่ แม่นมก็พาหลวงจีนรูปนั้นเดินไปทางตำหนักที่ฉ่ายเยวี่ยพาหวาหรงจวิ้นจู่เข้าไปนอนพัก

แววตาของหลวงจีนฉายแววประจบประแจงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งหมุนลูกประคำ พลางพูดว่า “อามิตาพุทธ ความว่างเปล่าคือรูป รูปคือความว่างเปล่า พระพุทธองค์ตรัสว่า หากเราไม่ลงนรก แล้วผู้ใดจะลงนรก (พระกษิติครรภโพธิสัตว์) [2] ”

……

เชิงอรรถ

[1] กาสาวพัสตร์ (อ่านว่า กาสาวะพัด) แปลว่า ผ้าที่ย้อมด้วยน้ำฝาด เป็นคำเรียกผ้าที่พระสงฆ์ใช้นุ่งห่ม ผ้านุ่งห่มของพระสงฆ์ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง สีแก่นขนุนหรือสีกรัก ก็เรียกว่าเป็นผ้ากาสวพัสตร์ทั้งสิ้น ถือเป็นของสูง เป็นของพระอริยะ เป็นเครื่องนุ่งห่มของพระพุทธเจ้าที่ทรงประทานอนุญาตให้พระสาวกใช้ จัดเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง

[2] พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ หรือตี้จางหวางผูซา เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งของพุทธศาสนามหายาน อุตรนิกาย มีพระนามในภาษาไทยว่า “พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์” (อ่านออกเสียงว่า พระ-กะ-สี-ติ-คัน-โพ-ทิ-สัด) มีความหมายว่า พระโพธิสัตว์ผู้มีรูปหนุ่มเช่นพระพุทธเจ้าประจำพิภพ ด้วยเหตุนี้ รูปเคารพของพระโพธิสัตว์องค์นี้ จะมีรูปหนุ่มเช่นพระพุทธเจ้าเสมอ มีพระวาจาที่โด่งดังคือ “หากในนรกยังไม่ว่างจากสัตว์ที่ต้องรับทุกข์ทรมาน เราก็จะไม่ขอสำเร็จ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ” สืบค้น

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset