สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 61 นี่คือจูบแรกของข้า

        สิ่งที่ปรากฏนั้น แม้จะใช้คำว่า ‘อลังการ’ สามพยางค์นี้ก็เกรงว่ายากที่จะบรรยายได้

        บนหลังของเยี่ยโยวเหยาเต็มไปด้วยรอยแผลเล็กใหญ่ที่อัดแน่นราวกับไส้เดือน

        บางส่วนเป็นบาดแผลจากคมดาบและรอยถูกแทง ชั่วพริบตาเดียวซูจิ่นซีก็สามารถมองออกได้ในทันที ทว่ามีบางบาดแผลที่รูปร่างแปลกประหลาดโค้งไม่เป็นมุม หากซูจิ่นซีเดาไม่ผิด อาจเป็นบาดแผลที่เกิดจากการโดนทุบตีด้วยแส้จึงเกิดรอยแผลเป็นเช่นนี้

        ซูจิ่นซีตกใจกับความคิดของตนเอง นางมองไปที่เยี่ยโยวเหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง

        ทว่าเขาเป็นราชาผู้ชั่วร้ายอันดับหนึ่งในจงหนิง!

        ข่าวลือมีเพียงเขาในฐานะที่เป็นผู้ทำร้ายและเข่นฆ่าผู้คน คาดไม่ถึงว่าผู้ใดจะกล้าทำร้ายเขา?

        “การฝังเข็มของเจ้าใช้ตาไม่ได้ใช้มือหรือ? ”

        น้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยาเย็นชาและร้อนรน

        ซูจิ่นซีฟื้นคืนสติทันที

        เพียงแต่คราวนี้ซูจิ่นซีไม่ตื่นตระหนกตกใจเช่นคราก่อนอีก นางสงบเงียบมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ซูจิ่นซีหยิบเข็มเงินออกมาอย่างเป็นระเบียบและเล็งไปยังจุดฝังเข็มบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยา

        หากไม่ใช่เพราะกลวิธีเฉพาะวิชาการฝังเข็มของซูจิ่นซีที่นับว่าฝีมือไม่ธรรมดานั้น คงเป็นเรื่องยากที่จะหาจุดฝังเข็มท่ามกลางรอยแผลเป็นที่ละเอียดและหนาแน่นอย่างแน่นอน

        เมื่อนิ้วที่เย็นเยือกของซูจิ่นซีสัมผัสรอยแผลเป็นอันโหดร้ายทารุณบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยา นางอดไม่ได้ที่จะวางฝ่ามือไว้ด้านบนแผ่นหลังครู่หนึ่งด้วยความสั่นเทาเล็กน้อย

        คาดไม่ถึงว่าร่างกายของเยี่ยโยวเหยากลับสั่นตามมือของซูจิ่นซี

        หว่างคิ้วของเยี่ยโยวเหยาแสดงอาการร้อนใจไม่เป็นสุข เขากำลังจะลุกขึ้น

        “อย่าขยับเพคะ! ”

        ซูจิ่นซีเอ่ยเสียงดุ หญิงสาวร่างเล็กไม่รู้ว่าเอาพลังมาจากที่ใด คาดไม่ถึงว่าจะจับไหล่ของเยี่ยโยวเหยาและกดให้กลับลงไปนอนบนเตียงทันที

        เยี่ยโยวเหยาที่ไม่เคยใกล้ชิดกับสตรีใดมาก่อน เมื่อครู่แค่เพียงปลายนิ้วของซูจิ่นซีสัมผัสแผ่วเบา เยี่ยโยวเหยาก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกไม่พอใจ ยิ่งไปกว่านั้นคาดไม่ถึงว่าบัดนี้ซูจิ่นซีผู้ไม่กลัวตายยังกล้ากดมือทั้งหมดลงบนกล้ามเนื้อแผ่นหลังของเยี่ยโยวเหยาอีก

        เยี่ยโยวเหยายากที่จะอดกลั้น

        รัศมีอันตรายรอบตัวเยี่ยโยวเหยาก่อเกิดขึ้นมาในทันที เขาหันศีรษะมามองซูจิ่นซีอย่างรวดเร็วและดุดัน เดิมทีเขามักจะมีกลิ่นอายของการเข่นฆ่าอย่างรุนแรงอยู่แล้ว ปกติในสถานการณ์เช่นนี้ เยี่ยโยวเหยาจะต้องใช้หนึ่งฝ่ามือตบซูจิ่นซีให้ปลิวไปแล้วด้วยซ้ำ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อได้เห็นใบหน้าที่จริงจังและสวยงามของซูจิ่นซี รัศมีการสังหารของเขากลับค่อยๆ ลดลง ดวงตาคู่ที่ดำมืด เย็นยะเยือก และไร้ร่องรอยของความอบอุ่นพลันลึกซึ้ง แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้สึกตัวว่าได้จ้องมองไปยังซูจิ่นซีอย่างเนิ่นนาน

        หลังจากนั้นครู่ใหญ่ซูจิ่นซีจึงฝังเข็มให้เยี่ยโยวเหยาเสร็จสิ้น นางเก็บเข็มเงินเล่มสุดท้ายเข้าไปในกระเป๋าและเงยหน้าขึ้นมาด้วยความเบิกบานดีใจ เมื่อเห็นการจ้องมองด้วยสายตาของเยี่ยโยวเหยาเช่นนั้น ซูจิ่นซีก็ลูบหน้าตนเองอย่างรู้สึกแย่เล็กน้อย

        “ท่านอ๋อง ใบหน้าของหม่อมฉันมีอันใดหรือไม่เพคะ? ”

        “เอ่อ? ท่านอ๋อง? ”

        เมื่อเห็นว่าเยี่ยโยวเหยาไม่มีการตอบสนอง ซูจิ่นซีจึงยื่นมือเล็กๆ ออกมาโบกต่อหน้าเยี่ยโยวเหยา

        “อ๊ะ… เยี่ย… ”

        ซูจิ่นซีรู้สึกราวกับฟ้าหมุนเคว้งคว้างไปชั่วครู่ คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะลุกขึ้นมาดึงนางเข้าไปอยู่ในอ้อมแขน

        หลังจากนั้น… ใบหน้าหล่อเหลาเกินทนไหวของเยี่ยโยวเหยาพลันขยายใหญ่ขึ้นต่อหน้านาง… ใหญ่ขึ้น… ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นอีก ในที่สุดนางก็มองเห็นเพียงดวงตาที่เบิกกว้างคู่นั้น ลูกตาดำที่ดำมืด ลึกซึ้งและเยือกเย็น

        เจ้าเดาอันใดอยู่?

        เยี่ยโยวเหยาผู้ซึ่งไม่เคยใกล้ชิดสตรีมาก่อน คาดไม่ถึงว่าจะจูบซูจิ่นซีอย่างรุนแรงเหลือเกิน

        สวรรค์!

        สวรรค์!

        สวรรค์!

        คราแรกซูจิ่นซีนึกว่าเป็นเพราะพิษดูดเลือดของเยี่ยโยวเหยากำเริบจึงต้องการดูดเลือดบนร่างของนางอีก

        ต่อมาจึงพบว่าสถานการณ์ราวกับมีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องเล็กน้อย เยี่ยโยวเหยาจูบนางจริงๆ ! ยิ่งไปกว่านั้นยังรุนแรงมากอีกด้วย ทันใดนั้นดวงตาของซูจิ่นซีก็เต็มไปด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้างอย่างยากที่จะเชื่อ ลืมวิธีการตอบสนองไปหมด ร่างกายเหยียดตรงแน่น หัวใจเต้นผิดปกติ “ตุบๆๆๆ ” แทบจะเต้นออกมาจากลำคอและดวงตาอยู่แล้ว

        จากนั้นซูจิ่นซีก็ตระหนักว่ายังคงมีบางอย่างผิดปกติ จูบของเยี่ยโยวเหยาเคลื่อนลงมาด้านล่าง คาดไม่ถึงว่าจะขยับไปที่คอของนาง มือที่อยู่ไม่นิ่งของเขายังจับไปที่คอเสื้อของนางอีกด้วย

        “เยี่ย… เยี่ยโยวเหยา… ”

        ซูจิ่นซีตะโกนเตือนอย่างตื่นตัว

        ทว่าการกระทำของเยี่ยโยวเหยากลับรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าไม่ได้ยินซูจิ่นซีที่ประท้วงอยู่เลย

        แม้ซูจิ่นซีจะเป็นผู้ที่มาจากสมัยปัจจุบัน ทั้งยังเคยมีสัมพันธ์รักกับเยี่ยโยวเหยามาแล้ว ทว่านั่นเป็นตอนที่ฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดเกิดปฏิกิริยา ซูจิ่นซีจึงไม่อาจควบคุมตนเองได้

        โดยพื้นฐานนางยังเป็นคนหัวโบราณ มองเรื่องระหว่างชายหญิงอย่างรอบคอบระมัดระวังอย่างยิ่ง ไม่ใช่คนง่ายๆ อย่างไรก็ได้แน่นอน

        “เยี่ยโยวเหยา… ท่านปล่อยมือ! ปล่อยมือนะเพคะ! ”

        ซูจิ่นซีต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต เอ่ยประท้วงขึ้นอีกครั้ง

        ทว่ายังไม่เป็นผล ยิ่งนางต่อสู้ เยี่ยโยวเหยาก็ยิ่งบีบร่างกายและฝ่ามือของนางแรงขึ้น

        คนชั่ว!

        ซูจิ่นซีสาปแช่งอย่างรุนแรงอยู่ในใจ

        ขณะที่ดิ้นรนต่อสู้ มือของซูจิ่นซีก็บังเอิญไปสัมผัสเข้ากับกระเป๋าเก็บเข็มเงินของตนเอง

        ซูจิ่นซีสงบสติของนาง อาศัยความรู้สึกแล้วคลำเข็มเงินจากในกระเป๋าออกมาหนึ่งเล่ม เมื่อสบโอกาส ซูจิ่นซีจึงฝังเข็มเงินลงไปบนลำคอของเยี่ยโยวเหยา

        ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาที่กำลังนอนอยู่บนร่างของซูจิ่นซีก็ไม่ขยับเขยื้อนราวกับว่าเขาถูกสกัดจุดอย่างไรอย่างนั้น ทว่าดวงตาที่เย็นชาและลึกล้ำนั้นกลับจ้องไปยังซูจิ่นซีด้วยความโกรธอย่างหาที่เปรียบมิได้

        ซูจิ่นซีถอนหายใจแรงๆ หนึ่งครั้ง นางค่อยๆ ดันเยี่ยโยวเหยาออกแล้วลุกจากเตียง

        “ท่านอ๋อง ล่วงเกินแล้วเพคะ! หม่อมฉันเคยบอกแล้วนี่ว่าเราไม่ได้มีความ รู้สึกใดต่อกัน แม้ท่านจะได้หม่อมฉันไป หม่อมฉันก็ไม่อาจยอมรับได้เพคะ! ”

        “ไสหัวไป! ”

        เยี่ยโยวเหยากล่าวอย่างเย็นชา

        ใบหน้าของซูจิ่นซีแสดงถึงเจ็บปวด ภายในใจรู้สึกผิดขึ้นมาทันที

        หากไม่นับความผิดพลาดครั้งก่อนที่สวนหลังจวนสกุลซู ครั้งนี้ถือเป็นจูบแรกที่แท้จริงของนาง!

        บุรุษผู้นั้นจูบนางแล้ว ยังเกือบจะได้นางไปแล้วด้วย ทว่าสุดท้ายกลับส่งนางด้วยคำว่า “ไสหัวไป” อย่างเย็นชา

        เดิมทีซูจิ่นซีไม่ได้หวังให้เยี่ยโยวเหยามีความรู้สึกต่อนางอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะเยี่ยโยวเหยาจูบนางแล้วนางจะคิดว่าเขาชอบหรือตกหลุมรักนางแม้แต่น้อย

        ครั้งหนึ่งซูจิ่นซีเคยศึกษาจิตวิทยาและเข้าใจเป็นอย่างดีว่าบุรุษเพศเป็นสัตว์ที่มีความขัดแย้งและแปลกประหลาดอย่างไร

        แม้พวกเขาจะได้หลับนอนกับสตรีแล้วก็ตาม ทว่าไม่จำเป็นที่เขาจะต้องตกหลุมรักนางผู้นั้น หรือแม้กระทั่งบุตรสาวที่รัก พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องพานางเข้านอน

        ซูจิ่นซีถอนหายใจอย่างแรงแล้วหันหลังเดินออกมาจากตำหนักฝูอวิ๋น

        กลางคืนดึกดื่นนางถูกเยี่ยโยวเหยาปลุกให้ตื่น ทั้งยังถูกลากมาที่ตำหนักฝูอวิ๋นเพื่อปรุงยาถอนพิษและฝังเข็มอีกด้วย ซูจิ่นซีล้วนไม่รู้เลยว่าด้านนอกนั้นสว่างแล้ว

        แม่นมฮวาและลวี่หลีที่กำลังกวาดห้องอยู่ เมื่อเห็นเสื้อผ้ายับย่นและผมเผ้าอันยุ่งเหยิงของซูจิ่นซีที่เดินออกมาจากตำหนักฝูอวิ๋น ใบหน้าของทั้งสองก็แสดงความตกใจเป็นอย่างยิ่ง

        “ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนคุณหนูนอนหลับสนิทอยู่ที่ชั้นสองหรอกหรือเจ้าคะ? ไปตำหนักฝูอวิ๋นของท่านอ๋องเมื่อใดกัน? ”

        “ไม่รู้สิ! พวกเราหลับเป็นตายถึงขนาดไม่รู้เรื่องอันใดเลยหรือ? คาดไม่ถึงว่าจะไม่รู้เรื่องอันใดเลย แล้วเมื่อคืนท่านอ๋องกลับมาเมื่อใดกัน? ”

        แม่นมฮวาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นรอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏบนใบหน้าของนาง “แต่ว่า… ดูท่าทางของพระชายาแล้ว เมื่อคืนเหมือนจะถูกท่านอ๋องทรมานไม่น้อยเลย! เจ้าไปปรนนิบัติพระชายาล้างหน้าหวีผม ข้าจะไปตุ๋นน้ำแกงไก่ให้พระชายา”

        ในใจลวี่หลีเต็มไปด้วยความปวดใจต่อซูจิ่นซี นางมองไปยังแม่นมฮวาที่รีบวิ่งไปในครัวเล็กๆ พร้อมกับบ่นเล็กน้อย

        หากไม่ใช่ผู้ที่ปรนนิบัติคุณหนูมานาน ก็จะไม่รู้ว่าคุณหนูกำลังปวดใจ แม่นมฮวารู้เพียงว่าต้องสนใจท่านอ๋องของตนเท่านั้น คุณหนูเป็นเช่นนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่านางจะยังหัวเราะออกมาได้

        “คุณหนู ข้าน้อยได้ต้มน้ำล้างหน้าไว้ให้ท่านแล้ว ท่านจะล้างหน้าด้านล่างหรือว่าให้ข้าน้อยยกขึ้นมาให้ชั้นบนเพคะ? ”

        ลวี่หลีรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อต้อนรับซูจิ่นซี นางไม่ถามให้มากความว่าเหตุใดซูจิ่นซีจึงออกมาจากตำหนักฝูอวิ๋น

        “ยกไปชั้นบนเถิด! ”

        ซูจิ่นซีไม่ได้นอนทั้งคืน นางเหนื่อยล้ามาก หากเป็นไปได้ นางคิดว่าจะไม่กินไม่อาบ วันนี้คิดจะนอนทั้งวันให้เต็มอิ่ม ทว่านางไม่อาจทำได้ เพราะยังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งรอนางจัดการอยู่

        หลังจากซูจิ่นซีล้างหน้าหวีผมแล้ว แม่นมฮวาก็ยกน้ำแกงไก่ตุ๋นเข้ามา

        ซูจิ่นซียังไม่ทันได้ดื่มสักอึก ด้านล่างก็มีทหารมาตะโกนเรียกทันที “แม่นมฮวา รบกวนออกมาหน่อย ท่านอ๋องให้นำสุรามาพระราชทานแก่พระชายา! ”

        พระราชทานสุรา?

        เช้าตรู่เพียงนี้ เยี่ยโยวเหยาพระราชทานสุราให้ซูจิ่นซีไปทำอันใด?

        หรือว่าจะเป็นสุราพิษ?

        พิษบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยาถูกกำจัดหมดแล้ว ดังนั้นซูจิ่นซีจึงไม่มีประโยชน์ เขาคิดที่จะเสร็จศึกฆ่าโคหรือ?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset