สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา – ตอนที่ 146 คุณถูกไล่ออกแล้ว

เดิมทีวิกฤติในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบให้หุ้นของเฟิงซื่อมีความปั่นป่วน แต่ในเวลาสั้น ๆ เพียงครึ่งวัน ทุกอย่างก็ได้รับการแก้ไข
ลู่ซือหยี่อ่านความคิดเห็นต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตก็รู้สึกโมโหจนถึงกับทำลายข้าวของในห้อง
ทั้งที่เธอจัดการทุกอย่างอย่างเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงมีการวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะชน ต่อให้พี่จิ่งเหยาจะอยากเข้าข้างนังสารเลวกู้ฉางซินนั่นสักแค่ไหน ก็ต้องถูกบริษัทกดดันให้ลงโทษเธออยู่ดี
แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับผิดแผนไปหมด!
โดยเฉพาะคำพูดของสิงหย่าอัน ทำให้เธอไม่สามารถที่จะทำอะไรได้อีกต่อไป
ทั้งที่ตอนแรกยัยดารานั่นยังไม่ชอบขี้หน้านังผู้หญิงคนนั้นอยู่เลย แต่กลับเปลี่ยนไปแค่ในพริบตา
น่ารังเกียจ!
นังกู้ฉางซินจะเป็นดาวนำโชคกลับชาติมาเกิดหรือยังไงกัน?
ทำไมทุกครั้งที่วางแผนกำจัดเธอ เรื่องร้ายก็มักจะกลายเป็นดี
เธอคิดด้วยความโมโห ในขณะที่โทรศัพท์มือถือข้างกายดังขึ้น
เป็นสายจากเพื่อนร่วมชั้นคนนั้น แต่เธอก็ไม่คิดที่จะรับสาย
ในเวลาเดียวกัน ด้านกู้ฉางฉิงที่กำลังให้ความสนใจกับสถานการณ์การเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์
เธอเห็นว่าความคิดเห็นต่าง ๆ ของผู้คนถูกควบคุมไว้ได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งผลอย่างดีกว่าที่เธอคาดเอาไว้มาก เธอรู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก และกลับมามีอารมณ์ที่จะดีไซน์งานต่อ
เมื่อถึงเวลากลางคืนเฟิงจิ่งเหยาก็กลับมารับประทานอาหารที่บ้าน กู้ฉางฉิงอดไม่ได้ที่จะถามเรื่องเมื่อตอนกลางวันขึ้นมา
“จริงสิคะ สิงหย่าอันตกลงที่จะเซ็นสัญญาเข้าสังกดบริษัทตั้งแต่เมื่อไหร่คะ? ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องมาก่อนเลย”
เฟิงจิ่งเหยามองดูเธอและตอบอย่างสุขุมว่า “เมื่อวานนี้หลังจากที่คุณกลับไป ผมได้ไปพบเธอมา”
กู้ฉางฉิงรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่กลับเปลี่ยนเรื่องถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “แล้วเรื่องที่ข่าวเล็ดลอดออกไปนั้นตรวจสอบพบหรือยังคะ ว่าเป็นเพราะอะไร?”
เฟิงจิ่งเหยาตอบเพียงแค่ ‘อืม’ และก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เมื่อกู้ฉางฉิงเห็นอย่างนั้นก็รู้ได้ว่าเขาไม่อยากจะพูดอะไร เธอได้แต่ทำหน้ามุ่ย ไม่ถามต่อ แล้วทานอาหารต่อไป
หลังจากที่ทั้งคู่ทานอาหารเสร็จ คนหนึ่งก็กลับห้อง อีกคนหนึ่งก็ไปที่ห้องหนังสือ
คืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เช้าวันถัดมา เมื่อเฟิงจิ่งเหยารับประทานอาหารเช้าเสร็จก็ไปที่สาขาของบริษัท
ชวี่ยี่รอที่หน้าประตูบริษัทอยู่แล้ว
“อีกสิบนาที เรียกผู้บริหารทั้งหมดมาประชุม”
เฟิงจิ่งเหยาออกคำสั่งในขณะที่กำลังเดินไปขึ้นลิฟต์
ชวี่ยี่พยักหน้ารับคำสั่ง แล้วหยิบโทรศัทพ์มือถือออกมาและเริ่มจัดการทันที
ในเวลาไม่ถึงสิบนาที ห้องประชุมก็เต็มไปด้วยเหล่าผู้บริหารระดับสูง
พวกเขากระซิบกระซาบพากันคาดเดาถึงเนื้อหาของการประชุมในครั้งนี้
ลู่ซือหยี่นั่งอยู่ในตำแหน่งของเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดูไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
จนกระทั่งเมื่อเฟิงจิ่งเหยาเข้ามาพร้อมกับชวี่ยี่ ทุกคนถึงเก็บอาการไว้
“ที่มีการเรียกประชุมด่วนขึ้นในครั้งนี้ก็เพราะว่ามีหลายสิ่งที่ต้องรีบจัดการทันที”
หลังจากที่เฟิงจิ่งเหยานั่งลงที่ตำแหน่งประธานแล้ว เขามองไปรอบ ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“เรื่องที่หนึ่ง บริษัทจะจัดตั้งแผนกตรวจสอบคุณภาพขึ้น ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจะต้องได้รับการตรวจสอบคุณภาพก่อน เมื่อผ่านมาตรฐานถึงจะนับว่าเสร็จสมบูรณ์และพร้อมที่จะจัดจำหน่าย……”
เขาค่อย ๆ พูดต่อถึงสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งในตอนท้าย สายตาเย็นชาของเขาจับจ้องไปที่ลู่ซือหยี่ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นับจากนี้ไป คุณถูกไล่ออกแล้ว”
ทันทีที่คำนี้ออกมาทุกคนก็ตะลึงงัน
ส่วนลู่ซือหยี่นั้นถึงกับนิ่งอึ้งไปและใบหน้าก็ซีดลงทันที
อย่างไรก็ตามเฟิงจิ่งเหยาไม่ได้สนใจท่าทีอาการของพวกเขา หลังจากที่เขาพูดจบ ก็ประกาศสิ้นสุดการประชุม
ทันทีที่เขาออกไป ห้องประชุมที่ดูอึดอัดในตอนแรกก็เริ่มมีเสียงดังโหวกเหวกขึ้นมา
“หัวหน้าแผนกลู่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมอยู่ดีดีท่านประธานถึงได้ไล่คุณออกได้?”
“นั่นน่ะสิ ผู้จัดการ คุณรู้หรือเปล่าว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ผู้บริหารแต่ละคนถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
หลี่ม่านส่ายหน้า คิ้วขมวดแน่นพูดว่า “เรื่องนี้ท่านประธานไม่เคยพูดกับฉันมาก่อน”
เมื่อเธอพูดจบก็มองไปทางลู่ซือหยี่
ในขณะที่กำลังคิดอยากจะถามนั้น ก็เห็นว่าลู่ซือหยี่กำลังกัดฟันยืนขึ้นและตามเฟิงจิ่งเหยาออกไป
เธอไม่เข้าใจ ทั้งที่ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี เพราะอะไรพี่จิ่งเหยาถึงต้องไล่เธอออก
และก็ไม่อธิบายเหตุผลออกมาอย่างชัดเจน อย่างนี้จะให้เธอยอมรับได้อย่างไร
“พี่จิ่งเหยา”
เธอตามมาจนถึงลิฟต์ ในที่สุดก็ได้พบกับเฟิงจิ่งเหยา จึงได้รีบเรียกเขาให้หยุดก่อน
เฟิงจิ่งเหยาได้ยินแล้วแต่ก็ไม่อยากสนใจ
แต่ลิฟต์ยังมาไม่ถึง และเธอก็ไล่ตามมาจนได้
“พี่จิ่งเหยาคะ ทำไมพี่ถึงไล่น้องออก? มีตรงไหนที่น้องยังทำไม่ดีพอหรือเปล่าคะ?”
ลู่ซือหยี่ตามเข้าไปถามถึงในลิฟต์
เฟิงจิ่งเหยามองดูเธอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ชวี่ยี่ยืนนิ่งไม่กล้าพูดอะไรอยู่อีกข้าง
ถ้าไม่ใช่เพราะเขารู้ความจริงแล้วล่ะก็ คงจะถูกคุณหนูบ้านตระกูลลู่นี่หลอกต่อไปอีกแน่
ในขณะที่เขากำลังบ่นอยู่ในใจนั้น ด้านเฟิงจิ่งเหยาก็ได้ตอบเธอว่า
“เธอทำอะไรไว้ เธอรู้อยู่แก่ใจดี”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทำให้ลู่ซือหยี่ถึงกับหลับตาปี๋และตัวแข็งทื่อ
เห็นได้ชัดว่าพี่จิ่งเหยารู้ว่าเธอเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เธอลืมตาขึ้นด้วยความตื่นตระหนก พยายามที่จะอธิบาย แต่คำพูดยังไม่ทันได้ออกจากปาก ลิฟต์ก็ได้เลื่อนมาถึงโรงจอดรถที่ชั้นใต้ดิน
“บริษัทไม่ต้องการคนที่คอยสร้างปัญหา เป็นเพราะฉันเห็นแก่คุณแม่ถึงยังได้ไว้หน้าเธอ เธอกลับบ้านตระกูลลู่ไปซะเถอะ”
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาพูดจบ ก็เดินผ่านเธอออกไปทันที
ลู่ซือหยี่ยืนอยู่ในลิฟต์มองดูร่างเขาที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยใบหน้าซีดเผือก
……
ในเวลาเดียวกัน ณ บ้านตระกูลเฟิง กู้ฉางฉิงได้รับข่าวว่าลู่ซือหยี่ถูกไล่ออกแล้ว
แม้ว่าที่บริษัทเฟิงจิ่งเหยาจะไม่ได้อธิบายถึงเหตุผลในการไล่ออก แต่เธอก็พอจะเดาออกอยู่บ้าง
เมื่อคืนตอนที่เธอถามเรื่องผู้แจ้งเบาะแสข่าวที่เล็ดลอดออกไปนั้น เฟิงจิ่งเหยาก็ไม่ได้พูดชัดเจน แต่เช้านี้พอไปถึงบริษัทก็ไล่ลู่ซือหยี่ออก
เกรงว่าลู่ซือหยี่จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปิดโปงข่าวนั้นนั่นเอง
แต่เธอไม่เข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้จะทำแบบนี้ไปทำไมกัน
หรือเป้าหมายจะเป็นตัวเธอเอง?
นี่เป็นการกระทำที่ต้องจ่ายราคาสูงเกินไปไหม อีกทั้งยังลากเฟิงซื่อให้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตามหลักแล้วลู่ซื่อหยี่ไม่น่าจะทำแบบนี้ได้
เธอคิดมากหลายอย่างแต่ก็ไม่เข้าใจเสียที สุดท้ายจึงเลิกคิดไป
เพราะอย่างไรก็ตามการที่ลู่ซือหยี่ออกไปถือเป็นข่าวดีสำหรับเธอ อย่างน้อยในอนาคตปัญหาในบริษัทก็จะน้อยลง
เมื่อเธอคิดได้ดังนั้น ก็รู้สึกสบายใจและกลับมาออกแบบงานอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จู่ ๆ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้นขัดจังหวะการสร้างสรรค์ผลงานของเธอ
เธอเหลือบไปมองโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ บนหน้าจอแสดงว่าเป็นสายจากกู้หงเซิน เธอจึงตัดสินใจที่จะไม่สนใจ
เพราะในใจเธอรู้ดีว่าการที่กู้หงเซินติดต่อมาในเวลานี้นั้นมีเพียงเหตุผลเดียว นั่นก็คือต้องการให้เธอช่วยเรื่องคดีความระหว่างตระกูลเฟิง
อย่างไรก็ตามเธอตั้งใจที่จะไม่ช่วยในเรื่องนี้
เพราะเคยบอกไว้แล้ว การที่เขาต้องรับผลอย่างในวันนี้ ล้วนเกิดจากตัวเขาเองทั้งนั้น
เอาของที่ไม่ดีมาย้อมแมวขาย แม้แต่เธอที่ไม่ใช่สายอาชีพนี้ยังรู้ถึงข้อห้ามนี้ในการทำธุรกิจ ส่วนเขานั้นรู้ดีแต่ก็ยังทำผิด
กู้หงเซินก็คงจะเดาออกว่าเธอตั้งใจจะไม่สนใจ
เมื่อโทรมาอีกสองสายไม่รับ เขาก็เปลี่ยนเป็นส่งข้อความแทน
‘ติ๊ง ติ๊ง’ ดังไม่หยุด ทำให้กู้ฉางฉิงไม่มีสมาธิที่จะออกแบบได้เลย เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู
ก็เห็นว่าข้อความทั้งหมดมีเนื้อหาข่มขู่และเตือนเธอ
กู้ฉางฉิงโกรธจนตัวสั่น แต่ก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านอีกต่อไป
เพราะกู้หงเซินใช้แม่ของเธอมาข่มขู่อีกแล้ว
“คุณต้องการอะไรกันแน่?”
กู้ฉางฉิงโทรศัพท์กลับไป เธอกัดฟันถาม
“ฉันต้องการอะไรแกไม่รู้หรือไง? ให้เฟิงจิ่งเหยายกเลิกจดหมายจากทนายความซะ!”
กู้หงเซินออกคำสั่งเสียงแข็ง
“ทำไม่ได้!”
กู้ฉางฉิงปฏิเสธออกไปอย่างไม่คิด
เมื่อกู้หงเซินได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น “แกไม่มีสิทธิ์จะปฏิเสธ เรื่องนี้แกต้องทำให้สำเร็จ”
เมื่อเขาพูดจบ ก็ไม่รอให้กู้ฉางฉิงได้ตอบโต้อะไรและขู่ขึ้นอีกครั้งว่า “อย่าคิดว่าตอนนี้ตัวแกอยู่บ้านตระกูลเฟิงแล้วฉันจะทำอะไรแกไม่ได้ นอกเสียจากว่าแกไม่อยากสนใจว่าแม่แกจะเป็นตายร้ายดียังไง!”

สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา

สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา

ก่อนแต่งงานแทนน้องสาวเข้าไปในตระกูลเฟิง กู้ฉางชิงได้ยินว่าเฟิงจิ่งเหยาเป็นคนที่เฉยเมย ต่อมาถึงได้รู้ว่าข่าวลือล้วนเป็นเรื่องโกหก คุณเฟิงไม่เพียงแต่ไม่เย็นชา กลับเป็นคนที่อบอุ่น แต่กระตือรือร้นเป็นพิเศษในการมีทายาท มีคนพูดเป่าหูต่อหน้าเขา “คุณเฟิง ก่อนคุณจะกลับประเทศ ในทุกๆคืนภรรยาของคุณจะไม่กลับบ้าน เพราะออกไปเมาข้างนอก” เฟิงจิ่งเหยา “หลังจากฉันกลับประเทศ ตอนค่ำภรรยาของฉันจะมาอยู่ที่ห้องฉัน ปรนนิบัติฉันไม่นอนทั้งคืน” มีคนพูดอีกว่า “ก่อนคุณจะกลับมา ภรรยาของคุณช้อปปิ้งทั้งวัน เปลี่ยนรถยี่ห้อหรูไม่หยุด แถมยังมีหนุ่มคอยอยู่เธอตลอดเวลา” เฟิงจิ่งเหยา พูดต่อว่า “หลังจากฉันกลับประเทศ บัตรเครดิตทุกใบของฉัน ฉันก็อยากให้ภรรยาฉันใช้ แต่เธอไม่ต้องการ ไปกลับจากที่ทำงานก็ให้ฉันไปรับแค่คนเดียว” สำหรับคนที่เย็นชา เมื่อมีภรรยาจะคลั่งรักเป็นพิเศษ

Options

not work with dark mode
Reset