สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 15 กลัดกลุ้มใจกับน้องสาว ‘ในนาม’

     ในเวลาต่อมา ซูจิ่นซีจึงพบว่าไม่มีสตรีใดในจวนโยวอ๋องนี้สักคน ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่นางกำนัลสักคนก็ไม่มีเสียด้วยซ้ำ

        สตรีวัยกลางคนที่รับใช้นางเมื่อคืนนี้มีเพียงสตรีแซ่ฮวา นางเคยเป็นนางกำนัลในตำหนักหลวงของเยี่ยโยวเหยามาก่อน เดิมทีนางเกษียณอายุแล้วกลับไปอยู่บ้านเกิด ทว่าพ่อบ้านเฒ่ากลัวว่าซูจิ่นซีจะไม่ได้รับความสะดวกสบายเมื่ออาศัยอยู่ที่นี่ เพราะไม่มีนางกำนัลคอยปรนนิบัติ พ่อบ้านเฒ่าจึงขอให้เยี่ยโยวเหยาพาแม่นมฮวามาที่จวนโดยเฉพาะ

        นับจากวันอภิเษกสมรสที่โยวอ๋องพาซูจิ่นซีมายังจวนด้วยตนเองและนางก็ถูกดูดเลือดนั้น ซูจิ่นซีก็ไม่เคยได้เห็นเยี่ยโยวเหยากลับมาอีกเลย ดูเหมือนว่าเวลาจะผ่านมาสองวันเต็มๆ แล้ว

        ซูจิ่นซีนอนอยู่บนเตียงที่ว่างเปล่ารู้สึกอิดหนาระอาใจจนต้องพลิกตัวไปมา นางจึงนึกถึงเรื่องระบบถอนพิษและศึกษาค้นคว้าพิษทั้งสองที่ตรวจพบในร่างกายของเยี่ยโยวเหยา

        จู่ๆ แม่นมฮวาก็รีบเดินตรงผ่านประตูเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก

        “พระชายา คุณหนูเหม่ยเจียมาหาเพคะ! ”

        ตั้งแต่ครั้งแรกที่ซูจิ่นซีได้พบกับแม่นมฮวา ซูจิ่นซีก็มั่นใจได้ในทันทีว่าแม่นมฮวาเป็นนางกำนัลที่ซื่อสัตย์และไว้ใจได้ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดก็ไม่แสดงสีหน้าจนเกินงาม ผู้ที่ทำให้นางแสดงอารมณ์บนใบหน้าได้ถึงเพียงนี้แสดงว่าจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

        “คุณหนูเหม่ยเจียหรือ? ”

        แม่นมฮวาเล่าเรื่องฐานะและที่มาของคุณหนูเหม่ยเจียคร่าวๆ

        ปรากฏว่าบุคคลที่มาเยี่ยมคือเว่ยเหม่ยเจีย นางเป็นหลานสาวของสนมเฉินไท่เฟย ผู้เป็นมารดาของเยี่ยโยวเหยา จึงถือเป็นลูกพี่ลูกน้องของเยี่ยโยวเหยา ด้วยบุคลิกที่น่ารักของเหม่ยเจีย นางจึงเป็นที่รักของสนมเฉินไท่เฟยเป็นอย่างยิ่ง นางเติบโตมากับสนมเฉินไท่เฟยจึงถือว่าเป็นผู้มีหน้ามีตาเลยทีเดียว

        อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงข้อมูลเล็กน้อยเท่านั้น

        สำหรับข้อมูลที่ลึกกว่านี้นั้น……

        ซูจิ่นซีเคยอ่านนิยายจีนโบราณที่มีเครื่องแต่งกายจีนสมัยอดีต การแต่งงานของญาติสนิทไม่เข้มงวดเหมือนในสมัยปัจจุบันเท่าไรนัก จากประสบการณ์ของนางที่ผ่านการดูละครและอ่านหนังสือมาแล้วนั้น หญิงสาวประเภทที่มักถูกเลี้ยงมาในจวนด้วยฐานะญาติ ‘ในนาม’ จะต้องมีความชื่นชอบในบุรุษจากจวนเดียวกันอยู่บ้าง

        ตอนนี้ซูจิ่นซีเข้ามาในจวนของโยวอ๋องได้สองวันแล้ว ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่สตรีนางนี้มาเยือนจวน มาเวลาไหนไม่มา กลับมาตอนที่เยี่ยโยวเหยาไม่อยู่

        ราวกับเป็นการมาเยี่ยมในฐานะคู่แข่งทางความรัก ต้องไม่ได้มาดีเป็นแน่!

        แม้ว่าซูจิ่นซีจะคิดว่าตนเองไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ กับเยี่ยโยวเหยา ทว่าตั้งแต่วันอภิเษกสมรสที่ซูจิ่นซีจำเป็นต้องเข้ามาอาศัยยังจวนโยวอ๋อง และยังคงอาศัยอยู่ที่นี่มาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะในสายตาของคนนอกหรือในสายตาของลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ อย่างไรเสียนางก็เป็นพระชายาของโยวอ๋องแล้ว

        นี่ไม่นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ในศึกแห่งความรักหรอกหรือ?

        ซูจิ่นซียิ้มเบาๆ ที่มุมปาก

        “เชิญนางเข้ามา! ”

        แม่นมฮวาไม่พูดอันใดมาก นางรีบเปิดประตูเพื่อเชิญผู้นั้นเข้ามา

        เว่ยเหม่ยเจีย ชื่อแซ่ก็คงแสดงธาตุแท้ในตัวตน

        ชุดเครื่องแต่งกายโปร่งแสงสีเหลืองที่ดูสง่างามและสูงส่ง ทว่าไม่สูญเสียจิตวิญญาณแห่งความเยาว์วัย เมื่อนางก้าวผ่านประตูห้องเข้ามา ก็ส่งเสียงราวกับเสียงของระฆังทองแดง

        “พี่สะใภ้ ท่านอย่าพึ่งลุกขึ้นขยับตัวเลยนะเจ้าคะ ถือว่าข้าเป็นคนกันเองอย่าได้มากพิธีกับข้านักเลย เดิมทีท่านก็ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว หากการต้อนรับน้องสาวเช่นข้าจะทำให้ท่านต้องเจ็บตัวอีก เช่นนั้นข้าคงจะต้องละอายใจมากเป็นแน่! ”

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้วขณะที่นางมองดูเสื้อผ้าสีเหลืองลอยอยู่ด้านหน้าของตน เดิมทีนางก็ไม่นึกที่จะขยับตัวอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องนึกถึงเรื่องที่ว่าจะลุกขึ้นไปต้อนรับด้วย!

        อีกอย่างได้รับบาดเจ็บที่กระดูกเช่นนี้ นางจะสามารถขยับได้อย่างไร?

        เว่ยเหม่ยเจียเห็นว่าซูจิ่นซีนอนนิ่งขมวดคิ้วอยู่บนเตียง นางก็ไม่ได้รู้สึกเคอะเขินหรืออึดอัดใจอันใด อีกทั้งยังเดินไปเปิดหน้าต่างด้วยตนเอง

        “เอ๋ ข้ารับใช้พวกนี้ไม่รู้วิธีปรนนิบัติหรืออย่างไร อากาศร้อนเช่นนี้ยังไม่รู้จักเปิดหน้าต่างรับลมให้พี่สะใภ้อีก หากทำให้พี่สะใภ้อึดอึดขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า กลับไปข้าจะต้องอบรมคนพวกนี้เสียหน่อย”

        ด้วยการกระทำและคำพูดของเว่ยเหม่ยเจียที่ราวกับจะถือตนว่าเป็นนายหญิงของจวนโยวอ๋อง อีกทั้งยังทำตัวราวกับว่านางคุ้นเคยดี พูดสิ่งใดก็ราวกับจะมีผลไปเสียหมด

        แม่นมฮวามองลูกพี่ลูกน้องหญิงของท่านอ๋องผู้นี้ด้วยสายตาเบื่อหน่าย สีหน้ายิ่งนานเข้าก็ยิ่งไม่ดีเท่าที่ควร

        ปากของซูจิ่นซีกระตุกก่อนพูด

        “วันนี้อากาศไม่ดีนัก เพราะเมื่อวานตอนกลางคืนฝนตกหนัก ข้าเกรงว่าตนเองจะเป็นหวัด”

        เว่ยเหม่ยเจียชะงักไปพักหนึ่งอย่างไม่เก้อเขินใดๆ นางเดินไปปิดหน้าต่างแล้วกลับไปที่เตียงของซูจิ่นซี

        “พี่สะใภ้ ท่านทานอะไรแล้วหรือยังเจ้าคะ? พี่ชายข้าไม่อยู่ ท่านก็อย่าคิดว่าข้าเป็นคนแปลกหน้า มองว่าที่นี่เป็นเสมือนจวนท่านเสีย ท่านอยากทานอันใดก็บอกเหม่ยเจียได้เลย เหม่ยเจียจะไปบอกให้คนรับใช้รีบไปทำมาให้เจ้าค่ะ! ”

        เวลาก็เหมือนกับน้ำอุ่นกำลังค่อยๆ ต้มกบที่อยู่ในหม้อ [1] คล้ายเป็นการบังคับทางอ้อมเงียบๆ

        คำพูดนี้หากพูดกับคนขี้ขลาดใจน้อยให้ได้ยินแล้วละก็จะต้องยิ่งโกรธเสียกระมัง

        “น้องหญิงมาเยี่ยมถึงเรือนข้า ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ข้ารับใช้หรือไม่เล่า? ”

        ซูจิ่นซียิ้มอ่อนโยนคล้ายหมูตายที่ลอยในน้ำแกง เน้นน้ำเสียงคำว่า ‘น้อง’ เป็นพิเศษ

        รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจียราวกับมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ทว่าก็เพียงไม่นาน นางลูบศีรษะตนเองแล้วกล่าวว่า

        “โอย ท่านดูสิ! คอยดูแลเป็นห่วงเป็นใยพี่สะใภ้จนลืมเรื่องสำคัญที่เสด็จป้าฝากมาเสียนี่ เสด็จป้าให้ข้าเหม่ยเจียมาเอาผ้าเปื้อนเลือดพรหมจรรย์จากพี่สะใภ้เจ้าค่ะ”

        ตอนสุดท้ายนางกล่าวเสริมว่า “พี่สะใภ้ ข้ารู้ว่าท่านอาจขัดเขินไปบ้าง ทว่าในเมื่ออภิเษกสมรมเข้ามาเป็นสตรีในครอบครัวฮ่องเต้แล้ว ท่านต้องผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ ท่านนำมาให้ข้าก็พอ เมื่อเสด็จป้าได้ทอดพระเนตรแล้วก็จะส่งไปในวังให้ไทเฮาทอดพระเนตรอีกครั้ง เป็นพิธีของในวังมาช้านานเจ้าค่ะ”

        เฉินไท่เฟยต้องการผ้าเปื้อนเลือดพรหมจรรย์อย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงให้เว่ยเหม่ยเจียผู้นี้ออกจากวังมาเอาที่พี่สะใภ้ด้วยตนเอง?

        ซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเมื่อนางเห็นดวงตาของเว่ยเหม่ยเจียสบผ่านดวงตาของนาง แก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างงดงามของหญิงสาวทำให้ชั่วพริบตาเดียวนางก็เข้าใจในทันที

        เฉินไท่เฟยให้มาเอาอันใดกันเล่า?

        เห็นได้ชัดว่าเว่ยเหม่ยเจียที่อยู่ด้านนอกได้ยินข่าวลือบางอย่างเข้า บวกกับการที่นางคอยทุ่มเทความรักให้กับเยี่ยโยวเหยามาเป็นเวลานาน จึงทำท่าทีมาเยี่ยมเยือนในนามของเฉินไท่เฟยที่กำลังสืบถามหาผ้าเปื้อนเลือดพรหมจรรย์ เว่ยเหม่ยเจียเลยถือโอกาสนี้มาตรวจสอบว่าซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาได้มีการร่วมหอกันแล้วจริงหรือไม่!

        ยังจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ ริอ่านมาเล่นบนหัวของซูจิ่นซีผู้นี้เชียวหรือนี่

        นางเกือบตายในมือของเยี่ยโยวเหยาและยังซี่โครงหักอีกสองซี่ หลังจากนี้อีกสามเดือนนางไม่สามารถลุกจากเตียงไปไหนได้เลย มันช่างน่าอึดอัดเสียจนหายใจไม่ออก!

        ที่ระบายอารมณ์มาหาถึงที่โดยไม่ได้รับเชิญ หากไม่โกรธนางเสียหน่อย ไม่ใช่ว่าแผนการที่น้องสามีแสร้งทำออกมานั้นจะเสียงแรงเปล่าหรอกหรือ?

        ซูจิ่นซีตั้งใจทำคิ้วขมวด แสร้งไม่ทราบเรื่องอันใดเลย นางมองไปยังแม่นมฮวา

        “ผ้าเปื้อนเลือดพรหมจรรย์หรือ? แม่นมฮวาได้เก็บไปหรือไม่? ”

        แม่นมฮวาอยู่ในวังมานาน เคยเห็นการชิงดีชิงเด่นมาทุกรูปแบบ นางจะไม่รู้ถึงความคิดของซูจิ่นซีได้อย่างไร?

        อีกทั้งนางเองก็ไม่ค่อยชอบลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ของโยวอ๋องเสียเท่าไร จึงฉวยโอกาสนี้ทำให้เว่ยเหม่ยเจียโมโห

        “ไท่เฟยต้องการผ้าเปื้อนเลือดพรหมจรรย์หรือเจ้าคะ? ทว่าคืนวันนั้นท่านอ๋องกับพระชายาเดิมก็ไม่ได้… อยู่บนเตียงนะเจ้าคะ! ”

        เมื่อเว่ยเหม่ยเจียได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางก็ตกตะลึงในทันที

        ที่แท้ข่าวลือว่าเสด็จพี่โปรดปรานพระชายาคนใหม่นี้เสียจนฟ้าลั่นสั่นสะเทือน กระดูกซี่โครงหักนู่นนี่ก็เป็นเรื่องโกหก? อันที่จริงพวกเขาไม่ได้ร่วมเรือนหอกันเสียด้วยซ้ำ

        ทันใดนั้นแสงสว่างแห่งชัยชนะก็แวบเข้ามาในดวงตาของนาง เว่ยเหม่ยเจียแสร้งทำเป็นแปลกใจ

        “อันใดนะ? แสดงว่าคืนนั้นทั้งคืนพระชายาคนใหม่กับเสด็จพี่ไม่ได้ร่วมหอกันหรือ? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า? หากอภิเษกเข้าครอบครัวของสวามีแล้วไม่ได้รับความรักจากสวามี เช่นนั้นอาจจะต้องหย่าร้างและกลับไปหาครอบครัวเดิมนะ”

        แม่นมฮวาขมวดคิ้ว “คุณหนู ท่านอย่าพึ่งพูดจาเหลวไหลเลยเจ้าค่ะ ผู้ใดบอกท่านว่าคืนนั้นพระชายากับท่านอ๋องไม่ได้มอบความรักซึ่งกันและกัน?”

        เว่ยเหม่ยเจียสงสัย “ก็เจ้าพูดเองนี่! คืนนั้นพวกเขาไม่ได้ร่วมนอนบนเตียงมงคลนั่น”

        “ผู้ใดบอกว่าท่านอ๋องโปรดปรานพระชายาแล้วต้องอยู่เพียงบนเตียงกันเล่าเจ้าคะ? ครานั้นพระชายาโลหิตไหลจนเปรอะพื้นไปทั่ว กระทั่งบัดนี้ร่างกายยังไม่ทันได้ฟื้นตัวขึ้นมาเลย ข้าน้อยกำลังจะทำน้ำแกงไก่บำรุงเจ้าค่ะ หากทราบเร็วกว่านี้ว่าไท่เฟยต้องการผ้าผืนนั้น ตอนที่ข้าน้อยเก็บห้องจะได้ใช้ผ้านั้นเช็ดเลือดที่พื้น เช่นนั้นคงไม่ทำให้พระชายากับท่านอ๋องต้องเดือดร้อน”

        อันใดนะ?

        เสด็จพี่มีอะไรกับหญิงสารเลวนี่บนพื้น?

        ถึงขนาดที่ว่าจะพากันไปที่เตียงมงคล เสด็จพี่ก็ไม่สามารถอดทนรอได้อย่างนั้นหรือ?

        เลือดยังไหลลงพื้น…

        จะต้องรุนแรงถึงเพียงใด???

        เว่ยเหม่ยเจียสาวน้อยผู้น่าสงสาร ในเวลานี้ก็เหมือนมะเขือยาวที่ถูกน้ำค้างแข็ง [2] ไม่สามารถเสแสร้งและหยิ่งผยองได้อีกต่อไปแล้ว

        ใบหน้าเว่ยเหม่ยเจียซีดเผือด

        ในหัวของนางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวที่นางแอบรักเสด็จพี่มานานหลายปี ทว่าเสด็จพี่กลับไปชอบคนอย่างซูจิ่นซีผู้นี้

        ปวดใจ อิจฉา เกลียดชัง ฟั่นเฟือน แทบจะอยากให้ตนเองเสียสติให้รู้แล้วรู้รอด

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset