สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 3 เสแสร้ง

        ใบหน้าของตาแก่ซูจ้งนิ่งงัน มองซูจิ่นซีด้วยความไม่เชื่อ ทว่าชั่วครู่เท่านั้นเขาก็ลืมไปว่าเท้าของตนที่จะยกถีบเมื่อสักครู่ยังคงค้างอยู่กลางอากาศ

        ซูจิ่นซียิ้มอย่างเย็นชาที่มุมปากของตนและพลิกซูจ้งลงกับพื้นด้วยร่างของนางเพียงคนเดียว

        เสียงที่เย็นชาตำหนิแม่นมจางเสียงเข้ม “มัวงงอยู่ทำไม? ยังไม่รีบช่วยแก้มัดข้าอีกหรือ? ”

        แม่นมจางยืนอยู่ที่ประตูถูกเสียงดุของซูจิ่นซีเรียกสติ แต่ก็ไม่กล้าจะทำตามคำสั่งที่ซูจิ่นซีพูด ถึงอย่างไรคุณหนูใหญ่ก็เป็นคนสั่งให้มัดนาง แม่นมจางที่กำลังลำบากใจเป็นอย่างยิ่งมองไปทางซูเซียนฮุย

        ซูเซียนฮุยตกตะลึงนิ่งค้างไปเหมือนกับคนอื่นๆ มองด้วยความยากที่จะเชื่อ ปกติน้องเจ็ดผู้โง่เขลาอย่างซูจิ่นซีจะต้องถูกกดขี่รังแก เดิมทีไม่เคยเห็นสักครั้งจะร้องขอให้แม่นมจางลำบากใจ

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง “ทำไมละ? แม่นมจาง… เวลานี้คุณหนูอย่างข้าถึงขนาดที่ว่าบ่าวไพร่ยังเรียกใช้ไม่ได้แล้วสินะ? หรือว่าอยากให้ข้าไปร้องเรียกคนที่จวนไท่จื่อแก้มัดให้แทน? ”

        ในบรรดาทุกคนซูเมิ่งเหยาบุตรสาวคนที่สี่ของสกุลซู มีปฏิกิริยาตื่นจากอาการตะลึงเร็วที่สุดและสามารถเข้าใจเหตุการณ์ได้อย่างทันท่วงที นางรีบเดินไปที่ด้านหลังของซูจิ่นซีแล้วแก้มัดให้อย่างรวดเร็ว

        “น้องเจ็ดอย่าพึ่งโกรธไป ไม่ใช่ว่าแม่นมจางไม่ฟังคำสั่งของเจ้า นางเพียงแค่ตกใจที่อาการป่วยของเจ้าหายแล้วกระมัง มาเถิดพี่จะแก้มัดให้เจ้าเอง! ”

        เมื่อพูดจบ จากนั้นนางก็ปลดเชือกที่อยู่บนตัวของซูจิ่นซี อีกทั้งเอียงซ้ายมองขวาตั้งแต่หัวจรดเท้า

        “ไหนน้องเจ็ดให้พี่ดูหน่อยสิ ถ้าอาการป่วยของเจ้าดีแล้ว เช่นนั้นก็คงไม่เป็นเหมือนเช่นเดิม”

        ซูเมิ่งเหยาคนนี้เดิมทีเกิดในจวนของอนุ มารดาของนางด่วนจากไปเร็ว ทว่าด้วยซูเมิ่งเหยาที่ยังใช้ชีวิตผู้เดียวมาตลอด คนเช่นนี้แน่นอนว่ายากที่จะมองด้วยสีหน้าและความรู้สึกออก

        ซูจิ่นซีเพียงยิ้มให้นางแต่ก็ไม่เอ่ยวาจาหรือเข้าใกล้มากจนเกินไป

        ตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่ในห้องโถงเริ่มรู้สึกตัวจากคำพูดสองประโยคของซูเมิ่งเหยาที่เรียกสติขึ้นมาบ้างแล้ว

        ซูเซียนฮุ่ยพูดขึ้นทันที “น้องเจ็ด ในเมื่ออาการป่วยของเจ้าหายดีแล้วก็ควรที่จะไปบอกฝ่าบาทให้ทราบเรื่องการตายของท่านพี่สักหน่อย แม้ว่าอนาคตเจ้าจะเป็นพระชายาของไท้จื่อ ทุกคนล้วนเท่าเทียม ท้ายสุดไม่แน่ว่าฝ่าบาทอาจจะมีโทษไปกับเจ้าด้วย”

        แม้ว่าด้วยเวลานี้นางเองก็มีสัมพันธ์กับไท้จื่อ ยิ่งไม่ควรพูดถึงซูจิ่นซีในฐานะอนาคตพระชายาองค์รัชทายาท ทว่าเวลานี้ดีที่สุดก็เห็นจะมีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่สามารถนำมาต่อรองเพื่อโยนความผิดให้ซูจิ่นซีได้ ซูเซียนฮุยกล่าวอย่างไม่เต็มใจพร้อมกับกำหมัดแน่นด้วยความเกลียดชัง

        ทุกเมื่อเชื่อวันอนุซุนแห่งสกุลซูที่เข้าไปตีสนิทใกล้ชิดกับฮูหยินฮั่วซื่อและซูเซียนฮุยเพื่อจะประจบประแจงพวกนาง และเมื่อสบโอกาสจึงเริ่มใส่ไฟซูจิ่นซีทันที

        “ข้าว่านะ! คุณหนูเจ็ดที่ปกติก็เล่นสนุกสนานบ้าๆ บอๆ ไปทั่ว ทว่านางก็ไม่มีความกล้าพอที่จะฆ่าใครหรอก เดิมทีไม่ใช่ว่าป่วยอยู่หรือ? จะฆ่าใครสักคน คนปกติต่างหากที่สามารถฆ่าได้ อีกทั้งยังต้องมีความกล้าหาญมากเสียด้วย! ”

        “แต่จะเป็นไปได้อย่างไร! ไม่เพียงแต่จะกล้าฆ่าคน ยังกล้าลักลอบคบชู้ด้วย! คาดไม่ถึงว่าจะเกลี่ยกล่อมเก่งจนถึงหลานชายของฮูหยิน เฮ่อ… หากแต่จะเป็นไปได้ว่าแสร้งโง่มานานแล้ว แท้จริงนั้นนางอดทนรอคอยเวลานี้มาตลอด”

        อนุสกุลซูอีกคนรีบกล่าวเสริมขึ้น

        ซูเซียนฮุยได้ยินท่านน้าทั้งสองพูดคล้ายคล้อยตาม ริมฝีปากยิ้มขึ้นอย่างชอบใจ

        “ท่านพ่อ ท่านน้าทั้งสองพูดไม่ผิด เมื่อก่อนน้องเจ็ดโง่เง่า บ้าๆ บอๆ แม้ทำเรื่องให้สกุลซูของเราเสื่อมเสียอยู่บ้างทว่าเวลานั้นนางป่วยเราจึงไม่สามารถกล่าวว่านางได้ แต่ตอนนี้นางได้ทำสิ่งนั้นออกมาด้วยความเห็นแก่ตัวไม่รู้จักรักตนเอง นัดพบผู้อื่นส่วนตัวในยามวิกาล แถมยังฆ่าใครบางคนในภายหลัง หากท่านพ่อไม่จัดการเรื่องนี้อย่างเป็นกลาง วันหลังถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปนอกจวน ไม่เพียงแต่เสียหน้าท่านพ่อ ยังจะเสื่อมเสียถึงสกุลซูทั้งสิบแปดรุ่นของเราด้วย”

        “เซียนฮุย อย่าพูดจาไร้สาระ จิ่นซีไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวของเจ้า นางอาจผิดบ้าง ก็เพราะว่าขาดวินัยการอบรมสั่งสอน! ”

        ซูจิ่นซีระบายสีหน้าแสดงความสะใจเงียบๆ แต่ภายในใจกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

        “ท่านพี่ฮั่วซื่อช่างมีเมตตาเสียจริง กระทั่งตอนนี้ยังจะปกป้องลูกวัวตัวนี้อีก เวลาที่นางฆ่าหลานชายของท่าน นางยังจำได้หรือไม่ว่าท่านเป็นแม่ของนาง ประมุขซูเป็นบิดาของตน นางเคยคิดถึงความกรุณาของท่านกับท่านพี่ซูจ้งบ้างหรือไม่เล่า”

        อนุซุนเผยธาตุแท้ของตนและใส่ความซูจิ่งซีอย่างต่อเนื่อง

        ขณะที่นางพูดก็ค่อยๆ มองไปที่สีหน้าของซูจ้ง เมื่อเห็นใบหน้าของซูจ้งจึงรู้ทันทีว่าแท้จริงคำพูดของนางเปรียบเสมือนคลื่นใต้น้ำที่รอปะทุฝั่ง จึงคิดจะใส่ความให้มากขึ้นกว่าเดิม

        “จะต้องใช้คำพูดนี้อีกแล้วสินะ อนาคตคนของเราจะเป็นถึงชายาขององค์รัชทายาท! เมื่อครู่พึ่งพูดเองไม่ใช่หรือว่า คิดทำร้ายคนของราชวงศ์มีโทษอาญาที่สกุลซูไม่อาจชดใช้ได้ เช่นนี้แล้วท่านพี่ซูจ้งจะกล้าทำนางได้อย่างไร”

        คำพูดสองคำนี้ของอนุซุน แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าซูจ้งที่เป็นประมุขตระกูลจะโกรธเกรี้ยวขึ้นมามากเท่าใด

        “ซูจิ่นซี เจ้าดีขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเก็บงำไว้ไม่พูด”

        คาดไม่ถึงว่าจะเรียกซูจิ่นซีชื่อนี้ออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อคำพูดของคนเหล่านั้นทั้งหมดโดยที่ไม่แสวงหาความจริงใดๆ จากเจ้าตัว และในเมื่อเป็นเช่นนี้สำหรับคำว่า ‘ท่านพ่อ’ ของซูจิ่นซีแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร

        “ในเมื่อจิ่นซีหายดีแล้ว เหตุใดจะกล้าเอาเปรียบท่านพี่หญิงได้ลงคอล่ะ!”

        ซูจิ่นซีพูดขึ้นและมองไปที่ซูเซียนฮุยด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

        รอยยิ้มนั้นทำให้ใจซูเซียนฮุยไม่สงบเอาเสียเลย แต่นางก็พยายามระงับเรื่องภายในใจเอาไว้แล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า

        “ซูจิ่นซี เจ้าอย่าได้ทำตัวเหมือนหมาจนตรอกแล้วมาแว้งกัดข้า! ”

        ซูจิ่นซีไม่สนใจแล้วพูดต่อ “ถ้าไม่ใช่เพราะพี่หญิงใหญ่ทำเพื่อไท่จื่อแล้วให้ข้ากินยาสลบไป ข้าจะถูกคนใหญ่คนโตช่วยไว้ทันได้อย่างไร กระทั่งต้องใช้กำลังภายในพยายามขับพิษออกจากร่างกาย บังเอิญไปเจอจุดหนึ่งในร่างกายเลยทำให้ข้าฟื้นขึ้นมาได้ หรือว่าเรื่องนี้ข้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณพี่ใหญ่กันเล่า”

        อนุซุนและคนอื่นๆ ไม่แม้แต่จะสนใจเรื่องพวกนี้ ทว่าซูจิ่นซีพูดอย่างชาญฉลาด ซูเซียนฮุยกับพวกแม่นมทั้งหลายที่เอายากรอกปากให้นางดื่ม แท้ที่จริงคือยาปลุกกำหนัดแต่นางก็เลี่ยงพูดว่าเป็นยาสลบ เพื่อจะยุติเรื่องยุ่งยากที่จะตามมาไม่จบสิ้น

        แน่นอนว่าซูเซียนฮุยทำเรื่องพวกนี้ ฮั่วซื่อทราบดีทั้งหมด เมื่อฟังซูจิ่นซีเล่าเรื่องที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ออกมาก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด ทั้งยังตะคอกกลับว่า

        “ซูจิ่นซี เจ้าเด็กโง่ หยุดพล่ามวาจาไร้สาระเสียที! ”

        ถึงแม้จะเป็นภาพหน้าซื่อใจคดที่นางแสร้งทำเมื่ออยู่ต่อหน้าฝูงชน ทว่าฮั่วซื่อก็ไม่อาจอดทนสงบจิตใจของตนต่อไปได้ นางตะโกนใส่ซูจิ่นซีแล้วยังเรียกนางโดยไม่ใช้ชื่อแซ่ นับว่าเป็นเรื่องที่อัปยศต่อภาพลักษณ์ของฮูหยินอย่างนางที่สุดในชีวิต ยิ่งกว่านั้นยังทำตัวเช่นคนชั้นต่ำที่ชอบกล่าวว่าผู้อื่นลับหลัง

        พอรู้สึกตัวอีกที ทุกคนที่ได้ยินคำพูดพวกนั้นไปหมดจะแก้ตัวก็ไม่ทันเสียแล้ว นางแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายให้รู้แล้วรู้รอด

        เสแสร้งอย่างที่คาดคิดไว้ไม่มีผิด…

        “ทำไมกัน ท่านแม่ไม่เชื่อข้า หรือว่าอยากให้จิ่นซีเล่าด้วยว่าท่านพี่หญิงใช้วิธีอะไรบ้างหลอกล่อว่าที่พระสวามีของข้าหลังจวนสกุลซูนี่ ใช้วิธีอะไรที่แบกว่าที่พระสวามีของข้าให้ข้าดื่มยาสลบ แล้วใช้วิธีอะไรส่งข้าไปที่ห้องของฮั่วหยูที่ถูกยาปลุกกำหนัดเช่นเดียวกันกับข้า จะต้องให้ข้าพูดต่อหน้าผู้คนที่ละคนๆ ดีหรือไม่”

        ซูจิ่นซีมองไปที่ฮั่วซื่อด้วยความเกลียดชัง

        เมื่อซูจิ่นซีเลือกที่จะพูดเรื่องราวเหล่านี้ออกมาว่าเรื่องทั้งหมดซูเซียนฮุยเป็นคนทำ เมื่อเรื่องราวกลับตาลปัตรไม่เป็นไปดั่งใจหมาย นางเองก็ไม่สามารถหาเหตุผลใดมาหักล้างได้เลย และในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นด้วยความอับอายเมื่อเรื่องราวทุกอย่างถูกเหมือนเปิดโปงต่อหน้าผู้คนมากขนาดนี้

        ซูจ้งไม่อยากจะเชื่อเลย เพราะในความทรงจำของตนตลอดมาซูเซียนฮุยคือลูกสาวที่สมบูรณ์แบบ ไม่คิดเลยว่าจะกล้ากระทำเรื่องเช่นนี้ “จิ่นซี เรื่องทั้งหมดที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ”

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset