สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 28 ไม่มีมารยาท

  แม้ว่าหมอหลวงอวิ๋นจะไม่เข้าใจ ทว่ายังคงยิ้มอย่างอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง

        “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ยาชนิดนี้ข้าน้อยไม่เคยพบเห็นมาก่อนแน่นอน”

        ซูจิ่นซีสังเกตท่าทีของหมอหลวงอวิ๋นอย่างละเอียด ท่าทีของหมอหลวงอวิ๋นก็ไม่เหมือนกำลังหลอกลวงจริงๆ  ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะอธิบายความรู้สึกที่คุ้นเคยกับหมอหลวงท่านนี้ได้อย่างไรกัน?

        สุดท้ายแล้วซูจิ่นซีก็ยังคงคิดว่า เพียงอ้างอิงคำกล่าวของหมอหลวงอวิ๋นที่ว่าไม่รู้จักยาชนิดนี้มาก่อนก็ไม่อาจตัดสินได้ว่าเขากับตนมาจากโลกเดียวกัน บางทีเขากับตนอาจจะเหมือนกัน ไม่แน่ว่าอาจจะแสดงเก่งจนสมบทบาทเป็นพิเศษ ดังนั้นจะต้องหาโอกาสสืบหาความจริงอีกครั้ง

        “พระชายา ไม่ทราบว่ายาเม็ดนี้มีชื่อเรียกอย่างไร และสกัดมาจากยาตัวใดบ้างพ่ะย่ะค่ะ? ”

        “ชื่อว่าไป่เซียวตาน! ” ซูจิ่นซีเลือกชื่อมาให้เหมาะสมกับสมัยโบราณ “ส่วนประกอบที่ใช้ทำยานี้นะหรือ… ” ซูจิ่นซีขยิบตา “ข้าพูดแล้วว่ามันคือความลับ เจ้าเข้าใจหรือไม่เล่า… ”

        “ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว ขอพระชายาโปรดอภัยโทษ! ”

        หมอหลวงอวิ๋นรีบขอขมากับซูจิ่นซี

        แม้ว่าซูจิ่นซีจะเต็มใจบอกหมอหลวงอวิ๋นถึงส่วนผสมของยาตัวนี้ ทว่านางก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนเช่นกัน! เป็นไปไม่ได้ที่แพทย์แผนจีนโบราณจะเข้าใจส่วนผสมที่ซับซ้อนของยาแผนตะวันตก

        “ในเมื่อมีวีธีแล้วก็รีบใช้ยานี้เถิด! ”

        เสียงเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาเอ่ยราวกับใจร้อนเป็นอย่างมาก

        ซูจิ่นซีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเยี่ยโยวเหยาไม่อยากที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว

        บุตรชายจวนนี้ แท้จริงแล้วมีจิตใจหรือไม่นะ! มารดาผู้ให้กำเนิดของเขายังคงนอนอยู่ที่นั่นอยู่เลยแท้ๆ !

        “เพคะ!  ”

        ภายในใจมีคำพูดเป็นหมื่นๆ คำ ทว่าซูจิ่นซีไม่อาจพูดอันใดได้สักคำ นางตอบรับอย่างเชื่อฟัง มอบยาสองเม็ดให้เฉินไท่เฟยเสวยแล้วจึงเขียนใบสั่งยาเอาไว้เพื่อใช้เป็นยาอาบ เมื่อเขียนเสร็จจึงส่งให้เว่ยเหม่ยเจีย

        เว่ยเหม่ยเจียรับยาและใบสั่งยาที่ซูจิ่นซีให้ไว้ จากนั้นจึงมองไปยังหมอหลวงอวิ๋น จากการจ้องมองของหมอหลวงอวิ๋นและทัศนคติของเขาที่มีความเคารพต่อทักษะทางการแพทย์ของซูจิ่นซีนั้น ทำให้นางคับข้องใจและไม่พอใจในตัวซูจิ่นซีเป็นอย่างยิ่ง “ซูจิ่นซี ท่านยังพูดอีกหรือว่าผงหลูเกินนี่ไม่ใช่ท่านเป็นผู้วางยา ผู้ที่สามารถถอนพิษได้ย่อมเป็นผู้วางยาพิษ จะต้องเป็นท่านแน่ๆ ที่ลงมือกับถ้วยน้ำชาของเสด็จป้า”

        ไม่พูดก็ต้องพูดว่าสมองเว่ยเหม่ยเจียจริงๆ แล้วดีมาก เรื่องจริงนั้นถูกนางคาดการณ์ได้ถูกต้องแล้ว

        ทว่าคาดการณ์ถูกต้องแล้วจะกระทำอันใดได้ ถ้าเรื่องแค่นี้ทำให้นางเดือดร้อนได้ ซูจิ่นซีในโลกยุคใหม่ก็ดูการแสดงละครจักรๆ วงศ์ๆ มาเสียเปล่าแล้ว

        “น้องหญิง เหตุใดเจ้ายังจำไม่ได้อีกเล่า! พี่สะใภ้คนนี้บอกให้เจ้าฟังเป็นรอบที่สองแล้วนะ ข้าวสามารถกินเลอะเปรอะเปื้อนได้ทว่าคำพูดคนเรานั้นอย่างไรก็จะพูดโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้ หมอหลวงอวิ๋นก็สามารถถอนพิษได้เช่นกัน หรือว่าเจ้าก็สงสัยว่าหมอหลวงอวิ๋นวางยาพิษในน้ำชาของเสด็จแม่ด้วยเล่า? อีกอย่างข้าไม่ใช่คนโง่ วางยาเองแล้วก็ถอนเองไปเพื่ออันใด เจ้าคิดว่าผู้ใดที่กินอิ่มนอนหลับ ผู้นั้นล้วนไม่มีเรื่องอื่นให้ทำแล้วเช่นนั้นหรือ! ”

        “ท่าน… ”

        เว่ยเหม่ยเจียพูดไม่ออก

        แม้ซูจิ่นซีจะพูดจนปากเปียกปากแฉะ มีเหตุผลเป็นร้อยแปดพันเก้าที่จะพิสูจน์ว่าผงหลูเกินนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง ก็ล้วนไม่มีทางที่จะขจัดความสงสัยของเว่ยเหม่ยเจียเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้

        ซูจิ่นซี เจ้ารอดูแล้วกัน!

        “เมื่อไม่มีอันใดแล้วก็กลับ! ”

        เยี่ยโยวเหยายังคงเย็นชา เคร่งขรึมและเฉยเมย ทันใดนั้นเขาลุกขึ้นอย่างไม่อาจอดทนรอ เดินออกไปนอกประตู

        ซูจิ่นซีไม่สนใจเว่ยเหม่ยเจียแล้วเดินตามหลังเยี่ยโยวเหยาออกไป

        “ท่านอ๋อง พระชายา ข้าน้อยขอไปกับพวกท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ”

        หมอหลวงอวิ๋นรีบสะพายกระเป๋ายาแล้วตามไป วางแผนว่าจะออกไปจากหนานย่วนนี้พร้อมกับซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา

        “เสด็จพี่ เสด็จพี่… ”

        เว่ยเหม่ยเจียวิ่งตามออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเยี่ยโยวเหยา นางพยายามดึงแขนเสื้อของเยี่ยโยวเหยาไว้ ทว่ามือของนางสัมผัสได้เพียงมุมเสื้อของเยี่ยโยวเหยา นางตกใจกับความน่าเกรงขามที่น่าสะพรึงกลัวนี้จึงชักมือกลับมา

        “มีเรื่องอันใดอีก? ”

        เยี่ยโยวเหยาพูดอย่างไม่เต็มใจ คงไว้ซึ่งน้ำเสียงเฉยเมยและห่างเหิน

        เว่ยเหม่ยเจียไม่กล้าแม้กระทั่งเงยหน้ามองเยี่ยโยวเหยา “เสด็จพี่ เสด็จป้าป่วยยังไม่ทันหาย ท่านยังรีบไปที่ใดอีก? เช่นนี้เสด็จป้าอาจเสียใจได้นะเพคะ! ”

        “มิใช่ว่าซูจิ่นซีให้ใบสั่งยาแล้วหรอกหรือ? ”

        เยี่ยโยวเหยาพูดอย่างเย็นชา เดินผ่านเว่ยเหม่ยเจียไปข้างหน้า

        “แต่ว่า… แต่ว่าเสด็จป้ายังต้องกินยาถึงสามวันจึงจะหาย เวลานางไม่สบาย นางหวังเป็นที่สุดว่าท่านจะอยู่ข้างกายนาง! เสด็จพี่ ท่านอยู่ที่หนานย่วนนี้ชั่วคราวก่อนเถิด! รอจนเสด็จป้าหายแล้วค่อยกลับไปดีหรือไม่? ”

        เว่ยเหม่ยเจียแทบจะขอร้องเยี่ยโยวเหยา นางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง

        อาการเจ็บป่วยของเฉินไท่เฟยเป็นเพียงฉากหน้า ที่จริงแล้วนางเองต้องการให้เยี่ยโยวเหยาอยู่ในหนานย่วนต่ออีกสองถึงสามวันเพื่อที่นางจะได้พบเยี่ยโยวเหยามากขึ้น

        ยิ่งไปกว่านั้น ยามที่เฉินไท่เฟยป่วย วันใดเล่าที่จะไม่หวังให้เยี่ยโยวเหยามาคอยอยู่ข้างกาย ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่เคยอยู่ที่หนานย่วนเลยสักครั้ง

        “หลบไป! ”

        เยี่ยโยวเหยาเปล่งเสียงเย็นชา ทำให้เว่ยเหม่ยเจียสั่นด้วยความตกใจ นางไม่กล้ารั้งเยี่ยโยวเหยาอีกต่อไป นางทำได้เพียงมองดูเงาของร่างสูงใหญ่เดินออกจากประตูของหนานย่วนไป ตามหลังด้วยซูจิ่นซีซึ่งทำให้นางโกรธจนจะบ้าเสียให้ได้

        เสด็จพี่ใจร้าย!

        แม้ว่าเสด็จพี่จะมีนิสัยเฉยเมยและเย่อหยิ่งอยู่เสมอ ทว่าก็ไม่เคยดุนางเช่นวันนี้มาก่อน และไม่เคยเฉยเมยทำไม่สนใจต่อเสด็จป้าเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย

        เว่ยเหม่ยเจียตระหนักได้ว่าเยี่ยโยวเหยาโกรธมากจริงๆ เพราะนางกับเฉินไท่เฟยวางแผนจัดการซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซี นางมีดีอะไรให้เหมาะสมคู่ควรกับเสด็จพี่เล่า!

        ทางกลับจวนโยวอ๋อง ความรู้สึกของซูจิ่นซีดีกว่าตอนที่ออกไปมาก

        ไม่เพียงแต่เป็นเพราะว่าการเดินทางครั้งนี้เกิดเรื่องไม่คาดคิดมากมาย ทว่าก็ถือได้ว่าผ่านไปอย่างราบรื่น ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นเพราะว่าความกรุ่นโกรธของเยี่ยโยวเหยาซึ่งนั่งอยู่บนรถม้าคันเดียวกันกับนางนั้นไม่ได้รุนแรงอีกต่อไปด้วย

        ดังนั้นซูจิ่นซีที่บัดนี้คงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปจึงกล้าแอบมองใบหน้าด้านข้างของเยี่ยโยวเหยา

        บุรุษจวนนี้ หน้าตาไม่เลวเลย!

        “มองพอแล้วหรือไม่? ”

        เสียงแผ่วเบาของเยี่ยโยวเหยา ทำให้ซูจิ่นซีที่จ้องมองดวงหน้าของเยี่ยโยวเหยาอยู่ไม่รู้ว่าจะมองไปทางใดแทน แก้มของนางสุกปลั่งขึ้นทันที ฝ่ามือล้วนมีเหงื่อผุดออก รู้สึกเขินอายและแง่งอนในเวลาเดียวกัน

        ในสำนักงานการแพทย์แห่งชาติ ซูจิ่นซีได้พบเห็นผู้ชายดูดีมีมาดมาก็หลายคน นางไม่เคยมองผู้ใดว่าหล่อเหลาเลยสักคน ทว่าเมื่อนางมองไปยังเยี่ยโยวเหยานั้น นางก็สูญเสียสติครั้งแล้วครั้งเล่า

        น่าขายหน้าสิ้นดี!

        “ชานั้นเจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่? ”

        ซูจิ่นซีไม่ได้คาดคิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะถามตรงๆ เช่นนี้ นางรีบส่ายหัวอย่างจริงจัง “ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะมีความสามารถกระทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร แม้จะมีความสามารถ ทว่าจะเอาความกล้าที่ใดมากระทำเล่าเพคะ! ”

        ซูจิ่นซีตัดสินใจไว้แล้ว ไม่ว่าผู้ใดจะถามเรื่องนี้ ต่อให้ฆ่านางให้ตายก็จะไม่ยอมเอ่ยออกไปเด็ดขาด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยโยวเหยา

        ยอมรับว่าวางยาพิษแม่สามีต่อหน้าเขา นี่มันขัดแย้งกันชัดๆ ไม่ใช่หรือ?

        ทว่าเยี่ยโยวเหยาก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงให้มากความ เพียงฟังประโยคของซูจิ่นซีที่ว่า ‘หม่อนฉัน’ แล้ว ‘หม่อมฉัน’ อีกเช่นนั้นภายในใจรู้สึกไม่ผ่อนคลายสบายใจเป็นอย่างยิ่ง

        เมื่อใดกันที่เขายอมรับผู้หญิงคนนี้เป็นพระชายาของตน? คาดไม่ถึงว่ายังจะอ้างตนเองได้เช่นนี้

        เยี่ยโยวเหยาเพียงคิดอยู่ในใจ ไม่เอ่ยออกมาและไม่ได้ตำหนิซูจิ่นซี ดังนั้นซูจิ่นซีจึงไม่ทราบอันใดเลย

        เมื่อรถม้ามาถึงประตูจวนโยวอ๋อง เยี่ยโยวเหยาก็ไม่สนใจซูจิ่นซีอีกต่อไป เขากระโดดลงจากรถม้าทันที เนื่องจากรถม้าค่อนข้างสูงจึงทำให้ซูจิ่นซีไม่กล้ากระโดดลงเอง ทำได้เพียงรอข้ารับใช้นำบันไดรถม้ามาวางจึงจะลงจากรถ ทว่าตอนที่ซูจิ่นซีรอลงจากรถม้า เยี่ยโยวเหยาก็เข้าจวนไปไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว

        “ไม่มีมารยาท! ”

        ซูจิ่นซีซึ่งคุ้นเคยกับการ ‘เชิญสุภาพสตรีก่อน’ ทุกสิ่งทุกอย่างในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าโอกาสใด ผู้ชายจะให้เกียรติสตรีกระทั่งดูแลสตรีอย่างนางก่อนเสมอ ซูจิ่นซีไม่ประทับใจบุรุษที่ไร้มารยาทเช่นนี้จริงๆ

        หน้าตาดีก็หาใช่ว่าจะสามารถใช้หน้าตาหากินได้นี่! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะมีความรู้สึกดีๆ ร่วมด้วย

        ความรู้สึกดีที่เพิ่งสร้างขึ้นบนรถม้าเมื่อครู่ถูกลบล้างด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ทุกครั้ง

        ซูจิ่นซีพูดพึมพำในใจพร้อมกับเดินเข้าไปยังเรือนชิงโยว ทว่าเมื่อกำลังจะขึ้นเรือนอวิ๋นไค ทันใดนั้นก็มีทหารนายหนึ่งวิ่งมาหาตน

        “พระชายา ท่านอ๋องให้ท่านนำยาไปถวายที่ตำหนักฝูอวิ๋นพ่ะย่ะค่ะ”

        ยา?

        ยาอันใดกัน?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset