สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 92 ศพพิษเข้าโจมตี น่ากลัวยิ่งนัก

        “อ๊ะ!… ”

        ฝูงชนเกิดความโกลาหลขึ้นมาอีกครั้ง

        “ทุกคนไม่ต้องตื่นตกใจ ไม่ต้องตื่นตกใจ”

        ฮองเฮาพยายามรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยไว้ ทว่ากลับไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย

        “กรี๊ด! ”

        เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาอีกครั้ง พระสนมสองนางล้มลงกับพื้น แม้จะยังไม่ตายในทันที ทว่าพวกนางก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

        “ติ๊ดติ๊ดติ๊ด! ”

        ระบบถอนพิษของซูจิ่นซีส่งเสียงสัญญาณแจ้งเหตุ

        “มีพิษ”

        ซูจิ่นซีเพิ่งพูดจบ บาดแผลของพระสนมทั้งสองก็ราวกับถูกราดด้วยกรดกำมะถัน ผิวหนังเปื่อยยุ่ยกลายเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าอีกด้วย

        พิษอันใด?

        เหตุใดจึงร้ายแรงถึงเพียงนี้!

        “ตูม! ”

        ระบบถอนพิษเตือนภัยดังขึ้นจนซูจิ่นซีรู้สึกแสบแก้วหู

        ศีรษะของซูจิ่นซีสั่นสะเทือนจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว นางรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย

        จากนั้นไม่นาน ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ซูจิ่นซีจึงพบว่าทางด้านหน้าได้ปรากฏร่างคนในชุดดำเป็นจำนวนมาก

        ระบบถอนพิษชี้ให้เห็นว่าเสียงเตือนเมื่อสักครู่ เกิดจากพิษที่อยู่บนร่างกายของกลุ่มคนลึกลับเหล่านี้ ทั่วร่างกายของพวกเขาล้วนเป็นพิษ

        ผู้ใดกัน?

        เหตุใดในร่างกายจึงมีพิษมากมายถึงเพียงนี้

        ทว่าไม่นาน ซูจิ่นซีก็ค้นพบถึงความผิดปกติอีกอย่าง

        ใบหน้าและท่าทางของคนชุดดำเหล่านี้ไม่เหมือนกับคนปกติเท่าไร แววตาหมองคล้ำ หน้าขาวซีด เหมือนผีดิบที่อยู่ในหนัง

        ผีดิบอย่างนั้นหรือ?

        พวกเขาไม่ใช่คนตายจริงๆ ใช่หรือไม่?

        ความรู้สึกของซูจิ่นซีช่างรวดเร็ว หรือว่าจะเป็นผีดิบติดพิษ?

        ทั้งยังเป็นผู้ที่ติดเชื้อพิษตัวกู่!

        สวรรค์! ในยุคโบราณก็มีสิ่งนี้อยู่ด้วย

        ช่างบังเอิญเหลือเกิน ซูจิ่นซีเคยอ่านเจอสิ่งเหล่านี้ในหนังสือโบราณ ผู้ใดใช้ให้เจ้าพวกถังเหมินชอบสะสมสิ่งของแปลกๆ กันเล่า!

        การที่นางข้ามภพมาในคราวนี้ ท่าทางจะกินระยะเวลายาวนานเสียแล้ว

        ทว่าซูจิ่นซีไม่มีเวลามากพอให้แปลกใจ เนื่องจากผีดิบเหล่านั้นเริ่มโจมตีไปในทิศทางที่ฮองเฮายืนอยู่

        พวกมันต่างพุ่งเข้าใส่ฮองเฮา

        ศพพิษนั้นช่างแข็งแกร่ง ดาบแทงเข้าไปกลับไม่มีแม้แต่เลือด

        ใบหน้าของซูจิ่นซีซีดเผือด ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นการเล่นกับไฟที่มีความรุนแรงมากไปเสียหน่อย มันเกินขอบเขตที่นางสามารถควบคุมได้

        “รีบไป! ใช้พิราบส่งสารไปยังเมืองตี้จิง บอกว่าที่นี่เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแล้ว! ”

        ซูจิ่นซีสั่งการองครักษ์ข้างกายนายหนึ่งอย่างไม่ทันได้คิด องครักษ์รีบตอบรับอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งออกไป

        นี่เป็นวิธีที่สองที่จะช่วยส่งข่าวจากวัดพุทธฝ่าไปยังเมืองตี้จิงได้อย่างเร่งด่วน

        “อะไรนะ? เจอผีดิบติดพิษอย่างนั้นหรือ? เหลวไหล เหลวไหลจริงๆ ! ซูจิ่นซีบ้าไปแล้วหรือ? แม้แต่คำพูดเหลวไหลพวกนี้ยังปั้นเรื่องออกมาได้”

        เรื่องผีดิบติดพิษเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล่าต่อๆ กันมาเท่านั้น ไม่มีผู้ใดสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ และไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นเช่นกัน

        “ฝ่าบาท ตอนนี้เราทำได้เพียงเชื่อในสิ่งที่พวกเขาส่งสารเท่านั้น อย่าเพิ่งเสียเวลาคิดกังวลว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่! อย่างไรเสีย ฮองเฮาและพระสนมทุกพระองค์ของฝ่าบาทก็ยังอยู่ที่วัดพุทธฝ่า พวกเราส่งทหารเข้าช่วยเหลือโดยด่วนเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ”

        ขุนนางเฒ่าท่านหนึ่งกล่าวขึ้น

        “กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”

        คนที่เหลือต่างพิจารณาอีกครั้ง

        “ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหลาย พวกท่านต่างพากันเลอะเลือนไปหมดแล้วหรือ? หากวัดพุทธฝ่ามีผีดิบติดพิษจริงๆ ทำเพียงส่งทหารไปจะมีประโยชน์อันใด? ว่ากันว่าผีดิบติดพิษนั้นเก่งกาจยิ่งนัก เพียงคนอยู่ใกล้ ร่างกายก็สามารถรับพิษได้ เราต้องคิดหาวิธีการที่ปลอดภัยให้แน่นอนก่อน”

        ไท่จื่อเยี่ยเซินกล่าว

        ที่ไท่จื่อพูดมาก็มีเหตุผล ผีดิบฆ่าไม่ตาย แม้มีทหารมากเท่าไรก็ไม่ได้ช่วยอันใดเลย มีแต่จะส่งคนไปตายเสียเปล่า

        เหล่าขุนนางเงียบเสียงลงในทันที

        “ทว่าฮองเฮายังอยู่ที่วัดพุทธฝ่านะพ่ะย่ะค่ะ! ”

        ฮูหยินของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งก็ติดตามฮองเฮาไปด้วย ทว่าเขาไม่กล้าบอกตรงๆ ว่าเป็นห่วงฮูหยินของตน ได้แต่อ้างถึงฮองเฮาเท่านั้น

        “จริงด้วย พระชายาโยวอ๋องก็อยู่ที่วัดพุทธฝ่าด้วยไม่ใช่หรือ? ความสามารถด้านพิษของนางเก่งกาจถึงเพียงนั้น คงไม่มีปัญหาในการรับมือกับพวกผีดิบติดพิษ เสด็จพ่อ…ท่านออกคำสั่งให้พระชายาโยวอ๋องคิดหาวิธีรับมือ ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ! ”

        ให้พระชายาโยวอ๋องรับมือหรือ?

        นางเป็นเพียงผู้หญิงยิงเรือ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่รู้ศิลปะการต่อสู้อีกด้วย รนหาที่ตายเสียแล้ว

        ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างแสดงออกว่าไม่เห็นด้วย ทว่าฮ่องเต้กลับเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

        “ที่เซินเอ๋อร์พูดก็ดูเข้าท่า ความสามารถในด้านพิษของพระชายาโยวอ๋องเหนือกว่าผู้ใดทั้งหมด แม้แต่โรคของฮองเฮาและไท่เฟย นางยังสามารถรักษาให้หายได้ ความสามารถในการรับมือกับผู้ที่ติดเชื้อพิษตัวกู่ของนางก็สามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเต็มที่ อย่างนั้นก็เอาเช่นนี้ ประกาศพระราชโองการของข้าออกไป บอกว่าข้ามอบอำนาจให้แก่พระชายาโยวอ๋องเพื่อจัดการกับผู้ที่ติดเชื้อพิษตัวกู่และหวังว่าพระชายาจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ไม่เช่นนั้นนางจะถูกลงโทษที่ขัดพระราชโองการ”

        “ฝ่าบาท… นี่… เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมังพ่ะย่ะค่ะ? ”

        ทันใดนั้นก็มีขุนนางชั้นสูงผู้หนึ่งเอ่ยคัดค้านขึ้น

        “เสด็จพ่อ อีกอย่าง… ค่ายหู่เปินก็อยู่นอกเมืองหลวงราวสามสิบลี้ และอยู่ใกล้กับวัดพุทธฝ่ามาก เราเพียงสั่งย้ายกำลังพลจากค่ายทหารหู่เปินจำนวนห้าร้อยนายไปช่วยเหลือพระชายาโยวอ๋อง เนื่องจากครานี้เสด็จแม่ไปวัดพุทธฝ่าและได้นำผู้ติดตามไปด้วยไม่มากพ่ะย่ะค่ะ”

        เยี่ยเซินกล่าวคาดการณ์

        “จริงด้วย ทหารห้าร้อยกำลังพล สั่งย้ายทหารจากค่ายหู่เปินไปช่วยเหลือในทันที”

        สมกับเป็นพ่อลูกกันเสียจริง เยี่ยเซินพูดอันใด ฮ่องเต้ก็ทำอย่างนั้น จนลืมไปแล้วว่าในเวลานี้ ฮองเฮาที่พวกเขารักที่สุดกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากที่วัดพุทธฝ่า

        พระองค์ยังเป็นฮ่องเต้องค์เดิมหรือไม่?

        อีกทั้งเวลานี้ ค่ายทหารหู่เปินมีกำลังพลอยู่ห้าแสนนาย! คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะจัดกำลังทหารเพียงห้าร้อยนายให้กับวัดพุทธฝ่า

        ไม่ใช่ว่าต้องการปล่อยให้ทุกคนที่วัดพุทธฝ่าตายหรอกหรือ?

        “ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่เหมาะสมนะพ่ะย่ะค่ะ! ”

        ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนที่มีฮูหยินอยู่ที่วัดพุทธฝ่าต่างรีบพากันคุกเข่าขอร้องฮ่องเต้ ทว่ายังพูดไม่ทันจบ ฮ่องเต้ก็ไม่สบอารมณ์เสียแล้ว “ขุนนางที่รัก หรือว่าพวกเจ้ากำลังสงสัยในการตัดสินใจของข้า? หรือพวกเจ้ากำลังสงสัยในความสามารถของพระชายาโยวอ๋อง พวกท่านเข้าใจว่าพระชายาโยวอ๋องเป็นเพียงผู้หญิงยิงเรือ ไม่มีความสามารถรับผิดชอบงานสำคัญอย่างนั้นหรือ? ”

        “ข้าน้อยมิกล้า! เพียงแต่ว่า… ”

        “หากพวกเจ้าทุกคนสงสัย ข้าจะเปลี่ยนพระราชประสงค์ในทันที ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าทุกคนเดินทางไปที่วัดพุทธฝ่าเพื่อต่อสู้กับผีดิบติดพิษ ขุนนางท่านใดเต็มใจไปบ้าง? ”

        ผู้ใดจะกล้าไปกันเล่า?

        หากไปก็เป็นการรนหาที่ตาย แม้จะเป็นห่วงฮูหยินของตน ทว่าหากตายแล้วก็ไม่เหลืออันใด

        เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บปวดทั้งน้ำตา

        ในวัดพุทธฝ่า องครักษ์ต้านทานผีดิบติดพิษไว้ไม่ไหวแล้ว ผ่านไปไม่นาน องครักษ์ที่คอยปกป้องอยู่ข้างกายฮองเฮาและผู้มีฝีมือที่ปลอมตัวเป็นนางกำนัลต่างก็ล้มลงไปกับพื้นทีละคนๆ แม้แต่องครักษ์คนสุดท้ายที่ปกป้องฮองเฮาอย่างซื่อสัตย์ก็ล้มลงกับพื้นเช่นกัน

        ผีดิบติดพิษค่อยๆ เคลื่อนกายเข้าใกล้ฮองเฮา ในที่สุดก็เข้าประชิดฮองเฮาจนหลังติดกับกำแพง

        เดิมทีฮองเฮาไม่มีแรงที่จะต่อต้านอยู่แล้ว พระองค์จึงถูกผีดิบติดพิษจับตัวไปได้อย่างง่ายดาย

        “พระชายาโยวอ๋อง ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ? ”

        ผู้ดูแลสองคนที่ไม่เคยปราฏตัวให้เห็นมาก่อน พวกเขาปลอมตัวเป็นผู้มีฝีมือชั้นสูง หลังจากที่พวกเขาร่อนลงจากหลังคามายืนอยู่ด้านข้างซูจิ่นซี ก็เอ่ยถามซูจิ่นซีด้วยเสียงมั่นคง

        “พวกเจ้าได้ยินเสียงขลุ่ยหรือไม่? ผีดิบติดพิษพวกนี้ถูกควบคุมด้วยเสียงขลุ่ย เพียงควบคุมผู้ที่เป่าขลุ่ยเอาไว้ได้ ผีดิบติดพิษเหล่านี้ก็รับมือได้ไม่ยาก ทว่าหากจะรับมือกับผีดิบติดพิษ พวกเราก็ต้องดำเนินการตามแผนเดิม อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”

        “พ่ะย่ะค่ะ”

        องครักษ์ปฏิบัติตามคำสั่งของซูจิ่นซี ผู้มีฝีมือสูงส่งจำนวนสองถึงสามนายต่างเร้นกายหายออกไปแล้ว เหลือเพียงหนึ่งนายที่ติดตามซูจิ่นซีไป ทันใดนั้นองครักษ์ที่ซูจิ่นซีส่งไปแจ้งข่าวขอความช่วยเหลือจากเมืองตี้จิงก่อนหน้านี้ก็กลับมาถึงแล้ว

        “พระชายาโยวอ๋อง มีพระบัญชาจากฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ”

        แม้จะเป็นพระราชโองการของฮ่องเต้ ทว่าด้วยสถานการณ์พิเศษ จึงไม่อาจส่งคนมาแถลงการณ์ต่อหน้าได้ ดังนั้นจึงใช้พิราบส่งสาร

        ซูจิ่นซีทำได้เพียงคุกเข่าลงก่อนจะน้อมรับพระราชโองการตามมารยาท

        เมื่อองครักษ์อ่านพระราชโองการของฮ่องเต้จบแล้ว ซูจิ่นซีก็โกรธขึ้นมาทันใด “ให้ตายเถิด! ยังหน้าไม่อายอยู่อีกหรือ? ”

        “พระชายาโยวอ๋อง ท่านกล่าวอันใดนะพ่ะย่ะค่ะ? ”

        องครักษ์ฟังไม่เข้าใจนัก

        ซูจิ่นซีระงับความโกรธเอาไว้ในใจ พยายามทำใบหน้าให้มีรอยยิ้มไร้เดียงสา “ไม่มีอันใด ไม่มีอันใด! ” จากนั้นซูจิ่นซีก็เห็นว่าเพลิงไหม้จากหอพระไตรปิฎกฝั่งนั้นได้ลุกลามมาทางนี้แล้ว “เจ้าหากำลังคนมาจำนวนหนึ่ง ตรวจสอบเสียหน่อยว่ายังมีคนที่รอดชีวิตอยู่หรือไม่ แล้วโยกย้ายคนทั้งหมดออกไปให้ได้ ทางนั้นยังมีฮูหยินอยู่อีกสองถึงสามนาง จะต้องปกป้องให้ปลอดภัย”

        “พ่ะย่ะค่ะ! ”

        ก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีได้วางยาผงชนิดหนึ่งไว้ที่พระวรกายของฮองเฮาแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ซูจิ่นซีและฮองเฮาปรึกษากันไว้ล่วงหน้า ดังนั้นการเดินทางออกมายังวัดพุทธฝ่าครานี้ เป็นเพียงหลุมพรางเพื่อไล่งูออกจากถ้ำของซูจิ่นซีซึ่งก่อนหน้านี้นางได้เข้าวังไปปรึกษากับฮองเฮา

        หากเป้าหมายของผู้มาเยือนคือการลอบสังหารฮองเฮา เช่นนั้นผู้มาเยือนจะต้องเป็นผู้มีฝีมือสูงส่งเป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน ทว่าซูจิ่นซีได้วางแผนรับมือกับพวกเขาไว้แล้ว

        หากผู้มาเยือนต้องการเพียงจับตัวฮองเฮาไป เช่นนั้นซูจิ่นซีก็จะใช้วิธีสะกดรอยตาม และจับผู้ที่อยู่เบื้องหลังออกมาให้ได้

        ผู้มีฝีมือที่ล่วงหน้าไปก่อนท่านนั้น ได้นำคนบางส่วนไปรับมือกับผู้ที่ควบคุมผีดิบติดพิษแล้ว ตอนนี้ซูจิ่นซีกับผู้มีฝีมือคนอื่นๆ กำลังนำคนที่เหลือบางส่วนตามหาผู้ที่ลักพาตัวฮองเฮาไป

        ยาผงที่บรรจุอยู่ในตัวฮองเฮามีน้ำหนักอยู่พอสมควร เมื่อฮองเฮาถูกผีดิบติดพิษพาตัวไป พระองค์ก็จะใช้นิ้วบีบถุงยาผงให้แตกละเอียด เมื่อพวกเขาผ่านไปที่ใด ยาผงนั้นจะกระจัดกระจายออกมา ระบบถอนพิษของซูจิ่นซีก็จะสามารถค้นหายาผงนั้นได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

        ทว่าเมื่อพวกซูจิ่นซีเดินไปถึงหุบเขาหลังวัดพุทธฝ่า ก็ได้หยุดลงอย่างกระทันหัน

        “พระชายาโยวอ๋องเกิดอันใดขึ้น?”

        “ยาผงที่บรรจุอยู่ในตัวฮองเฮาสิ้นสุดลงตรงนี้แล้ว”

        ไม่น่าเป็นไปได้!

        แม้ว่าด้านหน้าจะเป็นหุบเขา ทว่าในอากาศยังมีละอองของผงยาอยู่เช่นกัน แล้วเหตุใดจึงไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย

        ซูจิ่นซีสังเกตบริเวณโดยรอบอีกครั้ง พบว่าตำแหน่งที่พวกตนอยู่เหมือนจะมียาผงเป็นจำนวนมาก ซูจิ่นซีเดินตามการแจ้งเตือนของระบบถอนพิษไป คาดไม่ถึงว่าจะพบกับถุงยาผงที่นางบรรจุไว้ในตัวฮองเฮาก่อนหน้านี้

        นี่มันเกิดอันใดขึ้น?

        หรือว่าจะถูกอีกฝ่ายพบเข้าแล้ว?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset