สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 25 เพื่อนที่คุ้นเคย

   ซูจิ่นซีเข้าใจดีว่าเพื่อที่จะตอบโต้เว่ยเหม่ยเจีย นางใช้ยาที่สามารถบรรเทาพิษในร่างกายของเยี่ยโยวเหยามาเป็นข้อตกลงในการแลกเปลี่ยน ดังนั้นเยี่ยโยวเหยาจึงได้ร่วมมือกับนางแสดงละครฉากนั้นตอบโต้

        และในตอนนี้ เยี่ยโยวเหยาก็ได้รับยาไปแล้ว ผู้ใดจะทราบว่าหากทำอันใดให้บุรุษผู้นี้ไม่พอใจ เขาอาจกระทำสิ่งใดขึ้นมาก็เป็นได้

        ซูจิ่นซีรับรู้ถึงอันตรายและแรงกดดัน นางไม่กล้ากระทำอีกเป็นหนที่สอง เมื่อแลบลิ้นปลิ้นตาเสร็จก็มานั่งบนเก้าอี้อย่างเชื่อฟังเป็นที่สุด

        เยี่ยโยวเหยาหันหลังกลับอย่างเย็นชาแล้วไปนั่งข้างซูจิ่นซี

        ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองเมื่อครู่ถูกร่างกายของเยี่ยโยวเหยาบังไว้ ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะมองเห็น

        เมื่อทั้งสองคนนั่งลง ผู้คนต่างมองไปยังพวกเขาที่เหมาะสมกันดั่ง ‘กิ่งทองใบหยก’ เฉินไท่เฟยโกรธแค้นแทนเว่ยเหม่ยเจียผู้เป็นที่รักจนลุกขึ้นมา

        “โยวเหยา แม่ถามเจ้าอยู่นะ! เจ้าไม่ได้ยินหรือ? ”

        เยี่ยโยวเหยาไม่แม้แต่จะเลิกคิ้ว เขาหยิบชาที่อยู่ด้านข้างแล้วจิบช้าๆ “นอกเสียจากจะทำให้นางอับอายแล้ว เสด็จแม่เรียกนางมาไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”

        ความหมายคือถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้วเขาจะได้พาซูจิ่นซีออกไปจากที่นี่

        แม้ว่าเยี่ยโยวเหยาจะเคยเฉยเมยต่อหน้าเฉินไท่เฟยมาก่อน ทว่าเขาก็ไม่เคยพูดตรงๆ เช่นนี้

        เดิมทีก็โกรธอยู่แล้ว บัดนี้เฉินไท่เฟยยิ่งโกรธขึ้นไปอีก “โยวเหยา เจ้าพูดอันใดของเจ้า? นี่เป็นคำพูดที่เจ้าพูดกับมารดาหรือ? ”

        เยี่ยโยวเหยาสนใจเพียงดื่มชา ไม่ตอบกลับคำพูดของเฉินไท่เฟยและไม่สนใจนางแม้แต่น้อย

        ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว

        บุตรชายจวนนี้แท้จริงไม่สนใจสิ่งใดและยังเย่อหยิ่งโดยกำเนิด! กระทั่งกับมารดาผู้ให้กำเนิดแท้ๆ ยังเย็นชาได้ถึงเพียงนี้

        ความเข้าใจเช่นนี้ผ่านเข้ามาในหัวของซูจิ่นซี ทว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ไม่เคยสนใจเกี่ยวกับความเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาที่มีต่อตัวนางเองมากนัก

        การปลอบใจตนเองของเว่ยเหม่ยเจียนั้นรวดเร็วมาก ทันใดนั้นก็กระทำราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นางยิ้มและเดินไปที่ด้านข้างของเฉินไท่เฟย

        “เสด็จป้าท่านอย่าโกรธพี่สะใภ้นักเลยเพคะ พี่สะใภ้พึ่งเคยมาที่ตำหนักหนานย่วนเป็นครั้งแรก มีกฎระเบียบมากมายที่ยังไม่เข้าใจ ทว่าต่อไปยังสามารถค่อยๆ เรียนรู้จากท่านได้! ท่านลืมแล้วหรือ? พี่สะใภ้มาวันนี้เพื่อถวายน้ำชาให้ท่านนะเพคะ! ”

        เว่ยเหม่ยเจียพูดไปก็ตบหลังมือของเฉินไท่เฟยอย่างแผ่วเบาไปด้วย

        ซูจิ่นซียักคิ้วขึ้นสามครั้ง มองไปที่เว่ยเหม่ยเจีย

        นี่มันข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงใช่หรือไม่เล่า?

        แมลงสาบนี่ฆ่าไม่ตายจริงๆ

        ซูจิ่นซีอยู่เฉยๆ ก็โดนโจมตีเช่นนี้? เกี่ยวข้องอันใดกับนางหรือไม่?

        เฉินไท่เฟยเหมือนคิดอะไรได้ก็ตบหลังมือของเว่ยเหม่ยเจียเบาๆ

        นางพูดกับซูจิ่นซีด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลังจากนี้ก็พยายามเรียนรู้หน่อยแล้วกัน อย่างไรเสียตอนนี้ก็ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เข้ามาเป็นคนในวังแล้วก็ต้องเข้าใจกฎของวังเพื่อที่จะไม่ให้โยวเหยาและข้าเสียหน้า เข้าใจหรือไม่? ”

        ซูจิ่นซีคิดว่าตนเองไม่ผิด ทว่านางก็ยังคงคำนับเฉินไท่เฟย

        “เสด็จแม่ หม่อมฉันจะจดจำไว้เพคะ!”

        ตามกฎแล้ว ซูจิ่นซีควรมาถวายน้ำชาให้แม่พระสวามีหรือเฉินไท่เฟยในวันที่สองของการอภิเษกสมรส ทว่าซูจิ่นซีที่กระดูกซี่โครงหักไปสองซี่ในตอนนั้น ต้องนอนอยู่บนเตียงลุกไม่ได้เป็นเวลานาน ทว่าในเวลานี้นางได้เดินทางมาที่ตำหนักหนานย่วน เช่นนั้นนางก็ควรจะถวายน้ำชาตามกฎ

        เว่ยเหม่ยเจียให้นางกำนัลขึ้นมารินน้ำชาสองแก้ว

        “เสด็จแม่เชิญดื่มชา”

        เยี่ยโยวเหยาเป็นผู้นำในการนำถ้วยชาถวายเฉินไท่เฟยและเฉินไท่เฟยก็ดื่มด้วยความพึงพอใจ

        ต่อมาแก้วที่เหลืออีกหนึ่งใบจึงต้องเป็นซูจิ่นซีนำไปถวายให้เฉินไท่เฟย

        ทว่าระบบถอนพิษเตือนซูจิ่นซีขึ้นมา แก้วน้ำชาที่นางต้องถวายนั้นมียาสลบอยู่ในแก้ว และยังเป็นยาที่มีประสิทธิภาพรวดเร็ว เมื่อดื่มเข้าไปจะสลบทันทีแต่ยานั้นเป็นยาที่มีคุณภาพต่ำมาก

        สิ่งแรกที่ซูจิ่นซีนึกถึงคือการกระทำก่อนหน้านี้ของเฉินไท่เฟยและเว่ยเหม่ยเจียที่ลอบตบมือให้กัน เมื่อเป็นเช่นนี้หัวคิ้วซูจิ่นซีก็ชนกันทันที

        รู้สึกว่าเฉินไท่เฟยผู้นี้ เพื่อที่จะจัดการนางถึงขึ้นยอมเสียสละตนเองเลยหรือนี่!

        ซูจิ่นซีคร่ำครวญอยู่ภายในใจ ซูจิ่นซีหนอซูจิ่นซี เจ้านี่มีคนเกลียดกี่คนกันแน่!

        ทว่าในไม่ช้าซูจิ่นซีก็ยิ้มอย่างเย้ยหยันในใจ

        เฉินไท่เฟยผู้ไร้เดียงสา เจ้าคิดจริงๆ หรือว่ายาสลบนี้มันจะไม่สามารถฆ่าคนได้ ?

        “เสด็จแม่เชิญดื่มชา! ”

        ซูจิ่นซีเรียนแบบอย่างที่เยี่ยโยวเหยารินชาให้เฉินไท่เฟย

        เฉินไท่เฟยหยิบถ้วยชาขึ้นมาและเหลือบมองไปที่เว่ยเหม่ยเจีย เว่ยเหม่ยเจียพยักหน้าให้ดื่มชาโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด

        การกระทำนี้ถูกซูจิ่นซีเห็นเข้าด้วยหางตา ทว่านางก็ไม่ได้กระทำหรือพูดอันใดออกมาแม้แต่น้อย

        เป็นอย่างที่ซูจิ่นซีคาดไว้ เมื่อเฉินไท่เฟยดื่มชาของนางที่ถวายไป ไม่นานก็หมดสติไปทันที

        เว่ยเหม่ยเจียพยุงเฉินไท่เฟย ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “เสด็จป้า ท่านเป็นอันใดไป? เหตุใดพอท่านดื่มชาที่พี่สะใภ้ถวายแล้วกลับหมดสติไปเล่า? ”

        พูดแล้ว เว่ยเหม่ยเจียก็หันไปมองทางซูจิ่นซี “พี่สะใภ้ นี่มันเรื่องอันใดกัน? ร่างกายของเสด็จป้าแข็งแรงมาตลอด เหตุใด… เหตุใดเมื่อดื่มชาของท่านแล้วถึงหมดสติไปได้เล่า? ”

        ผู้คนฟังที่เว่ยเหม่ยเจียพูดก็หันไปมองทางซูจิ่นซีพร้อมกัน ทุกคนแสดงออกผ่านดวงตา ต่างสงสัยในตัวซูจิ่นซีว่าจะเป็นผู้ที่วางยาพิษ

        “พี่สะใภ้ แม้ว่าเสด็จป้าจะเข้มงวดกับท่านไปบ้าง ทว่าก็เพื่อเป็นหน้าเป็นตาของจวนโยวอ๋องและเพื่อเสด็จพี่ เสด็จป้าเป็นผู้อาวุโส ท่านเป็นผู้น้อย อดทนหน่อยไม่ได้หรือ? เหตุใดจึงทำเรื่องวางยาพิษนี่ออกมาได้? ”

        เนื่องจากการปรากฏตัวของเยี่ยโยวเหยา ชายาเยี่ยนเป่ยอ๋องผู้ซึ่งไม่ได้กระทำอันใดมาโดยตลอด จู่ๆ ก็พูดขึ้น

        “พระชายาโยวอ๋อง เราทุกคนต่างก็เห็นชัดเจนว่าไท่เฟยหมดสติเพราะดื่มชาของเจ้า อย่างไรนางก็เป็นเสด็จแม่ของโยวอ๋อง ในเมื่อเจ้าแต่งเข้ามาในตำหนักโยวอ๋องแล้วก็ควรเคารพจารีตที่พึงปฏิบัติ รักษากฎมารยาท ถูกแม่สามีพูดสองสามคำก็สมควรแล้ว เหตุใดเจ้าถึง… ถึงทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้? ”

        “ใช่ พระชายาอ๋อง เจ้าช่างใช้ไม่ได้เสียจริง! ”

        “สตรีเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่คู่ควรมาเป็นสะใภ้ในวังอยู่แล้ว ฐานะต่ำต้อยอย่างไรก็ยังคงต่ำต้อย แม้ว่าจะบินเหนือกิ่ง [1] ก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดของคนต่ำต้อยเช่นนี้ได้หรอก”

        “ข้าว่าควรส่งซูจิ่นซีไปให้ศาลต้าหลี่จัดการ ทำร้ายคนในวังมีโทษหนัก ยิ่งกว่านั้นยังวางยาพิษไท่เฟยเสียด้วย”

        ผู้คนพูดกันปากต่อปาก

        เหมือนจะลืมไปว่าเยี่ยโยวเหยาผู้โหดเหี้ยมยังคงประทับอยู่ตรงนั้น ลืมจนกระทั่งว่าเยี่ยโยวเหยาก่อนหน้านี้ยังคงปกป้องซูจิ่นซีอยู่

        ในตอนนี้เยี่ยโยวเหยาทำราวกับว่าเขาไม่เห็นหรือได้ยินสิ่งใดเลย อยู่นิ่งๆ นั่งบนเก้าอี้ดื่มชาอย่างไม่สนใจ และกลับมามีท่าทีเย็นชาดังเดิม

        ซูจิ่นซีเย้ยหยันตนเองในใจ ซูจิ่นซี เจ้าเห็นชัดเจนหรือไม่เล่า? นี่คือวังหลวงและนี่คือบุรุษที่เจ้าแต่งงานด้วย

        ไม่มีใครคาดคิดว่าซูจิ่นซีหลังจากมองไปที่ผู้คนอย่างเย็นชารอบหนึ่งแล้ว นางหยิบชาครึ่งถ้วยที่เฉินไท่เฟยยังดื่มไม่หมดยกขึ้นดื่มในอึกเดียว

        ทุกคนต่างตกใจในทันที

        เยี่ยโยวเหยาดูเหมือนจะมองไปที่ซูจิ่นซีด้วยความสนใจและหรี่ตาลงเล็กน้อย

        เว่ยเหม่ยเจียปิดปากของนางด้วยความไม่เชื่อและจ้องมองไปยังซูจิ่นซี

        คราแรกคิดว่าซูจิ่นซีจะหมดสติเหมือนกับเฉินไท่เฟย ทว่าเวลาผ่านไปซูจิ่นซีไม่เป็นอันใดเลยแม้แต่น้อยและยังคงยืนอยู่เช่นเดิม

        “พี่สะใภ้ ท่านไม่เป็นอันใดเลยหรือ? ”

        “น้องหญิง ข้าวยังกินเลอะได้ ทว่าคำพูดนั้นพูดมั่วซั่วไม่ได้! เจ้าสงสัยว่าข้าเป็นผู้วางยาพิษในชาใช่หรือไม่? ทว่าพี่สะใภ้เจ้าไม่เป็นอันใดมิใช่หรือ? ”

        “ท่าน… ท่าน… ”

        เว่ยเหม่ยเจียตะโกนสองครั้ง แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง

        ประเด็นคือนางและเฉินไท่เฟยได้พูดคุยกันไว้ก่อนแล้ว ยาสลบนี้เป็นนางที่ใส่ลงไปเอง ทว่าเหตุใดในแก้วเดียวกันนี้ เฉินไท่เฟยจึงหมดสติหลังจากดื่มมัน ทว่าซูจิ่นซีกลับไม่เป็นอันใดเลย?

        หรือว่ามีสิ่งใดผิดพลาดเกิดขึ้น?

        เว่ยเหม่ยเจียตกใจกับการคาดเดาของนางเองจนขาอ่อนแรง และรีบวิ่งไปตรวจสอบลมหายใจของเฉินไท่เฟย

        โชคดีที่ยังคงหายใจอยู่

        เมื่อนึกขึ้นได้ หรือว่าเฉินไท่เฟยไม่ได้หมดสติเพราะยาสลบนี่ เว่ยเหม่ยเจียจึงไม่กล้าที่จะเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว เพราะเฉินไท่เฟยเป็นที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางในโลกนี้แล้ว หากไม่มีเฉินไท่เฟยนางก็ไม่เหลือสิ่งใดอีก

        “รีบไปเร็ว รีบไปตามหมอหลวงมา เร็ว! ไปตามหมอหลวงอวิ๋นมา”

        ใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจียซีดเผือดและสั่งนางกำนัลหน้าประตูทันที

        ทุกคนมองไปที่การแสดงออกของเว่ยเหม่ยเจียและทันใดนั้นก็ตระหนักว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดา ผู้คนเริ่มหวาดหวั่นไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดต่างเงียบเสียงกันไปทีละคน

        หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เหล่านางกำนัลก็พาหมอหลวงหนุ่มเข้ามา

        เสื้อผ้าพลิ้วไสวขาวนวลยิ่งกว่าหิมะ ใบหน้าหล่อเหลา และรอยยิ้มเสมือนฤดูใบไม้ผลิที่สดใส

        ทันทีที่หมอหลวงหนุ่มเข้าประตูมา เขาไม่ได้มองผู้อื่นเลย ทว่ากลับมองตรงไปยังซูจิ่นซีและยิ้มอย่างสดใสให้แก่นาง

        ซูจิ่นซีมีความคุ้นเคยกับรอยยิ้มนี้อย่างอธิบายไม่ถูก ทว่านางจำไม่ได้ว่าเหตุใดนางจึงคุ้นเคย ราวกับเพื่อนที่รู้จักกันมานาน

        ทันใดนั้นบทกวีสองประโยคก็ปรากฏขึ้นในใจ การออกไปเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิเต็มไปด้วยซิ่งฮวา [2] ในสายลม ผู้ใดได้พานพบชั่วชีวิตมิอาจลืมเลือน

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset