สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 49 ท่านอ๋องโปรดสนับสนุน

        เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใดอีก เขาเดินตรงไปที่ด้านนอกของตำหนักจ้งหวาทันที

        เมื่อมองดูเงาอันเยือกเย็นแข็งแกร่งที่ห่างออกไป ซูจิ่นซีก็ราวกับกลายเป็นปีศาจ นางทิ้งทุกคนไว้ด้านหลังและไล่ตามเยี่ยโยวเหยาออกไปทันที

        “ซูจิ่นซี เจ้ากลับมาหาไท่เฟยเดี๋ยวนี้! ”

        “พี่สะใภ้ ท่านไม่รักษาโรคของฮองเฮาแล้วหรือ? ”

        “พระชายา! ”

        ในขณะที่ซูจิ่นซีกำลังจะหายไปจากสายตาของทุกคน นางก็หันศีรษะกลับไปแล้วกล่าวว่า “หมอหลวงอวิ๋น ท่านช่วยข้าดูแลฮองเฮาก่อน ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด! ”

        จากนั้นก็ไม่มีความคืบหน้าอันใดอีก นางทำเป็นไม่รับรู้สิ่งใด แล้วเดินตามเยี่ยโยวเหยาออกไป

        “ท่านอ๋อง ท่านรอหม่อมฉันหน่อยสิเพคะ ท่านอ๋อง… ท่านอ๋อง… ”

        เมื่อถึงหน้าประตูวัง ซูจิ่นซีก็ตามเยี่ยโยวเหยาได้ทัน

        “ท่านอ๋องพวกเราจะไปที่ใดกันหรือเพคะ? ”

        “ไปหาจื่อจู! ”

        จื่อจู?

        ซูจิ่นซียืนงงไปพักใหญ่ ดูเหมือนว่านางจะยังไม่ทันได้พูดเรื่องจื่อจูกับเยี่ยโยวเหยาเลยนี่!

        แล้วเขารู้ได้อย่างไรกัน?

        “ท่านอ๋อง คนของเราสอบถามมาได้ว่าจื่อจูนั้นจะถูกประมูลในตลาดมืดในวันนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นข้าน้อยจึงนำสาส์นลับมาส่งมอบให้ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”

        สาส์นลับ?

        เดิมทีก่อนหน้านี้ที่เยี่ยโยวเหยาไม่ยอมพูดในตำหนักจ้งหวามาโดยตลอด และไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกับคำถามของนางเลยแม้แต่น้อย ก็เพราะเขากำลังสื่อสารอย่างลับๆ กับสายสืบที่อยู่ห่างไกลเองหรอกหรือ!

        ดูเหมือนว่าสายสืบของเยี่ยโยวเหยาในตำหนักจ้งหวาจะได้ยินการสนทนาของนางกับอวิ๋นจิ่นและไปรายงานเขา ดังนั้นเขาจึงจัดการทุกอย่างไว้นานแล้ว

        “เยี่ยโยวเหยา ท่านจะหล่อเกินไปแล้ว! ”

        ซูจิ่นซีตื่นเต้นดีใจ นางโอบแขนของเยี่ยโยวเหยา

        ทว่าเยี่ยโยวเหยาดูเหมือนกับสัมผัสถูกไฟฟ้า และสลัดซูจิ่นซีทิ้งไป

        การทรงตัวของซูจิ่นซีไม่ค่อยดีนัก เมื่อถูกสลัดทิ้งนางจึงกระเด็นออกไป ดวงตาเห็นว่าจะชนกับด้านหลังของสิงโตหินแล้ว แม้แต่ทหารที่ประตูวังก็ยังประหลาดใจและตกตะลึงในอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีคิดว่าตนเองในครั้งนี้คงจะจบสิ้นแล้ว ทว่าคิดไม่ถึงว่าทันใดนั้นดวงตาของนางกลับมืดลงทันที ความเจ็บปวดที่คาดคิดกลับไม่ส่งผ่านมายังนาง แท้จริงแล้วนางไม่ได้ชนเข้ากับสิงโตหิน ทว่าชนเข้ากับอ้อมกอดที่แสนเย็นชาแทน

        พระอาทิตย์ยามอัสดงเปรียบดั่งโลหิต เฉกเช่นไหมสีแดงที่ผสานกับแสงอันงดงาม สาดส่องลงบนใบหน้าด้านข้างของเยี่ยโยวเหยา

        ให้ตายเถิด ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาจนไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปของเยี่ยโยวเหยาอย่างใกล้ชิดนั้น ซูจิ่นซีล้วนมองอย่างมิได้ตั้งใจราวกับสติหลุดลอย

        นี่มันช่าง… หน้าขายหน้าเสียจริง!

        เพียงแต่เยี่ยโยวเหยาไม่ให้เวลาซูจิ่นซีได้ ‘บ้าผู้ชาย’ มากเกินไป!

        ทันทีที่รับซูจิ่นซีได้ด้วยความเร็วอันยอดเยี่ยม เยี่ยโยวเหยาก็พยุงตัวนางให้ยืนตรงและปล่อยมือในชั่วพริบตา

        ภายในใจของซูจิ่นซีพลันเกิดความว่างเปล่าที่อธิบายไม่ได้

        ทว่าทหารอารักขาเฝ้าประตูวังที่ห่างไกลออกไปกลับจ้องมองมาด้วยความประหลาดใจ

        สวรรค์!

        นั่นเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่?

        โยวอ๋องผู้ที่ไม่เคยใกล้ชิดสตรี ผู้ที่ไม่เข้าใจความเมตตาสงสารแม้แต่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมารับสตรีที่กำลังจะล้มลงผู้นั้นด้วยตนเอง

        ที่แท้ข่าวลือนั้นก็เป็นเรื่องจริง!

        โยวอ๋องรักและโปรดปรานพระชายาของเขาจริงๆ !

        เยี่ยโยวเหยายังคงเย็นชาเหมือนเดิม และยังคงไม่พูดอันใด เขาหันหลังกลับไปขึ้นรถม้า

        “พระชายาเชิญพ่ะย่ะค่ะ! ”

        องครักษ์คุ้มกันเชิญให้ซูจิ่นซีขึ้นรถม้า

        องครักษ์คุ้มกันผู้นี้ซูจิ่นซีจำได้ ก่อนหน้านี้มีครั้งหนึ่งตอนที่เยี่ยโยวเหยากลับจวน เขาก็ได้พาองครักษ์ผู้นี้มาด้วย ได้ยินแม่นมฮวาบอกว่าเขาชื่อฉินเทียน เป็นหัวหน้าองครักษ์ที่มีฐานะตัวตนที่สำคัญอยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยา

        ในเมื่อเขาให้ซูจิ่นซีขึ้นรถม้า นั่นก็อาจเป็นความต้องการของเยี่ยโยวเหยา

        ซูจิ่นซียิ้มให้เขาแล้วก้าวขึ้นรถม้าไป

        รถม้าเคลื่อนไหวด้วยความเรียบนิ่งตลอดทาง พวกเขาเดินทางเป็นเวลานานกว่าจะหยุดอยู่ที่ทางเข้าร้านขายเครื่องประดับในตรอกหนึ่ง

        เยี่ยโยวเหยาลงจากรถม้าแล้วมุ่งตรงเข้าไปในร้านเครื่องประดับ

        ซูจิ่นซีงงงวยอยู่บ้างเล็กน้อย ไม่ใช่ว่ามาหาจื่อจูหรอกหรือ?

        ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะไปที่ร้านขายยาสิ เหตุใดจึงมาที่ร้านขายเครื่องประดับเล่า?

        หรือว่าเยี่ยโยวเหยาอยากซื้อเครื่องประดับ?

        ทว่าในไม่ช้า ซูจิ่นซีก็รู้ว่านางกำลังคิดมากเกินไป ทันใดนั้นนางก็ได้เห็นการกระทำฉากหนึ่งที่ทำให้นางตกใจมาก

        ฉินเทียนก้าวไปข้างหน้าและพูดบางอย่างที่แปลกมากกับเถ้าแก่ร้านเครื่องประดับ หลังจากนั้นเถ้าแก่ก็พาพวกเขาไปที่สวนหลังบ้านเป็นการส่วนตัว ที่นั่นมีประตูลับอยู่ ซึ่งมันนำไปสู่ชั้นใต้ดิน

        ชั้นใต้ดินนั้นเป็นตลาดมืดที่ฉินเทียนพูดไว้ก่อนหน้านี้

        ครั้งนี้ ซูจิ่นซีนับมันว่าเป็นประสบการณ์เปิดหูเปิดตาที่ยอดเยี่ยมมากเช่นเดียวกัน

        คาดไม่ถึงว่าร้านเครื่องประดับเล็กๆ ธรรมดา ทว่าในชั้นใต้ดินกลับเป็นอีกโลกหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นนกกระจอกตัวเล็ก ทว่าอวัยวะครบสมบูรณ์ [1] ด้านบนมีสิ่งใด ที่นี่ล้วนมี สิ่งใดที่ด้านบนไม่มีทางสร้างได้ ทว่าที่นี่สร้างได้

        “เถ้าแก่! ที่นี่ของพวกเจ้ายอดเยี่ยมมาก! ” ซูจิ่นซีกล่าวชม

        “ที่นี่นับว่าเป็นสิ่งใด หอจิ่วเทียนเป็นผู้นำในทางนี้ของพวกเรา”

        “หอจิ่วเทียน? ”

        ซูจิ่นซีอยากเข้าใจมากขึ้น ฉินเทียนกระแอมไอขึ้นมาทันใด เถ้าแก่ผู้นั้นจึงไม่ยอมเอ่ยปากพูดอันใดอีก

        “ในเมื่อพวกท่านสามารถหาที่นี่พบก็ควรจะเข้าใจกฎของที่นี่ ผู้ที่มาไม่ว่าจะมีฐานะใด ไม่ว่าจะยากจนหรือต่ำต้อย ทว่าเมื่อออกจากที่นี่แล้ว จะต้องเก็บความลับทุกอย่างของที่นี่ไว้และไม่แพร่งพรายออกไป”

        ฉินเทียนพยักหน้า เถ้าแก่ผู้นั้นก็ไม่พูดอันใดให้มากความอีก เขาหันหลังเดินกลับไปที่ทางเดิม

        หลังจากนั้นก็มีคุณชายหน้าตาอ่อนช้อยเดินถือพัดเข้ามาตรงหน้าพวกเขา ชายผู้นี้รูปโฉมภายนอกดูทั้งเจ้าเล่ห์และสง่างาม ทว่าเมื่อก้าวเข้ามาใกล้ สีหน้าที่แสดงออกของเขาก็จริงจังขึ้นในทันที

        “ข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง พระชายา องครักษ์ฉิน! ”

        “สถานการณ์ของสนามประมูล เจ้าสอบถามมาอย่างชัดเจนแล้ว? ” ฉินเทียนถาม

        “ข้าน้อยเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว วันนี้จะมีประมูลสิ่งของสามชิ้น ชิ้นแรกคือหม้อหยกสองหูจากราชวงศ์โจวตะวันตก ชิ้นที่สองคือสิ่งที่ท่านอ๋องกับพระชายาตามหา นั่นก็คือสมุนไพรจื่อจู และชิ้นที่สามคือกำไลหนึ่งวง”

        ซูจิ่นซีอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความเลื่อมใส คาดไม่ถึงว่าสถานที่นี้จะมีคนเช่นเยี่ยโยวเหยาอยู่ สมควรที่จะเป็น ‘อำนาจเหนือโลก’ อย่างแท้จริง!

        คุณชายหน้าตาอ่อนช้อยได้พาพวกเขาทั้งสามคนไปยังสนามประมูล สถานที่แห่งนี้แตกต่างจากบ่อนการพนัน งานแสดงสินค้าอัญมณี งานเขียนพู่กัน และงานระบายสีโบราณในโลกที่นางจากมา ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีผู้คนทยอยเข้ามามากมาย

        ในกระแสคนที่หลั่งไหลไป พวกเขาทั้งสามคนล้วนถูกเบียดเสียดจากฝูงชน จนกระทั่งได้นั่งลงในตำแหน่งที่เป็นมุมที่ดีซึ่งแสดงให้เห็นทั้งลานการประมูล

        เวลาผ่านไปไม่นาน เถ้าแก่ของสถานที่ประมูลแห่งนี้ก็เดินขึ้นมายังเวที เขาตีค้อนเล็กๆ แล้วการประมูลก็เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ

        ซูจิ่นซีพบว่าแท้จริงแล้วกฎการประมูลของสมัยโบราณกับสมัยปัจจุบันล้วนไม่ต่างกันเท่าไร เพียงเสนอราคา ชูป้ายเพื่อระบุว่าใครเสนอราคาสูงสุด และสิ่งของที่ประมูลได้ก็จะตกเป็นของคนผู้นั้น

        สิ่งของชิ้นแรกคือหม้อหยกสองหูจากราชวงศ์โจวตะวันตก ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาต่างไม่ได้ให้ความสนใจหรือใส่ใจมันเท่าใดนัก ในที่สุดมันก็ถูกประมูลไปในราคาห้าหมื่นตำลึง

        รายการประมูลชิ้นที่สองคือจุดประสงค์ของการเดินทางมาที่นี่ของเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี นั่นก็คือ ‘จื่อจู’

        “แขกผู้มาเยือนทุกท่าน ต่อจากนี้ไป สิ่งที่พวกเรานำมาประมูลนั้นเป็นสมุนไพรที่มีอยู่น้อยมาก นั่นก็คือจื่อจู คาดว่าผู้ที่อยู่ในทางสายนี้คงทราบดีว่า มีต้นจื่อเพียงต้นเดียวเท่านั้นในโลกใบนี้ที่สามารถให้ผลจื่อจูได้ ต้นจื่อนั้นจะเติบโตเพียงบนหน้าผาสูงชันของภูเขาคุนหลุนเท่านั้น และจะบานในสิบห้าปี ออกผลในยี่สิบปี และสุกในสี่สิบเก้าปี ซึ่งการออกผลของต้นจื่อนั้น จะให้ผลครั้งละหนึ่งผลเท่านั้น เมื่อนับดูแล้วต้องใช้เวลานานถึงแปดสิบเอ็ดปีจึงจะนับว่าเป็นการเติบโตของต้นจื่อต้นนี้”

        แม้ว่าคนที่มาประมูลในครั้งนี้จะเข้าใจถึงพื้นฐานที่มาของผลจื่อจูที่จะถูกประมูลในครั้งนี้ ทว่าพวกเขาก็อดที่จะทอดถอนใจไม่ได้เมื่อได้ยินการแนะนำของเถ้าแก่

        เพราะว่าจื่อจูนั้นมีค่ามาก

        “เริ่มการประมูลสิ่งของชิ้นที่สอง เปิดที่ราคาห้าหมื่นตำลึง! ยกป้ายได้”

        หม้อหยกสองหูใบแรกกล่าวกันว่าถูกใช้โดยองครักษ์เสื้อแพรในราชวงศ์โจวตะวันตก ราคาเริ่มต้นถึงห้าพันตำลึง ในที่สุดก็ขายได้ในราคาห้าหมื่นตำลึงโดยไม่คาดคิด ทว่าคาดไม่ถึงว่าราคาเริ่มต้นของผลจื่อจูนั้นคือห้าหมื่นตำลึง ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่ายานี้มีค่ามากจริงๆ

        แม้มันจะมีค่ามากเพียงใดก็มักจะมีคนให้ราคาที่สูงขึ้น

        “ข้าให้หกหมื่น! ”

        “ข้าให้หกหมื่นห้า! ”

        “ข้าให้แปดหมื่น! ”

        “ข้าให้หนึ่งแสน! ”

        “หนึ่งแสนห้าหมื่น! ”

        “สองแสน! ”

        “สามแสน! ”

        ……

        “ห้าแสน! ”

        “หนึ่งล้าน! ”

        ในไม่ช้าราคาก็พุ่งสูงขึ้นถึงหนึ่งล้าน ในใจของทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความลำพองและความตื่นเต้น รวมถึงซูจิ่นซีด้วย

        การละเล่นทุบเงินนี่มันช่างสนุกสุดยอดจริงๆ

        ทว่าในขณะที่กำลังสนุกสนาน ซูจิ่นซีก็ตระหนักถึงประเด็นที่ร้ายแรงอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่ง

        ในระหว่างขั้นตอนของการต่อสู้ราคานั้น ซูจิ่นซียังคงขึ้นเสียงของนางแข่งขันกับผู้อื่น ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับทำราวกับคนที่ไม่สนใจเรื่องอันใดเสียอย่างนั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย!

        ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางไม่มีเงิน!

        ไม่ต้องพูดถึงเงินที่มากกว่าหนึ่งล้านตำลึง แม้แต่หนึ่งร้อยเหรินหมินปี้ [2] ก็ไม่มี

        ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าจะแปลงหน่วยสองหน่วยนี้อย่างไร  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้แม้ว่านางจะขายแรงงานค้ำประกันก็ไม่มีค่ามากมายถึงเพียงนั้น

        “หนึ่งล้านสองแสน! ”

        “หนึ่งล้านสามแสน! ”

        ……

        ราคายังคงเพิ่มขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เยี่ยโยวเหยาก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว

        จื่อจูเป็นสิ่งที่ซูจิ่นซีต้องการใช้เพื่อรักษาฮองเฮา แต่จะว่าไปแล้ว ความจริงเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเยี่ยโยวเหยาเลยสักนิด

        ทว่าเขาคงจะมิใช่ไม่สนใจจริงๆ หรอกกระมัง?

        “เยี่ยโยวเหยา! ”

        ซูจิ่นซีพูดกับเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่รู้สึกเกรงใจ

        “ตนเองเป็นผู้ก่อเรื่องก็ต้องรับผิดชอบเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าเลย”

        ล้านกว่าตำลึงเชียวนะ!

        สำหรับซูจิ่นซี นั่นเป็นเงินจำนวนมากทีเดียว และเมื่อคิดดูแล้ว เยี่ยโยวเหยาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องออกเงินให้ซูจิ่นซีจริงๆ เสียด้วย!

        ทว่านางไม่มีเงิน

        ไม่มีเงินนะ!!!

        ทำอย่างไรดี?

        ทำอย่างไรดี?

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset