สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 31 หญิงชราในยุคโบราณช่างเลอะเทอะเสียจริง

        ซูจิ่นซีต้องการผลักเยี่ยโยวเหยาออกไป ทว่าร่างกายของนางนั้นเล็กเกินไป เป็นไปได้ยากที่นางจะหนีรอดจากใต้ร่างของเยี่ยโหยวเหยา ซูจิ่นซีจึงได้แต่กัดฟันทนอย่างโกรธเคือง

        ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกลาหล เขาแนบชิดร่างกายและดูดเลือดจากลำคอของซูจิ่นซีอย่างตะกละตะกลาม

        ซูจิ่นซีไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ ทว่าในความชานั้นกลับมีความรู้สึกดีแปลกๆ กระจายอยู่รอบตัว

        ไม่ทราบว่าซูจิ่นซีหมดสติไปเมื่อใด เนื่องจากการสูญเสียเลือดจำนวนมากเกินไปเช่นเดียวกับคราวที่แล้ว

        เมื่อตื่นขึ้นมา แสงดวงอาทิตย์สาดส่องจากนอกหน้าต่างผ่านเข้ามายังด้านใน สว่างไสวไปทั่วทั้งห้องใต้หลังคา

        เยี่ยโยวเหยาออกไปแล้ว

        ใบหน้าของซูจิ่นซีซีดเซียว นางรู้สึกหน้ามืดวิงเวียนศีรษะ ขาอ่อนแรงเมื่อก้าวลงจากเตียง ระหว่างทางด้านหน้าดูราวกับมืดสนิทไปเสียหมด ซูจิ่นซีจึงซวนเซล้มลงบนพื้น

        แม้จะเป็นหมอพิษ ทว่านางก็พอเข้าใจความรู้พื้นฐานทั่วไปในด้านการแพทย์อยู่บ้างว่าที่ตนมีอาการอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด เพราะเนื่องมาจากอาการเสียเลือดที่มากเกินไป

        เจ้าของร่างเดิมคือคุณหนูเจ็ดแห่งสกุลซู แม้ว่าสกุลซูจะไม่ใช่ขุนนางที่มีชื่อเสียงเท่าใดนัก ทว่าก็ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวย เพียงแต่เจ้าของเดิมเกิดมาโง่เขลา นอกจากนี้นางยังเคยถูกวางยาพิษด้วยพิษเรื้อรังมาก่อน เช่นนั้นร่างกายจึงยิ่งทรุดโทรมเข้าไปใหญ่

        เยี่ยโยวเหยาดูดเลือดของซูจิ่นซีถึงสองครั้ง ซูจิ่นซีเสียเลือดมากจนหมดสติไปทุกครั้ง แม้แต่บุรุษที่แข็งแกร่งก็ไม่สามารถทนกับการเสียเลือดมากในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซูจิ่นซีด้วยซ้ำ

        นางเข้าใจดี หากตนเป็นเช่นนี้ต่อไป ผลที่ตามมาต้องร้ายแรงเป็นอย่างมากแน่นอน

        “เยี่ยโยวเหยาสมควรตาย! ”

        ซูจิ่นซีสาปแช่ง ดิ้นรนที่จะยืนขึ้น จู่ๆ ก็ได้กลิ่นไก่ตุ๋นที่เย้ายวนชวนน้ำลายสอ คล้ายกับอาหารตุ๋นยาจีนที่ได้รับประทานบ่อยในยุคปัจจุบัน

        ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากด้วยความอยากกิน เสียงหัวเราะของแม่นมฮวากระทบเข้ามาในหูของนาง

        “พระชายา ตื่นแล้วหรือเพคะ! ความคิดของท่านอ๋องนั้นแม่นยำเสียจริงๆ บอกว่าพระชายากว่าจะตื่นได้ก็คงตอนพลบค่ำ เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ทีเดียว นี่ก็พลบค่ำแล้วพระชายามาตื่นได้เวลาพอเหมาะพอดีเสียจริง”

        “เยี่ยโยวเหยา? ”

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว

        “ใช่เพคะ! ” แม่นมฮวายิ้มอย่างชั่วร้าย “ท่านอ๋องก็อยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์แล้วและมีเพียงพระชายาผู้เดียวที่อยู่ในจวน ต้องโทษที่ผ้าม่านกั้นในห้องสรงน้ำนั้นค่อนข้างบางไปเล็กน้อย จึงไม่ได้ใคร่ครวญอย่างรอบคอบว่าจะสามารถเห็นเรือนร่างของพระชายาเพคะ ทว่าความรักของท่านอ๋องที่มีต่อพระชายาก็ไม่น้อยเลยทีเดียว”

        ซูจิ่นซีรู้ดีว่าแม่นมฮวากำลังเข้าใจผิดคิดว่าตนร่วมหลับนอนกับเยี่ยโยวเหยา ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้จะทำได้อย่างไรกัน

        “แม่นมฮวา ความจริงแล้ว ระหว่างข้ากับท่านอ๋อง…… ”

        ซูจิ่นซียังไม่ทันได้พูด แม่นมฮวาก็ขัดจังหวะนางขึ้นมาเสียก่อน แม่นมฮวายิ้มอย่างแจ่มใสราวกับว่ารู้ทุกอย่างอยู่ในใจตน

        “พระชายา ท่านไม่ต้องพูดอันใดมากเพคะ แม่เฒ่าอย่างข้าน้อยเข้าใจดี! ”

        ซูจิ่นซีจับหน้าผากของตนอย่างจนใจ

        “แม่นมฮวา ท่านเข้าใจว่าอย่างไรหรือ? ”

        แม่นมฮวายิ้มราวกับว่าเป็นนางโจร ใบหน้าของหญิงชราแดงก่ำเล็กน้อยเอนตัวแนบใบหูของซูจิ่นซีและพูดเสียงเบา “ท่านกับท่านอ๋องเป็นคนคนเดียวกันแล้วเพคะ บางครั้งเมื่อฟืนแห่งไฟรักลุกโหมอย่างควบคุมไม่อยู่และยากที่จะหลบหนีเช่นนี้ ทุกคนล้วนผ่านมาหมดแล้ว ข้าน้อยเข้าใจทุกอย่าง ไม่ต้องกังวลเรื่องสุขภาพเลยเพคะ พวกท่านยังเป็นหนุ่มสาว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแม่นมผู้นี้อยู่นะเพคะ! ท่านอ๋องรู้ว่าพระชายาปรนนิบัติท่านจนเหนื่อยจึงให้พ่อบ้านไปหาซื้อไก่แก่สิบตัวมาจากด้านนอกโดยเฉพาะ ทั้งยังคัดเลือกโสมอายุร้อยปีที่มีคุณภาพดีจากห้องเก็บนำมาต้มน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมให้ท่านดื่ม ฝีมือแม่นมอย่างข้าน้อยมั่นใจเหลือเกินว่าท่านดื่มเข้าไปหนึ่งชามต้องดื่มชามที่สองต่ออีกเป็นแน่…”

        แม่นมฮวายิ้มปิดปากอย่างเขินอาย “ดื่มชามที่สองแล้ว ครั้งต่อไปหากปรนนิบัติรับใช้เอาใจท่านอ๋อง รับรองว่าท่านทั้งสองจะแข็งแรงและมีชีวิตชีวาเหมือนปลาได้น้ำ ไม่สามารถหยุดความปรารถนาได้เป็นแน่เพคะ! ”

        “แม่นมฮวา! ”

        ซูจิ่นซีเกือบจะกระโดดลงจากเตียง

        ไร้สาระเกินไปหรือไม่?

        หากไม่ได้มายังยุคโบราณนี้ก็คงไม่รู้ เมื่อได้มาที่นี่จึงรู้ว่าหญิงชราที่อยู่ในพระราชวังเลอะเทอะเพียงใด ถ้าในยุคปัจจุบันต้องเรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งการแสดงศิลปะระดับกินเนสส์บุ๊ค [1] เลยทีเดียว

        แก้มของซูจิ่นซีถูกแผดเผาราวกับกุ้งขาวต้มสุก รู้สึกร้อนมากจนสามารถปิ้งไข่ไก่ไว้ด้านบนได้

        ทว่าเมื่อได้มองดูซูจิ่นซีที่เป็นเช่นนี้แล้ว แม่นมฮวากลับยิ่งปลื้มใจ

        “พระชายา น้ำแกงไก่ตุ๋นโสมอายุกว่าร้อยปียังอุ่นอยู่บนเตาเล็กๆ ที่ชั้นล่าง! ข้าน้อยจะไปยกขึ้นมาให้พระชายาดีหรือไม่เพคะ? ”

        ไม่รอให้ซูจิ่นซีได้ตอบ แม่นมฮวายิ้มร่าแล้วลงไปยังชั้นล่าง ไม่นานก็ยกน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมชามใหญ่ขึ้นมา

        “พระชายาเพคะ น้ำแกงไก่ตุ๋นโสมนี้ต้องดื่มตอนร้อนๆ ที่ยังอุ่นอยู่บนเตา หากพระชายาดื่มไม่พอ ข้าน้อยจะไปยกขึ้นมาให้อีกเพคะ”

        ซูจิ่นซีมองดูน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมที่แม่นมฮวานำมาให้แล้วเกือบจะน้ำตาไหลด้วยความรู้สึกมากมายภายในใจ

        น้ำแกงไก่ตุ๋นโสมอายุกว่าร้อยปี!

        ชีวิตน้อยๆ ช่างใช้มันอย่างหรูหราเสียจริง

        ในยุคปัจจุบัน โสมร้อยปีราคาหลักแสนกระทั่งหลักล้าน บางครั้งแม้จ่ายเงินไปแล้วก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าที่ซื้อมาเป็นของจริงหรือไม่ น้ำแกงชามนี้ ไม่นึกว่าจะได้ดื่มเข้าไปหลายแสนหรือหลายล้านหยวน

        หรูหราเสียจริง!

        หากไม่ใช่เพราะว่าตนเองประสบอุบัติเหตุตายแล้วข้ามภพกลับมาเกิดอีกครั้ง ซูจิ่นซีก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่หรูหราได้เช่นนี้

        “พระชายาเพคะ! ”

        แม่นมฮวาเห็นนัยน์ตาที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาของซูจิ่นซีที่จ้องน้ำแกงไก่โสมในมือโดยไม่พูดจาอันใดอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่านางคงประหลาดใจที่ถูกเยี่ยโยวเหยาโปรดปรานเป็นพิเศษเช่นนี้

        “พระชายา ท่านอ๋องทรงรักท่านมาก เพียงพระชายาคอยปรนนิบัติรับใช้ท่านอ๋อง ภายภาคหน้าก็จะยิ่งทรงรักและเมตตามากกว่านี้อีกเพคะ! ”

        เรื่องระหว่างนางกับเยี่ยโยวเหยา อยากจะอธิบายและก็ไม่ทราบว่าจะอธิบายอย่างไรให้แม่นมฮวาเข้าใจ ดังนั้นสำหรับความเข้าใจผิดและความคิดเห็นของแม่นมฮวา ซูจิ่นซีจึงตัดสินใจที่จะนิ่งเงียบไว้

        ซูจิ่นซีหยิบชามจากมือของแม่นมฮวาขึ้นดื่มเต็มคำ ภายในใจคิดว่า แม้จะใช้วัตถุดิบที่ดีนำมาปรุงอย่างอร่อยเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็คงทำได้ไม่เหมือนแน่นอน

        แม่นมฮวาจู่ๆ ก็พูดว่า “พระชายา ค่อยๆ ดื่มช้าๆ นะเพคะ แล้วก็ทรงดื่มให้มากหน่อย ท่านอ๋องทรงกล่าวว่าคืนนี้ท่านคงจะไม่มาแล้ว ทว่าจะประทับอยู่ที่ตำหนักฝูอวิ๋น รอให้พระชายาไปปรนนิบัติพระองค์ที่ตำหนักฝูอวิ๋นเพคะ! ”

        ซูจิ่นซีเกือบจะพ่นน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมในปากของนางออกมา

        “ปรนนิบัติ? ”

        แม่นมฮวาหุบปากแล้วยิ้มกริ่ม “ท่านอ๋องทรงกำชับกับพวกข้าน้อยหลังออกจากเรือนอวิ๋นไคไปเมื่อตอนบ่ายว่า รอหลังจากพระชายาตื่นจากบรรทมในตอนค่ำแล้วเสวยน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมเรียบร้อย ก็ให้พระชายาไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักฝูอวิ๋นเพคะ”

        “แม่นมฮวา ท่านหยุดคาดเดาเรื่องราวอันใดไปตามอำเภอใจตนเองได้หรือไม่เล่า คิดไปเช่นนั้นอาจทำให้คนกลัวตายได้เลยเชียว! ”

        เยี่ยโยวเหยาบอกเพียงแค่ว่าให้นางไปที่ตำหนักฝูอวิ๋น ไม่ได้บอกว่าต้องไปทำสิ่งใด นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหญิงเฒ่าผู้นี้ถึงได้มีความคิดที่มากมายยิ่งนัก เหตุใดจะต้องนึกไปถึงเรื่องบนเตียงด้วยเล่า

        นอกจากนี้ ผู้อื่นอาจจะยังไม่เข้าใจ ทว่านางเองเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเยี่ยโยวเหยาแล้ว บัดนี้เยี่ยโยวเหยาเป็นอ๋องที่มีอำนาจที่สุดในแคว้นจงหนิง เป็นพี่น้องเพียงผู้เดียวที่รอดชีวิตหลังจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเสด็จขึ้นครองบัลลังก์ ช่างมีฐานะสูงศักดิ์ยิ่งนัก และยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีกด้วยเกียรติอันทรงคุณค่าพอที่จะลงมาโปรดสรรพสัตว์ทั้งหมายให้ได้เป็นบุญตา!

        นางผู้ที่ไร้ตัวตน ไม่มีภูมิหลัง เป็นเพียงสตรีที่ไม่มีฐานะ เยี่ยโยวเหยาจะชายตาแลได้อย่างไรกัน!

        การได้เป็นข้ารับใช้ยังห่างไกลจากฐานะของนางเสียอีก!

        แม่นมฮวาดูเหมือนว่าจะมองความคิดของซูจิ่นซีออก

        “พระชายาเพคะ ท่านต้องมั่นใจในตนเอง แม้ว่าร่างกายของท่านจะยังไม่เติบโต ทว่าแม่เฒ่าผู้นี้สามารถใช้ยาบำรุงท่านได้ ยิ่งท่านเติบโตมากขึ้นเท่าไร รูปโฉมของท่านก็จะยิ่งงดงามมากขึ้นเท่านั้น! เท่าที่ข้าน้อยได้พบเจอมาในเมืองตี้จิงนี้ โอ้! ไม่สิ ท่านนับเป็นหนึ่งในแคว้นจงหนิง ท่านไม่ทราบหรือว่าคนภายนอกพูดถึงท่านว่าอย่างไร ต่างกล่าวขานกันว่าท่านเกิดมาโง่เขลานั้นไม่เป็นความจริง ที่ท่านหน้าตาอัปลักษณ์ก็ไม่เป็นความจริง แท้จริงแล้วท่านมีจิตใจที่บริสุทธิ์ รูปโฉมดั่งนางฟ้านางสวรรค์เช่นนั้นเชียวนะเพคะ”

        “แม่นมฮวา เหตุใดเจ้าจึงเหมือนพระถังซัมจั๋งถึงเพียงนี้ ไม่เบื่อบ้างหรือ! ให้ข้าได้ดื่มน้ำแกงดีๆ ได้หรือไม่เล่า”

        ซูจิ่นซีทนฟังต่อไปไม่ไหวเสียแล้ว หากแม่นมฮวายังอยู่ข้างๆ หูก็คงพร่ำบ่นต่อไป กระทั่งหูของนางใกล้จะตั้งท้องเสียให้ได้

        “ได้เพคะ ได้ พระชายาค่อยๆ ดื่มนะเพคะ ข้าน้อยจะออกไปเดี๋ยวนี้ ดื่มเสร็จพระชายาก็เรียกข้าน้อยได้เลยนะเพคะ ข้าน้อยและลวี่หลีจะมาช่วยพระชายาทรงเครื่องและพาพระชายาไปยังตำหนักฝูอวิ๋นเพคะ”

        ซูจิ่นซีโบกมือ ผู้ที่พูดได้ไม่รู้จบอย่างแม่นมในที่สุดก็ไปแล้ว หูของนางเงียบสงบลงทันใด

        หลังจากดื่มน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมแล้ว ซูจิ่นซีก็เดินไปที่หน้าต่างและมองไปยังทิศทางของตำหนักฝูอวิ๋น แสงไฟที่สว่างไสว ไม่อาจทราบได้เลยว่าเยี่ยโยวเหยาเรียกนางไปด้วยเหตุใด

        บัดนี้ตนอาศัยอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่นจึงไม่สามารถเป็นอิสระได้ เจ้าเมืองเรียกพบนางอาจหาญเสียเวลาได้หรือ นางจึงให้แม่นมฮวาและลวี่หลีช่วยตนล้างหน้า หวีผม และไปส่งที่ตำหนักฝูอวิ๋น

        ดึกดื่นค่ำคืนนี้ ไม่อาจรู้ว่าเยี่ยโยวเหยาเรียกซูจิ่นซีไปเข้าพบด้วยเหตุอันใด

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset