สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 88 ไม่กล้ายอกย้อนกับจิ้งจอกเฒ่า

        นับวันยิ่งใกล้เส้นตายเข้ามาเรื่อยๆ ทางด้านซูจิ่นซีก็ยังไม่มีข่าวคราวความคืบหน้าอันใดเลย นอกจากที่ซูจิ่นซีได้เข้าไปในวังครั้งหนึ่ง หลังจากที่นางได้พบฮองเฮาแล้ว เมื่อกลับมาก็ปิดประตูไม่ออกไปที่ใด ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย

        “พระชายาโยวอ๋องคงไม่ใช่ว่าสืบเรื่องราวอันใดไม่ได้เลย จึงหลบอยู่ในจวนไม่กล้าพบผู้คนกระมัง? ”

        “นั่นสิ! ไม่ว่าอย่างไร นางก็ควรอธิบายให้ทุกคนฟังบ้าง! พวกเราล้วนเดิมพันข้างนางด้วยเงินจำนวนมาก นางไม่ควรทำให้พวกเราผิดหวังนะ! ”

        “ข้าว่านะ! ทุกคนมองซูจิ่นซีผิดแล้วล่ะ เดิมทีนางก็เป็นเพียงคนโง่เขลา ผู้ใดจะรู้ว่าตอนนี้สมองของนางหายดีหรือไม่ ไม่แน่ว่า ตอนนั้นนางเกิดป่วยเข้าพอดี เมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ นางจึงได้พูดจาไร้สาระ ตอบมั่วซั่วก็เป็นได้”

        “พระชายาโยวอ๋องคงไม่ทำตัวเป็นคนขี้ขลาด คอยแต่หดหัวอยู่ในกระดองจริงๆ หรอกกระมัง? ”

        “ใช่! นางคงไม่ทำตัวเป็นคนขี้ขลาด หดหัวอยู่ในกระดองจริงๆ ใช่หรือไม่? ”

        “ไป พวกเราไปจวนโยวอ๋องเพื่อหาคำอธิบาย! ”

        “ใช่ ไปกันเถิด! ”

        บ่อนพนันทั้งหมดได้ยุติการเดิมพันไว้หนึ่งวันก่อนวันกำหนดเส้นตาย

        ผลการเดิมพันเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงยิ่งนัก อัตราส่วนก็แตกต่างกันมาก

        ผู้คนเกือบเจ็ดสิบต่อหนึ่งร้อยเปลี่ยนแปลงการเดิมพันเป็น ซูจิ่นซีสืบหาตัวฆาตกรไม่พบ มีเพียงสามสิบต่อหนึ่งร้อยคนเท่านั้นที่เดิมพันว่าซูจิ่นซีสามารถสืบหาตัวฆาตกรได้

        การเดิมพันระหว่างฮั่วอวี้เจียวและซูจิ่นซีนั้นยิ่งน่าเหลือเชื่อกว่า อัตราส่วนการเดิมพันระหว่างฮั่วอวี้เจียวเป็นฝ่ายชนะและซูจิ่นซีเป็นฝ่ายชนะ คือสี่ต่อหนึ่ง

        ช่วงเช้าตรู่ หน้าประตูจวนโยวอ๋องมีผู้คนมายืนรอมากมาย บนถนนด้านหน้าจวนโยวอ๋องก็เบียดแน่นไปด้วยผู้คนจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็แทรกซึมผ่านเข้าไปไม่ได้ พวกเขาตะโกนให้ซูจิ่นซีออกมาเพื่อให้คำอธิบายกับทุกคน

        แม่นมฮวายืนอยู่ที่ประตูมองออกไปรอบๆ และกลับไปที่เรือนชิงโยวด้วยความโกรธ

        “หึ สมองของคนพวกนี้เป็นอันใดกัน ไม่มีตากันเลยหรือ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าเอ่ยว่าพระชายาของพวกเราจะเป็นฝ่ายแพ้ ถุย! ล้วนมีตาหามีแววไม่ ต่อไปมีลูกก็ล้วนไม่มีรูก้น”

        “พรื้ด… ”

        ทหารองครักษ์ชั้นผู้น้อยที่ประตูเรือนชิงโยวทั้งหมดล้วนมีบุคลิกเคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างมาก ทว่าสิ่งที่แม่นมฮวาพูดนั้นน่าขันเสียจนไม่อาจกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้

        “หัวเราะอันใดกัน? ระวังองครักษ์หลินมาเห็นจะจัดการพวกเจ้า”

        ทหารองครักษ์รีบเงียบเสียงลงทันทีแล้วกลับมายืนอย่างเคร่งขรึม

        ทว่าพวกเขายังอดที่จะพูดออกมาไม่ได้

        “แม่นมฮวา ท่านอยู่ใกล้ชิดกับพระชายา สถานการณ์ของพระชายาเป็นอย่างไรบ้างเล่า? นี่ก็วันสุดท้ายแล้วนะ”

        “ทำไม? เจ้าก็ลงเดิมพันเช่นกันอย่างนั้นหรือ? ”

        แม่นมฮวาเป็นผู้มีประสบการณ์ เมื่อทหารองครักษ์น้อยพูด นางก็เดาได้เกือบทั้งหมดแล้ว

        “แหะๆ ”

        ทหารองครักษ์น้อยหัวเราะอย่างเกรงใจ

        “ลงเดิมพันฝั่งใดไปเล่า? เดิมพันอันใด? ”

        แม่นมฮวาถาม

        “คือว่าเรื่องนี้… ”

        “…”

        แม่นมฮวาขมวดคิ้ว

        ทหารองครักษ์น้อยลังเลอยู่นานกว่าจะพูดออกมา

        “เดิมพันเรื่องคุณหนูฮั่วกับพระชายา ข้าลงเดิมพันว่าคุณหนูฮั่วชนะ”

        “เจ้าคนนี้นี่มันกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา! ”

        แม่นมฮวาเตะไปที่ก้นของทหารองครักษ์น้อย

        ทหารองครักษ์น้อยไม่ได้หลบหนี เมื่อรับเท้าที่แม่นมฮวาเตะมาก็รู้สึกน้อยใจและทำปากมุ่ยกล่าวว่า “เรื่องนี้จะมาโทษข้าไม่ได้เช่นกัน! ข้าเพียงยืนดูทุกคนลงเดิมพัน เขาลงกันเช่นไรข้าก็ลงเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้น แม่นมฮวา…ยังมีเรื่องที่ท่านไม่ทราบกระมัง? ” ทหารองครักษ์ตัวน้อยจงใจขยับเข้าไปใกล้แม่นมฮวาและกระซิบข้างหูเบาๆ “ไท่จื่อท่านก็ลงเดิมพันเช่นกัน อีกทั้งยังเดิมพันไปที่คุณหนูฮั่วชนะ วางเงินเดิมพันถึงสองแสนตำลึงเชียวนะ! ”

        “กระไรนะ? ”

        แม่นมฮวาตะโกนลั่น

        ทหารองครักษ์น้อยตกใจจนรีบหันศีรษะกลับไป ทว่าก็ยังไม่ทันเวลาอยู่ดี แม่นมฮวาตบลงไปบนศีรษะของเขา

        “เช่นนั้นเจ้าก็ยิ่งไม่ควรวางเดิมพันข้างฮั่วอวี้เจียว”

        ไท่จื่อผู้นี้เป็นคนอย่างไรกัน?

        เขาเคยมีเรื่องกับพระชายามาก่อนนี่!

        หากจะพูดให้ละเอียดกว่านี้ ก็คือเป็นคู่แข่งทางความรักกับท่านอ๋องของพวกเรา

        สายตาของแม่นมฮวาที่มองทหารองครักษ์น้อยนั้นช่างเฉียบคมยิ่งกว่าการมองของจารชนเสียอีก

        ทหารองครักษ์น้อยเบ้ปาก ทำได้เพียงยืนสงบอย่างเชื่อฟัง ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับผู้เจนโลกตรงหน้าอีกแม้แต่ประโยคเดียว

        “ไม่ได้การ เรื่องนี้ข้าจะต้องไปบอกท่านอ๋องให้จงได้! ”

        แม่นมฮวาหันศีรษะกลับมาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นนางก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นผิดปกติจากเรื่องนี้ไม่น้อย

        ไท่จื่อยื่นมือเข้ามาในเรื่องนี้เช่นกัน อีกทั้งยังมองว่าฮั่วอวี้เจียวจะเป็นฝ่ายชนะอีกด้วย อย่าว่ากระนั้นเลย เพื่อเอาใจฮั่วอวี้เจียว ไท่จื่อจึงได้ทำอันใดบางอย่างเพื่อเป็นการขัดขวางพระชายาหรืออาจกระทำอันใดที่ไม่ดี

        วันนี้เยี่ยโยวเหยาอยู่ในจวน เมื่อทหารองครักษ์รายงานคำพูดของแม่นมฮวาเสร็จ นัยน์ตาลึกของเยี่ยโยวเหยาก็หรี่ลงอย่างน่ากลัวขึ้นมาในทันที เต็มไปด้วยความมืดมนและอันตรายอย่างยิ่ง

        แม้แต่ทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว

        “เรียกฉินเทียนมา! ”

        เยี่ยโยวเหยากล่าว

        วันนี้คือเส้นตายสำหรับการสืบคดีนี้ และยังเป็นวันที่ฮองเฮาจะเสด็จไปยังวัดพุทธฝ่าเพื่อสวดขอพร ซูจิ่นซีเป็นหนึ่งในฐานะผู้ติดตาม นางได้เริ่มเตรียมการตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว

        การได้ร่วมเดินทางกับฮองเฮาถือเป็นโอกาสสำคัญ ดังนั้นทั้งการแต่งตัวและรูปลักษณ์จึงสำคัญเป็นอย่างมาก ลวี่หลีที่ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนจึงไม่เข้าใจ แม่นมที่แต่งตัวให้ซูจิ่นซีนั้นเป็นคู่หูเก่าแก่ของแม่นมฮวาซึ่งนางตั้งใจเชิญมาเป็นพิเศษ แม่นมผู้นั้นคอยแต่งองค์ทรงเครื่องให้ซูจิ่นซีตั้งแต่เช้าแล้ว

        “ลวี่หลี มงกุฎนี้หนักยิ่งนัก! ยังมีกระโปรงนี่อีก เหตุใดจึงยาวถึงเพียงนี้ สวมตัวที่สั้นกว่านี้หน่อยได้หรือไม่? แล้วยังจะรองเท้านี่อีก รัดเท้ามากเกินไปแล้ว ข้าเดินไม่ได้เลย”

        ซูจิ่นซีพูดบ่นขณะที่เดินลงมาชั้นล่าง

        “คุณหนู ท่านอดทนหน่อยนะเพคะ! เพียงแค่วันนี้เท่านั้น เหล่าแม่นมแต่งหน้าให้ท่านอย่างเรียบง่าย ตามขั้นยศของท่านแล้ว ยังมีปิ่นอีกสองสามอันที่ยังไม่ได้เสียบเข้าไปอีกนะเพคะ! ติดตามฮองเฮาออกไปเช่นนี้ จะสะเพร่าไม่ได้นะเพคะ! ”

        ให้ตายเถิด! เครื่องแต่งกายบนตัวนี่ ช่างอลังการมากยิ่งกว่าวันแต่งงานวันนั้นเสียอีก

        แม้ขั้นตอนจะยุ่งยาก ทว่าเมื่อสวมลงบนร่างกายของซูจิ่นซีแล้วกลับเข้ากันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเสริมความสง่างามและความสูงส่งของนางให้มีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว

        แม่นมฮวาพึ่งจะเดินมาถึงประตูเรือนอวิ๋นไค เมื่อนางเห็นซูจิ่นซีก็ตกตะลึงในทันที ใช้เวลาครู่ใหญ่จึงกลับมาตอบสนองได้ แม่นมฮวาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและหัวเราะเบาๆ

        เวลานั้นทั่วทั้งเรือนชิงโยวราวกับมีสีสันแวววาวสว่างสดใสไม่น้อยเลยทีเดียว

        “โยวเหยา? โยวเหยา? ”

        หน้าต่างของตำหนักฝูอวิ๋นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเปิดออก หากมองจากด้านในสามารถเห็นฉากด้านหน้าประตูเรือนอวิ๋นไคได้อย่างชัดเจน

        เยี่ยโยวเหยายืนมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างตกตะลึงเป็นเวลานาน แม้แต่ฉินเทียนเดินเข้าประตูมาแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว ฉินเทียนต้องตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง เยี่ยโยวเหยาจึงมีสติกลับคืนมา

        “มองอันใดเล่า? มองเสียเคลิ้มถึงเพียงนั้น? ”

        สายตาของเยี่ยโยวเหยาเย็นเยือก มุมคิ้วแสดงออกถึงอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย เยี่ยโยวเหยาวางหนังสือในมือลง ก่อนจะยืนขึ้นและเดินไปที่ห้องน้ำชา

        ฉินเทียนเหลือบมองไปทางที่เยี่ยโยวเหยาพึ่งมองออกไป จากนั้นก็ยิ้มอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง แล้วจึงเดินตามเยี่ยโยวเหยาออกไป

        “พระชายา พวกเราออกทางประตูหลังกันเถิดเพคะ! ”

        แม่นมฮวาเดินเข้ามาขวางหน้าซูจิ่นซีแล้วเอ่ยขึ้น

        ซูจิ่นซีไม่เข้าใจ “มีประตูใหญ่ไม่ไป เหตุใดต้องไปที่ประตูหลังด้วยเล่า? ”

        หรือว่าประตูหน้ามีหมาป่ากัน?

        ซูจิ่นซีจำได้ว่าในยุคโบราณข้อห้ามสำหรับผู้ที่มีสถานะและตำแหน่งคือการห้ามผ่านประตูหลัง เนื่องจากประตูหลังถูกสงวนไว้สำหรับผู้ที่มีสถานะต่ำต้อยหรือคนรับใช้เท่านั้น

        แม่นมฮวาไม่สามารถอธิบายถึงสถานการณ์ทางประตูใหญ่ได้ จึงรีบหาข้อแก้ตัว

        “พ่อบ้านได้นำรถม้าไปจอดไว้ที่ประตูหลังแล้ว พระชายา ประตูทางด้านหลังมีระยะทางใกล้กับประตูวังมากกว่าเพคะ”

        ซูจิ่นซีเป็นผู้ที่ฉลาดเฉียบแหลม นางรู้ว่าแม่นมฮวากำลังปิดบังบางอย่างกับนาง นางจะมองไม่ออกได้อย่างไร? ที่ประตูใหญ่จะต้องมีสิ่งใดซุกซ่อนอยู่อย่างแน่นอน ยิ่งเป็นเช่นนี้ นางยิ่งต้องการไปดูว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่

        “ให้พ่อบ้านนำรถม้ามาที่ประตูใหญ่ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ? อย่างไรก็ไม่ได้ไกลกว่ากันมากเท่าไร ข้ารอหน่อยก็ได้ วันนี้ออกนอกจวนก็เพื่อการใหญ่ คนมากมายล้วนจับตามองอยู่นะ! หากข้าออกทางประตูหลัง ผู้คนจะกล่าวกันว่าอย่างไร? ”

        หลังจากพูดจบ ซูจิ่นซีก็ไม่รอให้แม่นมฮวาตอบกลับ นางเดินตรงไปที่ประตูใหญ่ทันที

        แม่นมฮวาเห็นว่าคำพูดของตนเองกลับตาลปัตรเสียแล้ว จึงร้อนรนราวกับมดที่อยู่บนกระทะร้อน

        จะทำอย่างไรกันเล่าทีนี้?

        มีคนมากมายรออยู่หน้าประตูใหญ่ พวกเขาทั้งหมดต่างมาหาพระชายาเพื่อฟังคำอธิบาย

        หากพระชายาเดินออกไปเช่นนี้ แล้วบังเอิญปะทะเข้ากับพวกเขาพอดี คงเดินออกไปไม่ได้อย่างแน่นอน!

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset