สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 67 ข้ารักเขา ไม่ใช่เขาก็ไม่แต่ง

        “ฮูหยินฮั่ว ความสามารถของข้านั้นตื้นเขิน แม้จะเข้าไปแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถถอนพิษให้บุตรชายของท่านได้ ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของข้าก็รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย ท่านเชิญผู้มีความสามารถท่านอื่นมาเถิด! ”

        พูดแล้วซูจิ่นซีก็ขึ้นรถม้าทันที นางสั่งให้คนขับรถม้าออกรถ

        คาดไม่ถึงว่าฮูหยินฮั่วจะกางสองแขนขวางทางด้านหน้ารถม้าของซูจิ่นซีอย่างกะทันหัน

        “พระชายา ในเมื่อท่านเห็นคนกำลังจะตาย ทว่ากลับไม่ยอมยื่นมือเข้ามาช่วย เช่นนั้นวันนี้ก็เหยียบหม่อมฉันผ่านไปเถิดเพคะ! ”

        “ฮูหยินฮั่ว ท่านกำลังข่มขู่ข้าใช่หรือไม่? ” ซูจิ่นซีโมโหแล้ว

        คนของที่นี่เหตุใดจึงล้วนเป็นเช่นนี้กันไปหมด?

        ทุกคนล้วนประจบสอพลอ

        ต้องการใช้เจ้าเมื่อใดก็ใช้ทั้งไม้นวมและไม้แข็ง [1] ไม่ว่าจะทำเช่นใดก็งัดเอาทุกวิธีการออกมาใช้กับเจ้า เมื่อไม่ต้องการใช้เจ้าแล้วก็ต่อสู้แย่งชิงกับเจ้าเสียทุกด้าน

        “หม่อมฉันมิกล้า! พระชายา หม่อมฉันขอร้องท่านเพคะ ท่านช่วยบุตรชายของหม่อมฉันด้วยเถิด! หม่อมฉันคุกเข่าให้ท่านแล้ว หากวันนี้ท่านไม่ตอบรับ หม่อมฉันก็จะคุกเข่าอยู่อย่างนี้ไม่ลุกไปไหนเพคะ”

        ฮูหยินฮั่วคุกเข่าลงด้านหน้ารถม้าอีกครั้ง

        “ท่านแม่ เหตุใดท่านต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า? แคว้นจงหนิงยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ จะไม่มีหมอท่านใดที่เก่งกว่าซูจิ่นซีแล้วหรือ? หากในจงหนิงไม่มี พวกเราก็ไปหาจากแคว้นอื่น ตงเฉิน หนานหลี ซีอวิ๋น เป่ยอี้ หากไม่ได้จริงๆ ก็ไปหาที่ไหวเจียงก็ได้ เหตุใดจะต้องร้องขอเพียงนางเท่านั้น? ”

        ซูจิ่นซีมองฮั่วอวี้เจียวกับฮูหยินฮั่ว แล้วกุมหน้าผากส่ายหน้าอย่างหมดปัญญาช่วยเหลือ

        “เจ้าหุบปาก! ”

        ฮูหยินฮั่วโกรธมาก นางตะคอกใส่ฮั่วอวี้เจียว

        “เจ้าไม่ได้ฟังที่หมอหลวงอวิ๋นพูดหรือ? หากภายในสามวันนี้ไม่สามารถถอนพิษได้ พี่ชายเจ้าก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้แล้ว เจ้าจะไปหาหมอจากที่ใด? หากคิดว่าตามหาหมอมาได้ แต่พี่ชายของเจ้าจะทนอยู่ได้ถึงตอนนั้นหรือไม่? ”

        หมอหลวงอวิ๋น อวิ๋นจิ่น?

        เขาก็อยู่ด้านใน?

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็เงยหน้าขึ้นเหลือบมองไปยังด้านในจวนสกุลฮั่ว รังสีนัยน์ตาของนางมีบางอย่างไม่ปกติ นางไตร่ตรองใคร่ครวญอยู่สักพักก็เปลี่ยนคำพูดว่า “ฮูหยินฮั่ว ท่านขอให้ข้าไม่ถือสาเรื่องที่ทำให้ข้าไม่พอใจก่อนนี้ แล้วเข้าไปในจวนเพื่อช่วยเหลือบุตรชายของท่านก็ย่อมได้ ทว่าข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”

        “เงื่อนไขอันใดเพคะ? พระชายา ตราบใดที่หม่อมฉันสามารถทำได้ ต่อให้ท่านต้องการชีวิตของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่เสียดายแม้แต่น้อย”

        ดวงตาของฮูหยินฮั่วเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง

        “ไม่ ข้าไม่อยากได้ชีวิตของท่าน”

        ซูจิ่นซีไล่นิ้วชี้และมองไปทางฮั่วอวี้เจียว

        ฮั่วอวี้เจียวนึกถึงคำพูดที่ซูจิ่นซีพูดเมื่อเดินออกจากจวนสกุลฮั่วก่อนหน้านี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ

        “ซูจิ่นซี เจ้าคิดจะทำสิ่งใด? ”

        มุมปากของซูจิ่นซียกขึ้นอย่างเย็นชา

        “คุณหนูฮั่ว ก่อนหน้านี้ข้าได้พูดกับเจ้าแล้ว ข้าออกมาจากจวนเจ้าในครานี้ หากต้องการให้ข้าเข้าไปอีก จะต้องมีของแลกเปลี่ยน ตอนนี้ข้ากำลังจะลงจากรถม้าและต้องการเก้าอี้ม้าเพื่อรองรับเท้า ให้เจ้ามาทำหน้าที่นี้ก็แล้วกัน! ”

        “กระไรนะ? ซูจิ่นซี คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะใช้อวี้เจียวมาทำหน้าที่เก้าอี้ม้ารองรับ เจ้านี่มันเกินไปแล้ว! ”

        หวาหรงจวิ้นจู่กล่าว

        สายตาเย็นเยือกของซูจิ่นซีจ้องไปยังใบหน้าที่ทั้งโกรธทั้งรู้สึกลำบากใจของฮั่วอวี้เจียวอย่างเปิดเผย

        “หวาหรงจวิ้นจู่ ข้ากำลังคุยกับคุณหนูฮั่ว หากเจ้าคิดว่าสามารถมาทำหน้าที่เก้าอี้ม้ารองรับแทนคุณหนูฮั่วได้ อาสะใภ้ก็ไม่รังเกียจ”

        “ซูจิ่นซี! ”

        หวาหรงจวิ้นจู่โกรธมาก นางก้าวไปข้างหน้ากระชากแขนเสื้อของซูจิ่นซี

        “ปล่อย! ”

        ซูจิ่นซีมองหวาหรงจวิ้นจู่อย่างเย็นชา

        “ซูจิ่นซี เจ้า… เจ้าพูดจาเช่นนี้กับข้า ซูจิ่นซีเจ้า… เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่? ”

        “ปล่อย! ”

        ซูจิ่นซีเน้นเสียงอย่างเย็นชาอีกครั้ง

        หวาหรงจวิ้นจู่ไม่คาดคิดมาก่อนว่า เมื่อซูจิ่นซีโกรธขึ้นมาจะน่ากลัวเช่นนี้ นางแทบจะเหมือนกับเสด็จอาโยวอ๋องเลยทีเดียว ทั้งร่างของหวาหรงจวิ่นจู่สะดุ้งตกใจจนตัวสั่น แม้แต่มือก็ปล่อยออกจากแขนเสื้อของซูจิ่นซีไปเองโดยไม่รู้สึกตัวเช่นกัน

        “คุณหนูฮั่ว ว่าอย่างไรเล่า? ”

        ซูจิ่นซีแทนที่ใบหน้าโกรธเกลียดด้วยรอยยิ้ม นางเลิกคิ้วมองฮั่วอวี้เจียว

        “ซูจิ่นซี ข้ารู้ว้าเจ้าตั้งใจจะตอบโต้ข้า ทว่าการให้คุณหนูใหญ่จวนสกุลฮั่วอย่างข้าทำหน้าที่เป็นม้ารองรับให้กับเจ้า เจ้าไม่กลัวว่าตนเองจะรับผิดชอบไม่ไหวหรือ? ”

        ฮั่วอวี้เจียวรู้สึกน้อยใจและโกรธแค้น ทั่วทั้งร่างกำลังสั่นเทา หากไม่ใช่เพราะบริเวณโดยรอบมีผู้คนจำนวนมากกำลังจ้องมองอยู่ ทำให้นางยังคงจำได้ว่าตนเป็นคุณหนูใหญ่ของสกุลฮั่วที่สง่างาม ไม่เช่นนั้นนางคงเผชิญหน้ากับซูจิ่นซีไปนานแล้ว

        “คุณหนูฮั่ว หากท่านไม่ยอมก็ย่อมได้ ข้าไม่ได้เอามีดจ่อคอเพื่อบังคับเจ้า…ฮูหยินฮั่ว ท่านเชิญผู้มีความสามารถท่านอื่นเถิด! ”

        หลังจากซูจิ่นซีพูดจบก็ลดม่านรถม้าลง และสั่งให้คนขับรถม้าออกรถอีกครั้ง

        “พระชายา ให้หม่อมฉันทำแทนอวี้เจียวเถิดเพคะ! หม่อมฉันยอมเป็นม้ารองรับให้พระชายา พระชายา ท่านจะต้องช่วยบุตรชายของหม่อมฉันด้วยนะเพคะ! ”

        ซูจิ่นซีไม่เข้าใจจริงๆ เหตุใดคนอย่างฮั่วอวี้เจียวถึงได้คอแข็งถึงเพียงนั้น? การปฏิบัติตัวให้อ่อนโยนเสียหน่อยมันยากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? นางยืนมองมารดาผู้ให้กำเนิดตนกล่าวถึงเพียงนี้ แต่ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน

        “ไป! ”

        ซูจิ่นซีเอ่ยสั่งอย่างเย็นชา

        “ช้าก่อน! ”

        เมื่อคนขับรถม้ากำลังยกแส้ขึ้น ในที่สุดฮั่วอวี้เจียวก็เอ่ยออกมา

        มุมปากของซูจิ่นซียกขึ้นเล็กน้อย

        “ซูจิ่นซี เจ้าพูดแล้วนะ เจ้าต้องรักษาท่านพี่ให้หาย มิเช่นนั้นแม้ข้าต้องทิ้งชีวิต ข้าก็จะไม่ยอมปล่อยเจ้าไว้แน่! ”

        ฮั่วอวี้เจียวพูดพลางเดินอย่างเชื่องช้าไปที่ด้านข้างรถม้าของซูจิ่นซีแล้วคุกเข่าลงบนพื้น

        ครู่หนึ่ง ทุกคนที่เดินผ่านประตูจวนสกุลฮั่วต่างหยุดนิ่งและตกตะลึง

        “คุณพระ! นั่นไม่ใช่คุณหนูใหญ่สกุลฮั่ว ฮั่วอวี้เจียวหรอกหรือ? นางกำลังจะทำสิ่งใดกัน? ”

        “ในรถม้านั่นเหมือนว่าจะเป็นพระชายาโยวอ๋อง”

        “นี่ฮั่วอวี้เจียวจะเป็นเก้าอี้ม้ารองรับให้พระชายาโยวอ๋องเหยียบหรือ? ”

        “ไม่ว่าอย่างไร นางก็เป็นถึงบุตรสาวของท่านแม่ทัพผู้สง่างาม จะทำเรื่องเช่นนั้นโดยไม่คำนึงถึงเกียรติของตนเองได้อย่างไร ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียจริง”

        “นางมีสิ่งใดที่ต้องขอร้องพระชายาโยวอ๋องกระมัง? ”

        “ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สมควรทำเรื่องน่าขายหน้าเช่นนั้น! ได้ยินมาว่าฮั่วอวี้เจียวก็ชอบโยวอ๋องเช่นกัน นางเอาใจพระชายาโยวอ๋องเช่นนั้นเพื่อที่จะแต่งงานกับโยวอ๋องใช่หรือไม่? นี่ยังไม่ทันได้เข้าจวนไปก็ถูกภรรยาหลวงเหยียบไว้ใต้เท้าเสียแล้ว สตรีเช่นนี้จะคู่ควรกับโยวอ๋องได้อย่างไรกัน”

        “เป็นความปรารถนาของนางกระมัง? โยวอ๋องได้คิดหรือไม่ว่าจะรับนางเข้าจวน ยังไม่แน่นอนเสียด้วยซ้ำไป! ”

        “โอ้ย ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว แม้แต่ข้าผู้ที่เพียงผ่านทางมา มองแล้วก็หน้าแดงไปหมด”

        ฮั่วอวี้เจียวคุกเข่าลงกับพื้น นางมองเห็นคนข้างทางซุบซิบนินทา น้ำตาแห่งความคับข้องใจไหลวนอยู่ในดวงตา ทว่านางพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อยับยั้งไม่ให้ตนเองล้มลง ร่างกายยังคงสั่นเทาไม่หยุด

        ผ่านไปนาน การพูดคุยของฝูงชนก็ค่อยๆ สงบลง ทุกคนกำลังเฝ้าดูรถม้าที่อยู่ข้างหน้าฮั่วอวี้เจียว รอคอยที่จะได้เห็นซูจิ่นซีในรถม้าก้าวลงมาเหยียบบนหลังของคุณหนูฮั่วอย่างภาคภูมิว่าจะเป็นภาพเหตุการณ์เช่นใด

        ทว่านานแล้วซูจิ่นซีก็ไม่ขยับ

        ครู่ใหญ่หลังจากนั้นซูจิ่นซีก็สูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง “ลวี่หลี! ”

        ลวี่หลีรีบวิ่งไปอีกด้านหนึ่งของรถม้า ซูจิ่นซีจับแขนของลวี่หลีก้าวลงมาจากรถม้า

        ทันใดนั้นผู้คนจำนวนมากก็รู้สึกได้ว่า เดิมทีซูจิ่นซีก็งดงามราวกับนางฟ้า ทว่าชั่วพริบตากลับเปล่งประกายดั่งแสงสว่างสะท้อนโชติช่วงไปรอบทิศทางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่องแสงเจิดจ้าจนทำให้ผู้คนไม่สามารถลืมตาได้

        ฮั่วอวี้เจียวคุกเข่าลงกับพื้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าซูจิ่นซีสามารถเหยียบฮั่วอวี้เจียวเพื่อลงจากรถม้าได้อย่างภาคภูมิ หยิ่งผยอง และแสดงตนเหนือว่ากว่าได้ ทว่านางก็ไม่ได้กระทำเช่นนั้น

        ด้วยวิธีนี้ดูเหมือนว่าฮั่วอวี้เจียวจะเป็นฝ่ายที่ทิ้งศักดิ์ศรีของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกปล่อยให้ร่วงหล่นลงสู่เถ้าธุลี ขณะที่ซูจิ่นซียิ่งมีเกียรติ สง่างาม และยิ่งใหญ่

        ฮั่วอวี้เจียวลุกขึ้นยืนและมองไปทางซูจิ่นซีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

        ซูจิ่นซีเดินอ้อมรถม้าไปด้านข้างของฮั่วอวี้เจียว นางโน้มตัวลง ถามด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงนางสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน

        “เจ้ารู้หรือไม่ หากวันนี้ข้าเป็นเจ้า ข้าจะทำอย่างไร? ”

        ฮั่วอวี้เจียวมองไปยังซูจิ่นซีด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ

        “หากเป็นข้า ข้าจะไม่พาตนเองมาถึงขั้นนี้อย่างแน่นอน”

        ซูจิ่นซีพูดด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน ทว่าฮั่วอวี้เจียวกลับคิดว่าไม่เข้าตาเป็นอย่างยิ่ง รอยยิ้มนั้น ท้ายที่สุดก็เป็นการเหยียดหยามนางยิ่งกว่าการหัวเราะเยาะเสียอีก

        “ซูจิ่นซี ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าไม่ยอมปล่อยท่านอ๋องไปแน่ ข้ารักเขา ชีวิตนี้หากไม่ใช่เขา ข้าก็จะไม่แต่งงาน”

        ซูจิ่นซีที่เดินไปทางจวนสกุลฮั่วหยุดชะงักอย่างกะทันหัน ทว่าไม่ได้หันกลับมา

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset