สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 91 สวรรค์ น่ากลัวเกินไปแล้ว

        “ผู้ใดกัน? ผู้ใดลงเดิมพันกัน? ”

        “ใช่! ผู้ใดมีเงินถึงเพียงนี้กัน? ”

        แม้ว่าจงหนิงจะมีผู้ที่มีฐานะร่ำรวยไม่น้อย ทว่ามีคนไม่มากนักที่สามารถวางเงินจำนวนมากในการเดิมพันเพียงครั้งเดียว

        โดยเฉพาะตอนนี้

        แนวโน้มของการเดิมพันผลแพ้ชนะนั้น ไม่ใช่ว่าชัดเจนแล้วหรือ? พระชายาโยวอ๋องมีแนวโน้มที่จะเสียเปรียบนี่นา! เดิมพันข้างพระชายาโยวอ๋องมีความเสี่ยงไม่น้อย

        คนผู้นี้โง่หรืออย่างไร? คาดไม่ถึงว่าจะลงเดิมพันมากมายถึงเพียงนั้น

        “ไม่รู้สิ นิรนาม! ”

        คนประกาศข่าวสารผู้นั้นก็ไม่รู้จริงๆ

        “เหอะ! ”

        ทุกคนพูดพร้อมกัน หมดความสนใจในทันใด

        คงไม่ใช่ลูกเล่นที่บ่อนพนันจงใจสร้างเรื่องเพื่อหวังทำเงินให้มากขึ้นในนาทีสุดท้ายหรอก ใช่หรือไม่?

        ทว่าบ่อนพนันได้ยุติการวางเดิมพันแล้วนี่นา!

        ดูแล้ว เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมใน มีลับลมคมในแน่นอน

        “คุณหนู! ” ลวี่หลีเตือนสติซูจิ่นซี “ฮองเฮาทรงรออยู่ทางนั้นนานแล้วนะเพคะ! ”

        “ไปกันเถิด! ”

        ซูจิ่นซีปิดผ้าม่านรถม้าลง ทว่าในก้นบึ้งของหัวใจยังคงคิดถึงเรื่องเมื่อครู่อยู่

        ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นผู้ใด คาดไม่ถึงว่าจะให้เกียรติซูจิ่นซีถึงเพียงนี้

        แม้ว่าฮองเฮาพร้อมทั้งผู้คนอีกจำนวนหนึ่งจะรอซูจิ่นซีมาเป็นเวลานานแล้ว ทว่าไม่ทราบด้วยเหตุใดฮองเฮาจึงไม่ตำหนิซูจิ่นซีแม้แต่น้อย

        หลังจากที่ซูจิ่นซีขอประทานอภัยแล้ว ฮองเฮาก็ให้รถม้าของนางเดินทางออกไปพร้อมกับขบวน

        ขบวนเสด็จออกเดินทางในตอนเช้า ทุกคนมาถึงวัดพุทธฝ่าในตอนบ่าย

        เจ้าอาวาสวัดพุทธฝ่าออกมาต้อนรับที่หน้าประตู

        ในเวลากลางคืนทุกคนต่างพักผ่อนอยู่ภายในวัด และในเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าอาวาสจะนำพวกเขาไปจุดธูปและสวดมนต์ขอพรด้วยตนเอง

        เรือนพักที่ซูจิ่นซีพักอาศัยอยู่นั้นอยู่ใกล้กับเรือนของฮองเฮามาก ในตอนกลางคืนซูจิ่นซีจึงได้วางกลไกยาพิษจำนวนมากไว้รอบเรือนทั้งสอง ดังนั้นพวกนางจึงนอนหลับได้อย่างสงบตลอดทั้งคืน

        เช้าวันรุ่งขึ้น ด้านนอกเรือนพักมีแมวตายหนึ่งตัว หนูตายสองตัว และยังมีแมลงที่ตายอีกจำนวนมาก

        “พระชายาโยวอ๋องดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นกังวลมากนะ”

        ฮองเฮากล่าวขึ้น

        “ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันกันไว้ก่อนดีกว่าแก้เพคะ”

        ซูจิ่นซียิ้มอย่างอ่อนโยน

        หลังจากทานข้าวก้นบาตร เจ้าอาวาสและเจ้าภาพก็พาฮองเฮาและพระสนมผู้ติดตามทั้งหมดไปฟังเทศนาและจุดธูป ตามขั้นตอนไปจนถึงยามเฉิน จากนั้นทุกคนก็กลับเข้ามาในหอพระไตรปิฎกอีกครั้ง นอกจากนี้ภายในวัดยังมีสถานที่บางแห่งที่ถูกปิดไว้ ไม่ให้ผู้แสวงบุญเข้าไป

        ช่วงบ่ายหลังจากทานข้าวก้นบาตรเรียบร้อย ก็เตรียมตัวเดินทางกลับเมืองตี้จิง

        ลวี่หลีกำลังเก็บของ ซูจิ่นซีนั่งดื่มน้ำชาอยู่ที่โต๊ะด้านข้าง

        ทันใดนั้นก็มีเสียงตื่นตระหนกดังมาจากด้านนอก

        “หอพระไตรปิฎกใหญ่ไฟไหม้แล้ว หอพระไตรปิฎกใหญ่ไฟไหม้แล้ว… ”

        ซูจิ่นซีและลวี่หลีรีบวิ่งออกไป ฮองเฮาและผู้ติดตามอยู่ในพระอารามแล้ว หลังจากนั้นก็มีเณรน้อยรูปหนึ่งวิ่งเข้ามา

        “โยมทั้งหลาย หอพระไตรปิฎกใหญ่ไฟไหม้แล้ว เจ้าอาวาสบอกว่าให้พวกโยมพักอยู่ในพระอารามก่อน สถานการณ์ภายนอกค่อนข้างวุ่นวาย เกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของโยมทุกท่าน”

        “ลำบากท่านแล้ว หากเจ้าอาวาสและไต้ซือมีเรื่องอันใดต้องการให้ช่วย ก็บอกข้าได้ทันที” ฮองเฮากล่าว

        เณรน้อยมองไปยังฝูงชนแล้วโค้งรับคำตามมารยาทสงฆ์

        “อยู่ดีๆ เหตุใดจึงเกิดไฟไหม้ได้เล่า? ”

        “ใช่ ในหอพระไตรปิฎกใหญ่มีพระโพธิสัตว์ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในวัดพุทธฝ่า และยังมีตะเกียงธูปที่สมบูรณ์ที่สุดอีกด้วย”

        “ได้ยินมาว่ายังเก็บพระคัมภีร์สำคัญอีกมากมายด้วยนะ! ”

        “หน้าแล้งเช่นนี้ ผู้ใดจะไปรู้กัน! ”

        “ฝนพึ่งตกไปเมื่อไม่กี่วันก่อน จะแห้งแล้งได้อย่างไรกัน? และวันนี้พวกเรามาวัด พวกเขาจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่ควรเกิดเหตุไฟไหม้ได้ง่ายถึงเพียงนี้! ”

        “เจ้าพูดเช่นนี้ เจ้าจะบอกว่ามีคนทำหรือ? หึหึ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! ฮองเฮาก็ประทับอยู่ที่นี่นะ! ผู้ใดกันที่มีความกล้าถึงเพียงนี้? ”

        ผู้คนต่างก็พูดกันไปคนละทิศคนละทาง

        ซูจิ่นซีและฮองเฮามองตากันอย่างเข้าใจเป็นที่รู้กันดีทั้งสองฝ่าย ส่วนนางกำนัลและบ่าวรับใช้ที่ฮองเฮานำมาด้วยก็ตั้งใจทำหน้าที่ปกป้องทุกคน โดยพาทุกคนมารวมกันตรงกลางเพื่อสะดวกต่อการดูแลอย่างทั่วถึง

        ด้านนอกพระอารามมีทหารยามพิเศษหลายนายที่นำเสด็จฮองเฮาในการเดินทางครั้งนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างก็เพิ่มความระมัดระวังขึ้น

        “กรี๊ด! ”

        ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากทางด้านนอก

        “เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ” ฮองเฮาถาม

        “ดูเหมือนจะเป็นเสียงของพระชายาเยี่ยนเป่ยเพคะ”

        พระสนมนางหนึ่งกล่าวขึ้น

        “พระชายาเยี่ยนเป่ยยังไม่ได้ออกมาหรือ? ” ฮองเฮาถาม

        “ก่อนที่จะจุดธูป กระโปรงของพระชายาเยี่ยนเป่ยถูกไฟธูปจี้จึงกลับมาช้ากว่าพวกเราเพคะ คาดว่าเมื่อครู่พระชายาคงกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพคะ”

        “ไปดูสิว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น”

        ฮองเฮาออกคำสั่ง บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างหลังก็รีบวิ่งไปดูที่เรือนของพระชายาเยี่ยนเป่ย

        “กรี๊ด! ”

        สาวใช้ผลักประตูเรือนของชายาเยี่ยนเป่ยให้เปิดออก ทันใดนั้นนางก็กรีดร้องและเป็นลมล้มลงไป

        ซูจิ่นซีและทุกคนต่างเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น พระสนมที่หวาดกลัวถึงกับตกใจจนร่างกายอ่อนแรง

        นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?

        เกิดอันใดขึ้นกันแน่?

        พวกเขาทั้งหมดมองไปยังทิศทางที่เรือนของพระชายาเยี่ยนเป่ยตั้งอยู่ด้วยสายตาหวาดกลัว

        “พวกเจ้าสองสามคน ไปดูสิ! ”

        ฮองเฮากำชับบ่าวรับใช้ทางด้านหลังที่มีฝีมือสองสามนาง

        “ผู้อื่นอย่าเพิ่งทำอันใดบุ่มบ่าม”

        แม้จะไม่รู้ว่าด้านในนั้นเกิดอันใดขึ้น ทว่าฮองเฮากลับรู้สึกได้ถึงบางอย่าง

        เมื่อบ่าวรับใช้ทั้งสามนางเดินมาถึงด้านหน้าประตูเรือนของพระชายาเยี่ยนเป่ย ใบหน้าของพวกนางก็แปรเปลี่ยนไปในทันที

        “ฮองเฮา แย่แล้วเพคะ พระชายาเยี่ยนเป่ยสิ้นพระชนม์แล้วเพคะ”

        “อะไรนะ? สิ้นพระชนม์แล้ว? ”

        ฮองเฮารีบไปดูพระชายาเยี่ยนเป่ยที่เรือนของนาง

        “กรี๊ด! ”

        พระสนมไม่กี่คนที่วิ่งตามหลังฮองเฮาไปต่างกรีดร้องขึ้นมาในทันที บางคนเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุก็ถึงกับตกใจจนล้มพับลงไป

        การสิ้นพระชนม์ของพระชายาเยี่ยนเป่ยนั้นช่างน่าสะพรึงกลัว

        ผู้ใดกัน?

        วิปริตถึงเพียงนี้!

        ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วยาม พระชายาเยี่ยนเป่ยยังอยู่กับทุกคนอยู่เลย คาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะกลายเป็นศพที่ด้านบนมีหนอนน่ารังเกียจคลานยั้วเยี้ยเต็มไปหมด

        “นี่มัน… นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว! ”

        “ข้าจะกลับ! ข้าต้องการกลับเมืองตี้จิง! ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”

        “ข้าก็จะกลับเช่นกัน! ”

        “ข้าก็จะกลับเช่นกัน! ”

        ทุกคนเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาแล้ว

        “อย่าโวยวาย ทุกคนตั้งสติและอยู่กับข้าที่นี่ก่อน”

        ฮองเฮาตะโกนด้วยเสียงเย็นเยียบ

        ผู้คนที่วิ่งวุ่นไปรอบๆ เมื่อได้ยินฮองเฮาตรัสก็หยุดชะงักครู่หนึ่ง หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มทำลายความสงบอีกครั้ง

        “หากพวกเรายังอยู่ที่นี่ จะต้องไม่มีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน”

        “ใช่ จะต้องเป็นเหมือนพระชายาเยี่ยนเป่ยเป็นแน่ ตายอยู่ที่นี่”

        “พวกท่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไร ตอนนี้พวกเราทุกคนควรสามัคคีกัน” ซูจิ่นซีตะโกนขึ้น

        “พระชายาโยวอ๋อง เจ้าช่างพูดจาได้อย่างง่ายดาย ทว่าพวกเราจะตายกันอยู่แล้ว จะสามัคคีกันได้อย่างไร? ”

        “ใช่ พวกข้าและฮ่องเต้พึ่งจะได้สมรมกัน ข้ายังไม่ทันได้มอบบุตรสาวให้ฝ่าบาทสักคนเลย! ข้าไม่อยากตายอยู่ที่นี่”

        “ใช่ พวกเรากลับ! ”

        “กลับ! ”

        “ผู้ใดก็ห้ามออกไป หากผู้ใดกล้าขยับ ข้าจะฆ่าให้หมด! ”

        ฮองเฮาออกคำสั่งเสียงเย็นด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย

        ทหารองครักษ์ด้านนอกหันคมดาบเข้าห้อมล้อมทุกคน ทั้งเพื่อเป็นการข่มขู่ และเพื่อปกป้อง

        เหล่าพระสนมต่างตกใจจนหน้าซีด ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าขยับอีกแล้ว

        แม้ซูจิ่นซีจะไม่เป็นวรยุทธ ทว่านางก็ไม่ได้ขลาดกลัวแม้แต่น้อย นางคอยติดตามอยู่ด้านข้างฮองเฮาอย่างใกล้ชิด คอยระวังอย่างเต็มที่

        ฮองเฮารับสั่งให้คนจากทางวัดเข้าไปขอความช่วยเหลือในเมืองตี้จิง

        บรรยากาศโดยรอบหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ มีโอกาสเกิดเภทภัยขึ้นได้ทุกเมื่อ ทุกคนต่างไม่กล้าส่งเสียง ทำได้เพียงเฝ้ารอการช่วยเหลือเท่านั้น

        บริเวณไม่ไกลกันนัก เปลวไฟจากหอพระไตรปิฎกลุกไหม้ขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มลุกลามมาทางด้านเรือนพักแล้ว หากไม่รีบโยกย้ายโดยเร็ว ในไม่ช้าที่นี่ก็จะกลายเป็นขี้เถ้าทั้งหมด

        “พวกเจ้าสองสามคน หาของมาย้ายศพของพระชายาเยี่ยนเป่ย คนที่เหลือตามข้ามา”

        ฮองเฮารับสั่งอย่างสงบนิ่งและกล่าวอย่างเป็นลำดับ

        ทหารองครักษ์ทั้งสี่นายนำแผ่นไม้แบนๆ มาหามศพของพระชายาเยี่ยนเป่ยออกมา

        ทุกคนต่างเดินตามหลังฮองเฮาออกไปยังด้านนอกของเรือนพัก เมื่อกำลังจะเดินไปถึงประตู ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็หยุดอยู่ตรงหน้าฮองเฮา นางขมวดคิ้วแน่น ราวกับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง

        “ข้าเอง! ”

        ซูจิ่นซีไม่ทันได้เอ่ยขัดขวาง ทหารองครักษ์นายหนึ่งก็รีบวิ่งไปยังด้านหน้าฮองเฮา

        ทว่าทันทีที่ก้าวเท้าออกจากประตูเรือนพัก ทหารองครักษ์ผู้นั้นก็ตะโกนขึ้นมาทันที เกิดไฟไหม้ขึ้นมาเอง!

        สวรรค์!

        น่ากลัวเกินไปแล้ว!

        เกือบไปแล้ว อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น เกือบจะรักษาพระชนม์ชีพของฮองเฮาเอาไว้ไม่ได้แล้ว

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset