สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 27 เคยเห็นยาวิเศษหรือไม่

   เว่ยเหม่ยเจียรู้สึกอับอายและโกรธเสียจนยากที่จะทานทนไหว นางยับยั้งตนเองไม่อยู่และในที่สุดก็มองไปทางซูจิ่นซีก่อนจะระเบิดออกมา “พี่สะใภ้ ผงหลูเกินนี้เป็นท่านที่ใส่ลงไปใช่หรือไม่? ”

        “น้องหญิง เจ้าอย่ารนจนเหมือนหมาบ้ามาแว้งกัดผู้อื่นเช่นนี้สิ? พูดจาอันใดจะต้องมีหลักฐาน! ”

        รอบดวงตาของเว่ยเหม่ยเจียแดงก่ำ “พอเสด็จป้าดื่มชาที่ท่านถวายแล้วก็หมดสติไป ยังจะพูดว่าท่านไม่ได้กระทำอีกหรืออย่างไร! ”

        “ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นเรื่องน่าขันเสียจริง! ก่อนที่จะมาถึงแก้วชาของข้า เสด็จแม่ก็ดื่มชาของท่านอ๋องนี่! หรือว่าแม้แต่ท่านอ๋องเจ้ายังนึกสงสัย? ”

        เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วทันที

        สงสัยเยี่ยโยวเหยา?

        เว่ยเหม่ยเจียอย่างไรก็ไม่กล้า นางไม่มีแม้แต่ความคิดนั้นออกมาจากหัว ซูจิ่นซี ฟันต่อฟัน [1] กับนาง ทว่าก็ทราบดีว่าเว่ยเหม่ยเจียนั้นไร้เหตุผล

        เว่ยเหม่ยเจียโกรธจัด “หากไม่ใช่ท่านแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก? ท่านแค้นใจที่เสด็จป้าเข้มงวดกับท่าน ดังนั้นจึงวางยาเองกับมือ”

        พิษนั้นเกิดจากซูจิ่นซีจริงๆ นางดูออกและรู้ว่าเฉินไท่เฟยแพ้ผงหลูเกิน ดังนั้นนางจึงวิเคราะห์ยาสลบในถ้วยน้ำชาแล้วเปลี่ยนเป็นผงหลูเกินแทน

        ทว่าบัดนี้ซูจิ่นซีจะไม่ยอมรับเด็ดขาด และนางก็ไม่อยากที่จะสนใจเว่ยเหม่ยเจียอีกแล้วเช่นกัน

        เมื่อมีเยี่ยโยวเหยาอยู่ด้วย เว่ยเหม่ยเจียแม้จะทำเกินไปบ้าง ทว่าก็ไม่กล้าที่จะเปิดเผยว่าซูจิ่นซีเป็นคนเช่นใด ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้ยังมีเฉินไท่เฟยที่นอนอยู่ด้านในอีกด้วย!  แน่นอนว่าทุกอย่างมีความสำคัญต่ออาการของเฉินไท่เฟย

        “หมอหลวงอวิ๋น ในเมื่อวินิจฉัยออกมาแล้วว่าแพ้ผงหลูเกิน ท่านก็คิดวิธีรักษาเถิด! วิธีใดที่สามารถบรรเทาอาการของเสด็จป้าได้บ้าง ปล่อยเสด็จป้าทุกข์ทรมานเช่นนี้ก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหานะ! ”

        หลังจากนั้นครู่ใหญ่ในที่สุดเว่ยเหม่ยเจียก็เข้าใจประเด็น และขอความช่วยเหลือจากหมอหลวงอวิ๋นอีกครั้ง

        “ต้องล่วงเกินถามคุณหนูเหม่ยเจียแล้วว่า ไท่เฟยเคยแพ้ผงหลูเกินมาก่อนหรือไม่? ครานั้นมีอาการเป็นระยะเวลานานเท่าใด? ”

        หมอหลวงอวิ๋น แม้ว่าจะเป็นหมอของสำนักหมอหลวง ทว่าก็เข้ามาในสำนักหมอหลวงได้ยังไม่ถึงสองปี และในสองปีนี้เขาก็ได้ตรวจวินิจฉัยเพียงฮ่องเต้กับไทเฮามาโดยตลอด จึงไม่ค่อยเข้าใจอาการของเฉินไท่เฟยเสียเท่าไร

        “แท้จริงเสด็จป้าแพ้ผงหลูเกินอยู่ก่อนแล้ว ข้าจำได้รางๆ ว่าระยะเวลาแพ้ประมาณเดือนกว่าได้กระมัง หมอหลวงอวิ๋น ท่านมีวิธีใดที่จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของเสด็จป้าได้บ้างหรือไม่ เพื่อให้นางอาการดีขึ้นมาเสียหน่อย? ”

        หมอหลวงอวิ๋นพยักหน้า เดินไปที่โต๊ะแล้วเริ่มเขียนเทียบยา

        “ข้าเขียนเทียบยานี้แล้ว ให้ไท่เฟยอาบน้ำด้วยยานี้ทุกวัน แล้วจะหายเป็นปกติหลังจากเจ็ดวัน”

        เว่ยเหม่ยเจียตกตะลึงทันที มองหมอหลวงอวิ๋นด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใส

        ไม่แปลกใจเลยว่าจะเป็นหมอเทวดาที่ได้รับการแต่งตั้งโดยฮ่องเต้ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งในสำนักหมอหลวงด้วยพระองค์เอง! ความจริงแล้วเสด็จป้าแพ้ผงหลูเกินนี้รุนแรงยิ่งนัก แต่ก่อนแม้ว่าจะเป็นสำนักหมอหลวงของหัวหน้าหมอหลวงซูที่สั่งยาให้เสด็จป้ายามแพ้ผงหลูเกิน ก็ยังต้องใช้เวลาเกือบเดือนเช่นกัน หมอหลวงอวิ๋นผู้นี้คาดไม่ถึงว่าจะใช้เวลาเพียงเจ็ดวันก็สามารถรักษาให้หายแล้ว

        เว่ยเหม่ยเจียทางนี้ก็วิพากษ์วิจารณ์ทักษะทางการแพทย์ของหมอหลวงอวิ๋นเป็นน้ำไหลไฟดับ ทว่าซูจิ่นซีอีกด้านหนึ่งกลับถอดถอนใจอย่างไม่รู้ตัว

        ยาจีนโบราณที่ได้รับการพัฒนามาแล้วก็มีข้อดีคือได้พัฒนา ทว่าทักษะทางการแพทย์ยังถือว่าด้อยอยู่มากนะ!

        แพ้ผงหลูเกิน อาการของโรคง่ายๆ เช่นนี้ หมอหลวงของสำนักหมอหลวงใช้เวลารักษานานถึงเจ็ดวัน นางเศร้าใจกับผู้ที่ศึกษาการแพทย์ในโลกนี้เสียจริง

        เดิมทีซูจิ่นซีถอนหายใจกับตนเอง แม้แต่ตัวนางเองยังไม่รู้สึกตัว ดังนั้นจึงคาดไม่ถึงว่ามันจะไปกระตุ้นความสนใจของเยี่ยโยวเหยาเข้า

        “โอ้? ได้ยินเสียงทอดถอนใจของเจ้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีฝีมือที่เก่งกว่าหมอหลวงอวิ๋นสินะ? ”

        ซูจิ่นซีพึ่งตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเอง

        ทว่าคิดในทางกลับกัน เหตุผลที่เฉินไท่เฟยกลายเป็นเช่นนี้ก็ถือเสียว่าเป็นสิ่งตอบแทนจากนางก็แล้วกัน แค้นก็ชำระแล้ว เกียรติก็ทำลายแล้ว ถือว่าระหว่างนางกับเฉินไท่เฟยไม่มีความเกลียดชังต่อกันอีกต่อไป นางจึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ทำให้หญิงชรานางนี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด อาการคันและมีไข้เป็นเวลาเจ็ดแปดวัน

        ยิ่งไปกว่านั้น ต่อจากนี้ในอนาคตหากนางคิดจะอยู่ในมิตินี้นางก็จะต้องอยู่ในแวดวงนี้ให้ได้  ในเมื่อเป็นเช่นนี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเฉินไท่เฟย ลูกสะใภ้และแม่สามีจึงไม่อาจผิดใจกันแบบนี้ได้เสมอไป หรือไม่ก็ต้องหาโอกาสที่จะแก้ไขให้ดีขึ้น ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะแสดงความเมตตายกโทษให้เฉินไท่เฟยชั่วคราว

        “แค่ก แค่ก แค่ก! ” ซูจิ่นซีจงใจปรับบรรยากาศโดยการกระแอมไอ “ทักษะทางการแพทย์ดีมากหรือไม่เปรียบเทียบกันมิได้เพคะ ท่านอ๋องท่านคงยังไม่ทราบ หม่อมฉันไม่ได้เข้าใจทักษะทางการแพทย์มากนัก ทว่าในวิชาถอนพิษมีผู้วิเคราะห์มากมายว่าอาการแพ้เช่นนี้ถือเป็นการติดพิษ ดังนั้นหม่อนฉันก็จะขอลองดู ”

        “อ๋อ? เช่นนั้นหรือ? ”

        เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว

        เสแสร้ง!

        ซูจิ่นซีต่อว่าในใจ

        หากไม่ทราบว่าภรรยาตนเองสามารถถอนพิษได้ สาส์นจากภรรยาของท่านจะสามารถหลอกล่อให้ท่านกลับมายังจวนกลางดึกกลางดื่นเพียงเพื่อเตรียมตัวเดินทางมายังตำหนักหนานย่วนเป็นเพื่อนภรรยาได้หรือ?

        หากไม่ทราบว่าภรรยาสามารถถอนพิษได้ ก่อนหน้านี้เพื่อยาเพียงสามเม็ด ท่านจะยอมแสดงละครต่อหน้าทุกคนได้อย่างไร?

        ทว่าคำพูดเหล่านี้แน่นอนว่าซูจิ่นซีไม่อาจหาญพูดต่อหน้าเยี่ยโยวเหยาท่านอ๋องปีศาจนั่น

        ซูจิ่นซียิ้มอย่างเชื่อฟังด้วยดวงตาที่ใสซื่อ นางมองไปยังเยี่ยโยวเหยาอย่างจริงใจเหลือเกิน

        เยี่ยโยวเหยาหันศีรษะหนีทันทีเมื่อสายตาประสานเข้ากับสายตาของซูจิ่นซี

        “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ลองดูเสียหน่อยเถิด! ”

        “เพคะ ท่านอ๋อง! ”

        ซูจิ่นซีลุกขึ้นและเดินไปด้านในห้อง

        หมอหลวงอวิ๋นทิ้งใบสั่งยาในมือที่เขียนไปได้เพียงครึ่ง แล้วเดินตามซูจิ่นซีเข้าห้องบรรทมไท่เฟยไปเช่นกัน

        สำหรับเว่ยเหม่ยเจียที่เข้าไปกับซูจิ่นซีก็เพราะนางไม่อาจวางใจสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับซูจิ่นซีได้

        ในเวลานี้เฉินไท่เฟยเหงื่อกาฬไหลไม่หยุดแม้แต่น้อยเพราะรู้สึกไม่สบายตัว อารมณ์ของนางหงุดหงิดเป็นอย่างมาก คราแรกนางไม่ยอมให้ซูจิ่นซีจับชีพจร ทว่าหมอหลวงอวิ๋นก็พูดโน้มน้าวจนนางยอมยื่นมือของตนให้ซูจิ่นซีจับ

        ซูจิ่นซีทราบกระทั่งปริมาณของผงหลูเกินที่ตนเองใส่ลงไป และทราบถึงสถานการณ์ของเฉินไท่เฟยเป็นอย่างดี ทว่าต้องทำเป็นตรวจเพราะอยู่ต่อหน้าของทุกคน

        เวลาผ่านไปไม่นานซูจิ่นซีก็ออกมาด้านนอกห้อง

        “ท่านอ๋อง หม่อมฉันเข้าใจอาการของเสด็จแม่แล้วเพคะ หากยึดตามหลักการรักษาแล้ว หม่อมฉันรับรองได้ว่าภายในสามวันอาการป่วยของเสด็จแม่จะไม่หลงเหลืออย่างแน่นอน”

        เยี่ยโยวเหยาเลิกคิ้วหรี่ตาเล็กน้อยแล้วมองซูจิ่นซีด้วยดวงตาที่ซับซ้อน

        หมอหลวงอวิ๋นมองที่ซูจิ่นซีอย่างยากที่จะเชื่อ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถามซูจิ่นซีอย่างสุภาพอ่อนโยน

        “ทักษะแพทย์ของพระชายาแท้จริงแล้วสูงส่งถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าจะใช้เวลาเพียงสามวันในการรักษา ข้าน้อยขอคารวะ ไม่ทราบว่าพระชายาใช้ยาใดในการรักษา ถึงมีผลอัศจรรย์เช่นนี้”

        “ข้าเพียงแค่สามารถถอนพิษ ไม่ได้สามารถรักษาอันใดได้ถึงเพียงนั้น! ”

        ซูจิ่นซีย้ำหนักแน่น

        จากนั้นนางจึงหยิบขวดสีขาวน้ำนมออกจากแขนเสื้อ แล้วเทเม็ดยาสีขาวสองสามเม็ดจากขวดนั้น หยิบส่งให้หมอหลวงอวิ๋น

        “นี่ สิ่งนี้อย่างไรเล่า เคล็ดลับศาสตร์ระบบพิษ! ”

        หมอหลวงอวิ๋นหยิบยาที่อยู่ในมือและศึกษายาเม็ดที่อยู่ในขวด

        “พระชายา ยานี้ดูแล้วพิเศษยิ่งนัก ยาเช่นนี้ข้าน้อยไม่เคยพบเจอมาก่อน กระทั่งดมกลิ่นก็ไม่เคย ไม่ทราบว่ายานี้มีชื่อว่ากระไรพ่ะย่ะค่ะ? ใช้ตัวยาใดบ้างในการสกัดจึงได้มาซึ่งยาเม็ดนี้? ”

        ยาเม็ด?

        ความจริงเป็นเพียงยาเม็ดแก้แพ้ที่ใช้กันทั่วไปในการรักษาโรคภูมิแพ้ในยุคปัจจุบัน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “พูเอ๋อร์หมิ่น [2] ”  ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีได้หยิบมาจากระบบถอนพิษตอนที่ทุกคนไม่ได้สนใจ

        ซูจิ่นซีมองดูท่าทางทุกการเคลื่อนไหวของหมอหลวงอวิ๋นอย่างละเอียด หากเขามาจากโลกนั้นเหมือนนาง เขาควรรู้จักยาชนิดนี้

        “หมอหลวงอวิ๋น ท่านไม่เคยพบเห็นยาเช่นนี้จริงๆ หรือ? ”

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset