สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 47 เยี่ยโยวเหยาหย่าภรรยา

        “กระไรนะ? ซูจิ่นซี เจ้าจะให้ไท่จื่อทำความเคารพเจ้า? หากเป็นเช่นนั้น ไท่จื่อผู้นี้จะไม่เลวร้ายไปกว่าเจ้าที่อยู่ในฐานะคนโง่หรอกหรือ? ”

        เยี่ยเซินโกรธจนแทบจะระเบิดแล้ว

        ซูจิ่นซีเห็นว่าฮ่องเต้ไม่ยอมพูดอันใด “ไม่เคารพก็ได้ เพียงแต่วันนี้หม่อมฉันร่างกายไม่ค่อยดี ยิ่งมาถูกไท่จื่ออารมณ์ไม่ดีโกรธใส่อีกเช่นนี้ จิตใจก็ยิ่งย่ำแย่ เกรงว่าโรคของฮองเฮาจะไม่หายขาด กลับจะยิ่งสร้างปัญหาอีกด้วย อยากขอให้ฝ่าบาทประธานอภัย เลือกผู้อื่นมารักษาฮองเฮาเถิดเพคะ! ”

        ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะลากเรื่องมาขนาดนี้ต่อหน้าฮ่องเต้และไท่จื่อ ซูจิ่นซีเป็นคนแรก

        นี่ก็คือศักยภาพในการปกป้องศักดิ์ศรีอย่างไรเล่า!

        ทว่าพวกที่กล้ายืนบนหัวเสือที่มีอำนาจ ไม่เคยมีเสือตัวไหนที่เชื่อฟัง

        พระพักตร์ของฮ่องเต้เป็นสีเขียว ทว่าความเกลียดชังทั่วร่างกายถูกยับยั้งไว้ เห็นได้ชัดว่าพระองค์พยายามจะไม่สั่งให้ทหารลากซูจิ่นซีออกไปประหาร

        “เซินเอ๋อร์ คุกเข่า ขอขมาให้กับอาสะใภ้ของเจ้า! ”

        “เสด็จพ่อ! ”

        เยี่ยเซินมองไปที่ฮ่องเต้อย่างไม่อยากจะเชื่อ

        “คุกเข่า! ”

        ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเข้มมองไปที่เยี่ยเซินด้วยความโกรธ

        ถึงแม้จะโกรธราวกับเสือที่เกรี้ยวกราด ทว่าหลายปีมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเซินรู้สึกว่าฮ่องเต้โกรธเขาอย่างรุนแรง ร่างกายของเขาสั่นอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้การจ้องมองของฮ่องเต้ เสียงคุกเข่าลงกับพื้นดัง “ฟุบ”

        “อา… อาสะใภ้ ข้าผิดไปแล้ว! ขอท่านทรงมีเมตตา ไม่เอามาใส่ใจ! ”

        เสียงฝาดราวกับกินผลไม้ที่ยังไม่สุกอย่างไรอย่างนั้น

        “หลานชายช่างเชื่อฟัง ลุกขึ้นเถิด! อาสะใภ้ถือว่านี่เป็นความผิดแรกของเจ้า ครั้งนี้ข้าจะไม่เอามาคิดเล็กคิดน้อยหรอก ทว่าอย่าให้มีครั้งต่อไปเล่า! ”

        มุมปากของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ

        เยี่ยเซินยืนขึ้นทันที สายตาจ้องมองไปที่ซูจิ่นซีราวกับใบมีด เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมรับ

        ซูจิ่นซี  ความแค้นครั้งนี้ ไท่จื่อผู้นี้ได้จดจำเจ้าเอาไว้แล้ว

        อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่ ตอนนี้ซูจิ่นซีก็อารมณ์ดีมาก ได้ชำระแค้นแล้วความโกรธของนางจึงบรรเทาลง

        “พระชายาโยวอ๋อง ข้าได้ทำตามข้อต่อรองของเจ้าครบหมดแล้ว หากเจ้ายังรักษาโรคของฮองเฮาไม่ได้ อย่าโทษข้าที่จวนโยวอ๋องดูหมิ่นองค์จักรพรรดิ เมื่อถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่พระชายาโยวอ๋องอย่างเจ้าเท่านั้น แม้แต่จวนโยวอ๋องกับหนานย่วนก็จะถูกลงโทษไปพร้อมกับเจ้าทั้งหมด! ”

        การแสดงออกบนใบหน้าของซูจิ่นซีที่เบิกบานใจค่อยๆ หายไปและเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น

        ไม่นาน หมอหลวงอวิ๋นหรืออวิ๋นจิ่น ที่ถูกเรียกเข้าพบก็มาถึงยังตำหนักจ้งหวา

        เหมือนกับที่หนานย่วน เมื่ออวิ๋นจิ่นเข้าประตูมา เขากลับไม่มองผู้ใด ทว่าเลือกมองมาที่ซูจิ่นซีเป็นคนแรกพร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่น

        แม้ว่าซูจิ่นซียังคงสงสัยในใจ ทว่าการรักษาฮองเฮาในตอนนี้เป็นสิ่งสำคัญกว่า สำหรับการทดสอบว่าอวิ๋นจิ่นมาจากโลกเดียวกันเหมือนนางหรือไม่นั้นยังมีโอกาสอีกมากในอนาคต

        ยังคงไว้ซึ่งกฎเดิม ตอนซูจิ่นซีรักษาโรคให้ผู้อื่นจะไม่ชอบให้มีผู้ใดอยู่ข้างๆ ดังนั้นฮ่องเต้และไท่จื่อจึงจะต้องถูกเชิญออกไป แน่นอนว่าฮ่องเต้และไท่จื่อไม่เต็มใจที่จะออกไป ทว่าหลังจากการโต้เถียงกันเล็กน้อยพวกเขาก็ยอมประนีประนอมให้

        เมื่อเหลือเพียงซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นอยู่ในห้อง ซูจิ่นซีก็ตรงเข้าประเด็นทันที “หมอหลวงอวิ๋น ข้าที่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ฝ่าบาทได้สั่งทหารให้ไปกดดันจวนโยวอ๋องกับหนานย่วนเอาไว้ รับปากว่าจะต้องรักษาฮองเฮาให้หายดี ทว่าการรักษาช่วยชีวิตไม่ใช่จุดแข็งของข้า ดังนั้นท่านจะต้องช่วยข้าแล้วละ! ”

        “พระชายาอ๋อง ท่านมองออกหรือไม่ว่าโรคของฮองเฮานั้นคือโรคใดกันพ่ะย่ะค่ะ? ”

        เมื่อถามสิ่งนี้ สีหน้าของหมออวิ๋นก็ดูกังวลเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางเองได้วินิจฉัยโรคของฮองเฮาไว้แล้ว ดูแล้วอาการคงหนักมาก เขาประหลาดใจและคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะวางเดิมพันครั้งใหญ่นี้

        ซูจิ่นซีพยักหน้า

        การแสดงออกของอวิ๋นจิ่นหนักแน่นมาก “ในเมื่อพระชายาตัดสินใจแล้ว ข้าน้อยจะต้องช่วยเหลือพระชายาอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”

        ซูจิ่นซีรู้อยู่แล้วว่าอวิ๋นจิ่นจะต้องไม่เลวอย่างแน่นอน มีบางคนที่สามารถรู้สึกไว้วางใจและคุ้นเคยแม้พึ่งพบกันครั้งแรกได้ นี่เป็นพรหมลิขิตอย่างหนึ่ง และไม่เกี่ยวข้องกับระยะเวลาที่พวกเขาจะสามารถเข้ากันได้ดีด้วย

        “หมอหลวงอวิ๋น ข้าต้องการให้ท่านช่วยตรวจสอบให้แน่ชัดว่าในท้องของฮองเฮานี้ใช่ตั้งครรภ์ปรสิต [1] หรือไม่”

        ทันใดนั้นความประหลาดใจก็แวบผ่านในดวงตาของอวิ๋นจิ่น

        แม้ว่าครรภ์ปรสิตจะไม่ผิดปกติในสมัยปัจจุบัน ทว่าในสมัยโบราณนั้นหายากยิ่ง มีหมอหลายคนที่ไม่รู้ กระทั่งสตรีที่ตั้งครรภ์แฝดนี้จะโดนมองว่าเป็นสัตว์ประหลาดหรือเป็นลางร้าย และจะถูกเผาทั้งเป็น

        “พระชายา ข้าน้อยมั่นใจว่าในท้องของฮองเฮาไม่ใช่ครรภ์เด็กและยิ่งไม่ใช่ครรภ์แฝดปรสิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

        ในทำนองเดียวกัน ซูจิ่นซีก็แปลกใจกับทักษะการแพทย์ของอวิ๋นจิ่น ในยุคที่ไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีทางที่จะใช้อัลตร้าซาวด์สำหรับการวิเคราะห์ภาพได้ หมอธรรมดาไม่สามารถที่จะตัดสินได้อย่างแม่นยำเหมือนกับอวิ๋นจิ่นผู้นี้เลย

        “ในเมื่อตัดสถานการณ์ที่ไม่ใช่ตั้งครรภ์กับครรภ์แฝดปรสิตไปแล้ว เช่นนั้นก็เหลือเพียงอย่างเดียวที่เป็นไปได้”

        “พิษตัวกู่! ”

        “พิษตัวกู่! ”

        ซูจิ่นซีกับอวิ๋นจิ่นพูดอย่างพร้อมเพรียงกัน

        แม้ว่าพิษตัวกู่จะอยู่ในหมู่ยาพิษที่ไม่ได้รับความนิยมและรักษายาก ทว่าก็เป็นแนวถนัดของซูจิ่นซี สำหรับซูจิ่นซีแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ยากสักเท่าไร

        ซูจิ่นซีดูจริงจังมากทั้งยังกางผ้าคลุมบนข้อพระหัตถ์ของฮองเฮา ดูเหมือนว่ากำลังจะตรวจชีพจรของฮองเฮา ทว่าแท้จริงแล้วนางได้เปิดใช้งานระบบถอนพิษ นางสแกนร่างของฮองเฮาอีกครั้ง วิเคราะห์พิษในร่างกายของฮองเฮาอย่างละเอียดถี่ถ้วนไปอีกขั้น

        หลังจากยืนยันเพื่อความปลอดภัยอีกครั้งว่าเป็นพิษตัวกู่จริง ซูจิ่นซีก็เก็บโลหิตของฮองเฮา ผสมผงยาและน้ำลงในจอกน้ำชาเพื่อระบุให้แน่ชัด

        ในระหว่างกระบวนการทั้งหมด ซูจิ่นซีไม่ได้ปิดบังอวิ๋นจิ่นเลย นอกเสียจากเรื่องที่เปิดระบบถอนพิษเพื่อตรวจสอบ ดูเหมือนว่าอวิ๋นจิ่นจะแสดงออกตามปกติ ทว่าดวงตาของเขามักจะส่องประกายผ่านความซับซ้อนที่ไม่สามารถมองเห็นได้โดยง่าย

        ในที่สุด ซูจิ่นซีก็ได้จัดการกับโลหิต “หมอหลวงอวิ๋น ข้ามีความมั่นใจเกินครึ่งแล้วว่าจะสามารถรักษาพิษตัวกู่ของฮองเฮาได้ ทว่าความเจ็บป่วยบน… ร่างกายของนางอื่นๆ จะต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป”

        นั่นคือพิษเหมย ถึงแม้จะอยู่ในสมัยปัจจุบันก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เร็วนัก

        “พระชายา ทุกอย่างจะต้องระวังให้มาก ดูจากส่วนท้องของฮองเฮาแล้ว เป็นพิษตัวกู่ที่มีชีวิตอยู่แน่นอน หากต้องการกำจัดพิษตัวกู่ที่มีชีวิตนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย อีกทั้งยังมีความเสี่ยงสูงอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

        แม้ว่าท่าทางของซูจิ่นซีจะมีความั่นใจในตนเองมาก ทว่าอวิ๋นจิ่นยังมีความกังวลเล็กน้อย

        ซูจิ่นซีพยักหน้า

        “ข้ารู้ งานเร่งด่วนที่สุดคือการหาวัตถุดิบยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดให้ดีขึ้น หมอหลวงอวิ๋น ท่านรู้หรือไม่ว่ายาชนิดใดมีผลลัพธ์ที่ดีกว่า? ”

        ในสมัยปัจจุบัน ยา การฉีดยา หรือการถ่ายเลือดก็สามารถทำได้ ทว่าในสมัยโบราณนี้ไม่สามารถทำสองอย่างหลังได้ จึงเหลือเพียงแต่อย่างแรกเท่านั้น นั่นก็คือยา ในมุมนี้ซูจิ่นซีไม่ค่อยเข้าใจเสียเท่าไร

        การแสดงออกของอวิ๋นจิ่นค่อยๆ จริงจังขึ้น

        “การจะนำเอาพิษตัวกู่ที่มีชีวิตออกมาจะต้องเสียเลือดจำนวนมาก เกรงว่ายาธรรมดาจะไม่ได้ผล จะต้องใช้เพียงจื่อจูเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

        “จื่อจู? ”

        “เป็นผลของต้นไม้สีม่วง เล่ากันว่าต้นไม้สีม่วงจะเติบโตบนหน้าผาของเขาคุนหลุนเท่านั้น มีเพียงต้นเดียวในโลก มันจะบานในทุกๆ สิบห้าปี ออกผลในยี่สิบห้าปี และสุกในสี่สิบเก้าปี โดยออกผลครั้งละหนึ่งผลเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

        สวรรค์! แท้จริงแล้วมีผลไม้วิเศษมากมายในโลกนี้ หากทำสำเร็จจริง ซูจิ่นซีก็ถือว่ามีประสบการณ์ที่ยาวนานแล้ว

        “สมุนไพรชนิดนี้เกรงว่าจะหายากแล้ว กว่าจะโตเต็มที่ใช้เวลานานมาก ในโลกใบนี้มีจริงหรือไม่ก็ไม่มีผู้ใดทราบ มียาอื่นที่จะใช้ทดแทนได้อีกหรือไม่? ”

        อวิ๋นจิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว

        “เครื่องปรุงยาจีนอื่นๆ ก็มีเพียงเออเจียว หญ้าเสินเสี่ยน ยาช่วยการแข็งตัวของเลือดซึ่งมีประสิทธิภาพน้อยกว่าจื่อจูมากนัก สถานการณ์ของฮองเฮาค่อนข้างพิเศษ หากเปลี่ยนไปใช้ยาอื่นเพื่อให้เลือดแข็งตัว พระชายาจะมีความมั่นใจมากน้อยเท่าใดพ่ะย่ะค่ะ? ”

        เออเจียว หญ้าเสินเสี่ยน ยาช่วยการแข็งตัวของเลือดพวกนี้ซูจิ่นซีเคยได้ยินมาก่อน แล้วก็รู้คุณสมบัติของยาด้วยเช่นกัน หากใช้ของเหล่านี้ นางไม่มีแม้แต่ความมั่นใจใดเลย

        ดูแล้วจะต้องใช้จื่อจูที่อวิ๋นจิ่นพูดแล้วละ

        ทว่าจื่อจูนี้แปลกมาก จะหามันได้จากที่ไหน?

        คงจะดีหากเยี่ยโยวเหยาอยู่ที่นี่ตอนนี้ด้วย เขาช่างพิเศษมากเสียขนาดนั้น ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่นางต้องการเครื่องปรุงยาใดก็ไม่ลำบากเขาเลย หากไปหาเขาล่ะก็จะต้องมีวิธีแน่

        ซูจิ่นซีคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก นางกำลังคิดถึงเยี่ยโยวเหยา คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาก็มาถึงแล้ว

        “กระหม่อมถวายบังคมเสด็จพี่! ”

        เสียงของเยี่ยโยวเหยาดังมาจากนอกประตู

        ทว่าในเวลาเดียวกันก็มีอีกเสียงที่ทำให้ซูจิ่นซีปวดหัวมากเช่นกัน

        “ซูจิ่นซีเล่า? ให้นางออกมา นางคิดว่าตนเองเป็นเทพเซียนต้าหลัวที่มีอำนาจสามารถทำสิ่งใดก็ได้อย่างนั้นหรือ? คาดไม่ถึงว่าจะกล้ากดดันจวนโยวอ๋องและหนานย่วนเพื่อรักษาโรคของฮองเฮา นางช่างสร้างความลำบากเสียจริง ทูลฝ่าบาท สติของซูจิ่นซียังไม่ฟื้นดี นางพูดจาไร้สาระ นางไม่รู้ทักษะทางการแพทย์เลย ไม่สามารถที่จะรักษาโรคของฮองเฮาได้หรอกเพคะ ท่านอย่าเชื่อนางเด็ดขาดนะเพคะ”

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว จับขมับอย่างอดไม่ได้ ช่วงสถานการณ์คับขันเช่นนี้ เฉินไท่เฟยมาก่อกวนสร้างปัญหาอันใดกันอีก!

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset