สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 37 ฉวยโอกาสแก้แค้น

       หมอหลวงฉู่ตกใจสูดอากาศที่เย็นเฉียบ เสียงขอร้องให้ยกโทษติดอยู่ในลำคอ เขาหมดสติไปโดยพลัน

        ทุกคนนิ่งเงียบ แม้แต่เว่ยเหม่ยเจียก็ยังยืนนิ่งข้างๆ อย่างเชื่อฟัง ปราศจากความเย่อหยิ่งใดๆ ไม่กล้าที่จะพูดอะไรสักประโยค

        หมอหลวงฉู่ถูกนำตัวออกไป ไม่นานก็เกิดเสียงกรีดร้องน่าเวทนาอย่างยิ่งมาจากด้านนอก

        ซูจิ่นซีกระตุกยิ้มที่มุมปาก เยี่ยโยวเหยาที่มองเมฆขาวจางๆ ลมพัดเบาๆ เอ่ยคำสั่งออกมา ภายในใจกระตุกเกร็ง ไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนต่างหวาดกลัวโยวอ๋องมากกว่าเหยียนอ๋องเป็นอย่างยิ่ง เขาเข่นฆ่าผู้คนได้ในพริบตา ยิ่งกว่านั้นวิธีการลงมือยังเป็นการ ‘ถลกหนังเลาะเส้นเอ็น’ วิปริตเป็นอย่างมากอีกด้วย ช่างน่ากลัวเสียจริง

        ซูจิ่นซีนึกได้กะทันหันถึงสิ่งที่ทำกับเยี่ยโยวเหยาไว้ที่สวนหลังจวนสกุลซู พอจะบอกได้เลยว่าเป็นการกระทำที่นางหลอกลวงเขาเอาไว้ไม่น้อย และก็ไม่รู้ว่าหากเยี่ยโยวเหยารู้เรื่องเข้าจะใช้วิธีการใดจัดการกับนาง

        เมื่อคิดได้เช่นนี้ แผ่นหลังของซูจิ่นซีก็เย็นวาบ แอบภาวนาอยู่ในใจ หวังเพียงว่าชั่วชีวิตของเยี่ยโยวเหยาจะไม่มีวันรู้ความจริงเรื่องนั้นตลอดไป

        ขณะกำลังคิด คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโหย่วเหยาก็ได้ลืมตาขึ้นมามองซูจิ่นซีอย่างฉับพลัน ในใจของซูจิ่นซีตกอยู่ในความหวาดผวายิ่งนัก

        ทว่าเสียง “ปัง” ทำให้นางสะบัดหัวอย่างเร็ว ไม่กล้าที่จะสบตากับเยี่ยโยวเหยา

        เยี่ยโยวเหยาลุกขึ้นหันหลังกลับแล้วเดินอย่างไม่สนใจ เมื่อเดินไปได้เพียงสองก้าวก็พบว่าไม่มีการเคลื่อนไหวของซูจิ่นซีตามมา ทันใดนั้นก็หันกลับมาพูดอย่างเย็นชา “ซูจิ่นซี เหตุใดจึงยังไม่ไปอีก? ”

        ซูจิ่นซีสะดุ้งโหยง รีบตามเยี่ยโยวเหยาไปอย่างรวดเร็วทันที

        เว่ยเหม่ยเจียมองไปยังซูจิ่นซีที่เดินตามหลังเยี่ยโยวเหยาออกไป  สองร่างที่ดูเข้ากันได้เป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจียขาวซีด กำหมัดเล็กแน่น ไม่รู้เหมือนกันว่านางไปเอาความกล้าหาญมาจากที่ใด เว่ยเหม่ยเจียรีบวิ่งพรวดไปข้างหน้าอีกครั้งเพื่อปิดทางเยี่ยโยวเหยาไว้โดยมิได้คาดคิด

        “เสด็จพี่ ท่าน… ท่านไปไม่ได้นะเพคะ! เสด็จป้ายังไม่ฟื้นเลยนะเพคะ! ”

        “ออกไปให้พ้น! ”

        เสียงอันเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาไม่มีความสงสารเลยแม้แต่น้อย

        เว่ยเหม่ยเจียเจ็บปวดใจจนโลหิตแทบจะทะลัก

        “เสด็จพี่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เสด็จพี่ต้องได้รับการยืนยันว่าเสด็จป้าพ้นอันตรายและฟื้นก่อนจึงจะสามารถไปได้เพคะ! เสด็จป้าเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดเสด็จพี่นะเพคะ! ”

        การใช้เฉินไท่เฟยมาเป็นข้ออ้างทั้งหมดเพื่อที่จะเหนี่ยวรั้งเยี่ยโยวเหยาไว้ ล้วนเป็นเจตนาที่เห็นแก่ตัวของเว่ยเหม่ยเจีย หากเยี่ยโยวเหยาประทับอยู่ที่นี่ นางก็สามารถเห็นเขาได้มากขึ้น

        ทว่าความจริงแล้วนั้น การไปจากเฉินไท่เฟยมารดาผู้ให้กำเนิด ดูเหมือนจะไม่ส่งผลกระทบอันใดต่อเยี่ยโยวเหยา เขาไม่เอ่ยสิ่งใดเลย ดวงตาเรียวราวกับคมมีดมองไปทางเว่ยเหม่ยเจียอย่างเย็นชา ไม่แยแส อันตราย และมีรังสีสังหารอย่างเต็มเปี่ยม

        เว่ยเหม่ยเจียราวกับถูกขู่จนเกือบจะร้องไห้ นางไม่กล้าที่จะขัดความคิดของเยี่ยโยวเหยา แต่กลับกล้าที่จะลงมือกับซูจิ่นซีก่อน เนื่องจากความเย่อหยิ่งทะนงตน ตลอดจนความยากลำบากที่ตนเองต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนต่อหน้าเยี่ยโยวเหยา เสียงของนางจึงบิดเบือนและแสร้งสะอึกเล็กน้อย

        “เสด็จพี่ พูดตามตรงนะเพคะ เวลานี้เสด็จป้ากลายเป็นเช่นนี้ เสด็จพี่หนีไม่พ้นความเกี่ยวข้อง ท่านควรรับผิดชอบให้ถึงที่สุดไม่ใช่หรือเพคะ? ”

        อันที่จริง แม้ว่าเว่ยเหม่ยเจียจะไม่พูด ซูจิ่นซีก็คิดจะพูดให้เยี่ยโยวเหยาอยู่ต่อเช่นกัน เพราะนางมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือมากกว่า และยิ่งไปกว่านั้นนางค้นพบสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าในตัวของเฉินไท่เฟย

        เพียงแต่ท่าทางเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาที่มีต่อเฉินไท่เฟย มารดาผู้ให้กำเนิดผู้นั้น ทำให้นางไม่มั่นใจว่านางควรจะพูดออกไปดีหรือไม่

        การถูกเว่ยเหม่ยเจียบังคับเช่นนี้ ยิ่งทำให้ซูจิ่นซีมีเจตจำนงมุ่งมั่นในการตัดสินใจมากขึ้น

        นางเดินไปอยู่ด้านข้างของเยี่ยโยวเหยา กล่าวด้วยเสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนที่ได้ยิน “ท่านอ๋อง หรือว่า ท่านยังไม่ต้องรีบไปดีหรือไม่เพคะ? แท้จริงแล้วที่เสด็จแม่ยังไม่พ้นจากอันตราย หม่อมฉันพบว่าพระนางได้รับพิษอีกชนิดหนึ่งอยู่ในร่างกายมาเป็นเวลายาวนาน มีชื่อว่าพิษกระดูกเพคะ”

        ไม่ใช่ว่าซูจิ่นซีเต็มใจที่จะให้เว่ยเหม่ยเจียใช้อำนาจคุกคาม และไม่ใช่ว่าซูจิ่นซีไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองไม่ได้มีคุณค่าความสำคัญมากพอในใจของเยี่ยโยวเหยา ทว่าอย่างที่นางบอก บนร่างกายของเฉินไท่เฟยมีพิษที่อันตรายอยู่ นั่นก็คือพิษกระดูก

        พิษกระดูก แท้จริงแล้วถือว่าเป็นพิษเรื้อรัง สามารถกัดกร่อนข้อต่อกระดูกของมนุษย์

        หากซูจิ่นซีเดาไม่ผิด เฉินไท่เฟยน่าจะพิการขาทั้งสองข้าง ไม่เอื้อต่อการเดิน เพียงแต่ว่านางไม่เคยเห็นเฉินไท่เฟยลุกยืนหรือนั่งบนรถเข็นมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นพิษชนิดนี้ยังเป็นยาพิษที่ไม่ปรากฏรูปร่าง ดังนั้นจึงไม่สามารถมองเห็นได้

        จนกระทั่งก่อนหน้านี้ที่นางดูอาการให้เฉินไท่เฟยในห้องบรรทมชั้นใน ‘ยาอันเสิน’ ที่เกิดจากพิษของหนอนกู่ใช้ร่วมกันกับ ‘ยาพูเอ๋อร์หมิ่น’ ผลของยาที่มีต่อร่างกายนั้นจึงขัดกันและกัน เมื่อหยินแย่หยางพร่องจึงกลายเป็นสิ่งที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ซูจิ่นซีถึงต้องใช้ระบบถอนพิษตรวจวัดออกมา

        เฉินไท่เฟยอาเจียนเป็นโลหิต วัตถุประสงค์ของสมุนไพรหวาสยงนำมาทำเป็นยา ‘อันเสิน’ ก็เพื่อให้พิษกระดูกนี้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนเช่นกัน สถานการณ์ค่อนข้างสลับซับซ้อน สำหรับการเป็นหมอพิษคนหนึ่ง ซูจิ่นซีไม่มีทางที่จะนิ่งดูดายฝ่าฝืนละเมิดจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างแน่นอน

        เยี่ยโยวเหยามองความรู้สึกที่แสดงผ่านดวงตาของซูจิ่นซีด้วยความชื่นชมไม่น้อย คาดไม่ถึงกับผลการวินิจฉัยของซูจิ่นซี

        ยี่สิบปีที่แล้ว เฉินไท่เฟยยังคงเป็นนางสนมอันดับต้นๆ ที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง ไม่นานหลังจากที่ให้กำเนิดเยี่ยโยวเหยา ก็มีลางบอกเหตุว่านางจะค่อยๆ สูญเสียขาทั้งสองข้างไป เวลาผ่านไปไม่นานก็สูญเสียความสามารถในการเดิน หลังจากนั้นยี่สิบปีเป็นต้นมา เฉินไท่เฟยทรงนั่งรถเข็นมาโดยตลอด

        ในปีนั้นหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงที่สามารถวินิจฉัยได้ทุกคน ล้วนหาสาเหตุเกี่ยวกับอาการโรคของเฉินไท่เฟยไม่พบว่าสาเหตุเกิดมาจากสิ่งใด ท้ายที่สุดก็เป็นบิดาของซูจิ่นซี ซึ่งก็คือหัวหน้าสำนักหมอหลวงคนปัจจุบันที่วินิจฉัยว่านางเป็นโรคข้อต่อกระดูกเท้าอักเสบ ทว่าไม่เคยเห็นผลในการรักษาเลย

        เฉินไท่เฟยยังเคยสงสัยว่าตนเองจะถูกวางยาพิษ นางแอบตามหาหมอที่มีชื่อเสียงมาตรวจและรักษาอย่างลับๆ ทว่าก็ไม่ได้ผล บางทีอาจมีผู้ที่มีวิชาการแพทย์ที่ล้ำเลิศมองออก ทว่าเพราะข้อกังวลมากมายจึงปกปิดความจริง

        ‘พิษกระดูก’ คำนี้เยี่ยโยวเหยาพึ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เขาแปลกใจอยู่เล็กน้อย

        แต่ที่น่าประหลาดใจมากกว่านั้นคือความสามารถและความกล้าหาญของซูจิ่นซี

        เนื่องจากผู้ที่ได้ยินข่าวลือในตอนนั้น อีกทั้งผู้ที่สามารถวินิจฉัยการพิการขาทั้งสองข้างของเฉินไท่เฟยอันเนื่องมาจากพิษได้ ส่วนใหญ่ก็ล้วนสามารถเดาถึงความจริงได้เช่นกัน ทว่ากลับไม่กล้าที่จะพูดได้อย่างชัดเจน

        ผู้ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ผู้นั้น ไม่ใช่คนธรรมดาที่จะสามารถตัดสินลงโทษได้

        “ท่านอ๋อง! ”

        ซูจิ่นซีเรียกสติเยี่ยโยวเหยาที่จ้องมองตนเองโดยไม่พูดสิ่งใดเลย

        “ซูจิ่นซี ดูท่าแล้วความสามารถของเจ้ามีไม่น้อยเลย ถึงแม้ตรวจพบได้ ทว่าจะมีวิธีถอนพิษหรือ? ”

        เยี่ยโยวเหยามองที่ซูจิ่นซีด้วยความสนใจ น้ำเสียงที่ถามทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกว่าเยี่ยโยวเหยาไม่เชื่อนาง

        ไร้สาระ หากไม่มีความสามารถในการถอนพิษกระดูกที่มากพอ ซูจิ่นซีจะเอาที่ไหนมากล้าโอ้อวดเล่า มิใช่ว่าเป็นการทำลายภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นของตนด้วยกำลังของตนหรอกหรือ?

        อีกอย่าง ยาพิษกระดูกนี้ก็ช่างดื้อรั้นหัวแข็งเสียจริง ถึงแม้ว่าจะเด่นขึ้นมา คุณสมบัติของยาก็จะค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน แม้ว่าจะไม่รุกรามชีวิตของเฉินไท่เฟยในทันที ทว่าก็เหมือนระเบิดเวลาที่อยู่ในตัวของนาง ไม่แน่ว่าเมื่อใดจะกำเริบออกมาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งนั่นก็สามารถคร่าชีวิตของนางได้อย่างแน่นอน นี่ช่างไม่ใช่เรื่องที่เล่นๆ เอาเสียเลย

        “ถอนก็ถอนได้ ทว่า… ”

        ซูจิ่นซีมองเยี่ยโยวเหยาแล้วเปิดปากพูดออกมาว่า

        “หืม? ”

        ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาเบิกกว้างเมื่อมองซูจิ่นซีอย่างจริงจัง

        ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากและพูดอย่างหนักแน่นว่า “ทว่าเครื่องปรุงยาจีนหาได้ยากเพคะ ข้าต้องการบัวหิมะเทียนซานที่สดใหม่มาทำเป็นส่วนผสมเพคะ”

        “เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการบัวหิมะเทียนซานมาทำเป็นส่วนผสม? ”

        ร่างกายของเยี่ยโยวเหยาเย็นลงอย่างกะทันหันเมื่อเข้าใกล้ซูจิ่นซีอีกก้าวหนึ่ง ราวกับเทพพระเจ้ามองลงมาที่ซูจิ่นซี อำนาจแรงบังคับแทบจะทำให้คนหยุดหายใจได้

        ซูจิ่นซีมองขึ้นไปหาเยี่ยโยวเหยาโดยไม่แสดงอาการอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงของนางยังคงหนักแน่นเหมือนเดิม

        “ใช่แล้วเพคะ ท่านอ๋อง! บัวหิมะเทียนซานเพคะ หากอยากถอนพิษกระดูกบนร่างของเฉินไท่เฟย ขาดส่วนประกอบหลักอย่างบัวหิมะเทียนซานไม่ได้เลยเพคะ”

        บัวหิมะเทียนซานนั้นหายาก ทว่าก็มิใช่ว่าจะไม่มี

        บัดนี้ก็มีอยู่ในมือของเยี่ยเซินไท่จื่อหนึ่งต้น

        ทุกวันนี้ ศิลปะการต่อสู้ของสกุลฮั่วเป็นอันดับต้นๆ แห่งจงหนิง พวกเขาคิดจะไต่เต้ายึดอำนาจตงกง โดยตั้งใจจะนำบุตรสาวของตนเองสมรสกับเยี่ยเซินไท่จื่อ หวังคิดที่จะเกี่ยวดองกับราชวงค์ ดังนั้นจึงมอบบัวหิมะเทียนซานหนึ่งต้นให้เป็นของกำนัลเพื่อแสดงถึงความจริงใจ เรื่องนี้ผู้คนในเมืองตี้จิงต่างรู้กันดี

        และเยี่ยเซินไท่จื่อก็คือผู้ที่เคยถูกคลุมถุงชนกับซูจิ่นซีมาก่อน เนื่องจากว่าตอนแรกซูจิ่นซีโง่เขลาเบาปัญญามาตั้งแต่เกิด หน้าตาอัปลักษณ์ เยี่ยเซินไท่จื่อจึงวางแผนยกเลิกพิธีหมั้นหมายกับซูจิ่นซี และยิ่งกว่านั้นยังผลักดันซูจิ่นซีให้กับคนโหดเหี้ยมหยิ่งทะนงที่ผู้คนต่างหวาดกลัวอย่างเยี่ยโยวเหยา

        ในเวลานั้นร่างกายของเยี่ยโยวเหยาได้รับพิษอย่างรุนแรง เป็นผู้ที่ใกล้จะตาย หากไม่ใช่เพราะดวงชะตาที่ดีของซูจิ่นซี สมุนไพรที่สวนหลังจวนสกุลซูสามารถระงับยาพิษในร่างกายของเยี่ยโยวเหยาได้ชั่วคราว ในเวลานี้กลัวเพียงว่าซูจิ่นซีจะถูกฝังร่วมกับเยี่ยโยวเหยาตามกฎมณเฑียรบาลของราชวงศ์กษัตริย์เสียแล้ว

        ความแค้นเช่นนี้  ล้วนเป็นความทรงจำที่จดจำได้ขึ้นใจ

        อย่างไรก็ตาม ในช่วงจังหวะที่สำคัญนี้กลับบอกว่านางต้องการบัวหิมะเทียนซานเพื่อทำการถอนพิษให้เฉินไท่เฟย ซูจิ่นซี เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าต้องการฉวยโอกาสแก้แค้นที่ตอนแรกเยี่ยเซินไท่จื่อทำให้อับอายขายหน้า

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset