สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา – ตอนที่ 81 ปกป้องภรรยาอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อกู้ฉางฉิงได้ยินคำพูดที่จะสร้างปัญหาขึ้นแน่ ๆ ของลู่ซือหยี่ ก็รีบขัดจังหวะขึ้นมาโดยไม่รอให้เธอพูดจบ
“คำพูดนี้ของน้องซือหยี่ก็ออกจากแรงเกินไปหน่อยนะคะ พี่ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นเลย”
พอเธอพูดจบ ก็หันมองไปที่คุณนายเฟิงที่ปั้นหน้าเย็นชาอยู่ และยิ้มพูดว่า “หนูเพียงหวังว่าคุณแม่จะให้โอกาสคนของหนูได้อธิบายอะไรบ้าง”
คุณนายเฟิงมองเธออย่างเงียบ ๆ
กู้ฉางฉิงก็ไม่ยอมแพ้ ส่งสายตาประสานกับคุณนายเฟิงเช่นกัน
ทันใดนั้นบรรยากาศในห้องนั่งเล่นก็เย็นยะเยือก
หัวหน้าจางมองดูพวกเธอขัดแย้งกัน ก็กระวนกระวายใจและรู้สึกไม่ดีอย่างมาก
เธอเดินก้าวเล็กไปข้างหน้า ไปถึงด้านหลังของกู้ฉางฉิง ใช้ระดับเสียงที่สามารถได้ยินกันเพียงสองคน พูดว่า “คุณหนูคะ เรื่องนี้เราปล่อยไปแบบนี้ดีกว่าไหมคะ อย่าให้คุณหนูกับคุณนายเฟิงต้องทะเลาะกันเพียงเพราะเรื่องของอาหลินเลยค่ะ มันอาจจะส่งผลไม่ดีต่อวันข้างหน้าได้”
กู้ฉางฉิงหันไปมองดูเธออย่างซาบซึ้ง เพราะเข้าใจดีว่าคำพูดนี้ของเธอหมายความว่าอย่างไร
อย่างน้อยเธอก็คิดถึงอนาคตของกู้ฉางฉิง
แต่เรื่องนี้มันไม่ปกติ ถ้าหาคำมาอธิบายให้ชัดเจนไม่ได้ เกรงว่าในภายหลังคนเหล่านี้ไม่รู้จะพูดถึงเธออย่างไรอีก
เมื่อถึงเวลานั้น เธอคงจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ได้แน่
“เรื่องนี้คุณอย่ายุ่งเลยจะดีกว่า ฉันจะปล่อยให้คนอื่นมาว่าบ้านสกุลกู้มือไม้ไม่สะอาดไม่ได้”
เธอตบแขนหัวหน้าจางเบา ๆ แสดงให้รู้ว่ามีเธออยู่ฝ่ายเดียวกัน
แล้วกู้ฉางฉิงถึงได้หันกลับมา และมองไปที่คุณนายเฟิงอีกครั้ง “ในเมื่อคุณแม่ไม่ว่าอะไร หนูก็ถือว่าคุณแม่อนุญาตนะคะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็ไม่สนใจว่าสีหน้าของคุณนายเฟิงจะแสดงออกอย่างไร และก็พูดต่อขึ้นเองว่า”น้องซือหยี่ ฉันมีคำถามจะถามน้องสักเล็กน้อย หวังว่าน้องจะไม่ปฏิเสธและตอบตามความเป็นจริง เพราะนี่เป็นทางออกเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ น้องเองก็คงไม่อยากปล่อยให้เรื่องนี้คาราคาซังต่อไปหรอกใช่ไหม”
เมื่อลู่ซือหยี่ถูกมัดมือชกแบบนี้ แม้จะอยากปฏิเสธแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ก็จึงทำได้เพียงกลั้นใจและกัดฟันพูดว่า “เธออยากจะถามอะไรล่ะ?”
“ง่ายมาก ฉันแค่อยากถามว่าเธอยังจำได้ไหมว่าวางสร้อยข้อมือนั้นไว้ที่ไหน?”
ลู่ซือหยี่ที่เข้าใจว่าเธอจะถามคำถามอะไรที่ยาก ๆ ที่ไหนได้กลับถามคำถามง่าย ๆแบบนี้ เธอจึงตอบโดยแทบไม่ต้องคิดว่า “ก็วางไว้บนโต๊ะน่ะสิ”
“บนโต๊ะเครื่องแป้ง หรือบนโต๊ะน้ำชา?”
กู้ฉางฉิงถามต่อ
“บนโต๊ะเครื่องแป้ง”
ลู่ซือหยี่ยังคงตอบอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด
“เข้าใจแล้ว อาหลิน ตอนที่เธอยกเครื่องดื่มขึ้นไปส่ง เธอได้เห็นสร้อยข้อมือบนโต๊ะหรือไม่?”
กู้ฉางฉิงซักถามอาหลิน
เหอหลินส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ค่ะ ตอนนั้นดิฉันยกเครื่องดื่มไปวางที่โต๊ะน้ำชา ไม่เคยไปที่โต๊ะเครื่องแป้งเลยค่ะ”
เมื่อกู้ฉางฉิงได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็หันหน้าไปอีกทางและพูดขึ้นมาว่า “น้องซือหยี่ ยังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”
เมื่อลู่ซือหยี่ได้ยินคำนั้นก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมา
คิดไม่ถึงว่าเธอจะตกหลุมพรางของนังสารเลวกู้ฉางฉิงเข้าให้
เธอกดความตื่นตระหนกไว้ และยังปากแข็งตอบกลับไปว่า “พูดอะไรน่ะ? ฉัน……ฉันอาจจะจำผิดไปบ้าง ใช่แล้ว ฉันจำผิดไป แค่นี้ไม่พอใช่ไหม?”
เมื่อกู้ฉางฉิงมองดูเธอเถียงข้าง ๆ คู ๆ ก็รู้สึกน่าขำนัก
“น้องซือหยี่ความจำดีมากอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของคน ๆ หนึ่ง น้องซือหยี่ต้องคิดให้ดีก่อนตอบ”
คำพูดของเธอแฝงนัยยะอย่างชัดเจน เมื่อลู่ซือหยี่ได้ยินก็โกรธมาก
“ดูเหมือนว่าพี่สะใภ้จะเข้าใจผิดประเด็นไปหน่อยนะคะ ตอนนี้เรากำลังสอบสวนเรื่องที่คนใช้ของพี่ขโมยของอยู่ ทำไมพี่สะใภ้ถึงกลับมาสอบสวนฉันแทนได้ล่ะ”
เธอพูดด้วยสีหน้าโกรธ ๆ ว่า “ฉันว่าพี่สะใภ้ตั้งใจจะเข้าข้างคนของตัวเองมากกว่า ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราก็ให้ตำรวจมาจัดการดีกว่า สร้อยข้อมือเส้นนั้นแม้ว่าจะล้าสมัยแล้ว แต่ก็เป็นสร้อยข้อมือเพชร และพวกใบการันตีก็มีครบ ถ้าหากเอาไปประเมินราคาดูมูลค่าก็เกินล้านแน่ ๆ นี่น่าจะเพียงพอสำหรับโทษอาชญกรรม”
กู้ฉางฉิงคาดไม่ถึงว่าเธอจะย้อนกลับมาหักล้างเช่นนี้ ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปขณะหนึ่ง ไม่รู้จะตอบสนองกลับอย่างไรดี
เมื่อเหอหลินได้ยินว่าจะแจ้งความก็ตกใจมาก เธอคุกเข่าลงบนพื้นและขอร้อง
“คุณหนูลู่ผู้มีเมตตาขอร้องล่ะค่ะ ปล่อยดิฉันไปเถอะ ดิฉันไม่ได้ขโมยสร้อยข้อมือของคุณไปจริง ๆ นะคะ จะให้ดีฉันสาบานต่อหน้าฟ้าดินก็ได้ ถ้าหากว่าดิฉันขโมยสร้อยข้อมือของคุณหนูลู่ไปจริง ก็ขอให้ดิฉันไม่ได้ตายดี”
เมื่อหัวหน้าจางเห็นเช่นนี้ ก็รีบคุกเข่าลงด้วย “คุณหนูลู่ ดิฉันรู้ดีว่าลูกสาวของดิฉันไม่กล้าที่จะทำเช่นนี้แน่นอนค่ะ ขอให้คุณถือว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดแล้วปล่อยเธอไปสักครั้งเถอะค่ะ เธอยังเด็กนัก ถ้าต้องติดคุกติดตารางไป ก็เท่ากับหมดอนาคตไปเลย”
ลู่ซือหยี่ฟังพวกเขาอ้อนวอนขอคววามเมตตา แต่ในใจกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด
“พี่สะใภ้จะว่าอย่างไรดีคะ?”
เธอมองไปที่กู้ฉางฉิงอย่างสบอารมณ์
กู้ฉางฉิงมองกลับไปที่เธอ กำมือไว้แน่น
และในขณะที่เธอกำลังไม่รู้ว่าจะต้องจัดการเรื่องต่ออย่างไรนั้นเอง ก็มีเสียงสนทนาระหว่างเฟิงจิ่งเหยากับเฟิงซู่ค่อย ๆ ดังใกล้เข้ามา
ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะคุยกันเรื่องงาน ไม่นานทั้งสองก็เดินเข้ามาในห้องรับแขก และเมื่อเห็นภาพที่อยู่เบื้องหน้า พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและถามขึ้นพร้อมกันว่า “มีเรื่องอะไรกัน?”
เมื่อคุณนายเฟิงเห็นทั้งสองคน จึงได้รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทันที แถมยังหันไปยิ้มเย้ยใส่กู้ฉางฉิง
“จิ่งเหยา ดูภรรยาที่แสนดีของเธอสิ เข้าข้างคนนอกไม่ว่ายังหาว่าแม่เป็นคนใส่ร้ายอีก”
เฟิงจิ่งเหยาขมวดคิ้วแน่นและมองไปทางกู้ฉางฉิง
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?”
กู้ฉางฉิงเม้มริมฝีปากแล้วตอบว่า “ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ คุณแม่ท่านเข้าใจฉันผิดค่ะ”
พูดจบ เธอก็เล่าถึงเรื่องราวการสอบสวนของเธออีกรอบ หลังจากนั้นก็มองไปที่เฟิงจิ่งเหยาด้วยใจจดจ่อ
โดยไม่รอให้เฟิงจิ่งเหยาตอบกลับอะไร เฟิงซู่ก็ทนไม่ไหวและพูดขึ้นว่า “เรื่องแค่นี้พวกเธอก็จะแจ้งความกันแล้ว จะให้ทุกคนพากันรู้เรื่องหมด ไม่ขายหน้าคนอื่นเขาหรืออย่างไร?”
กู้ฉางฉิงกั้นหายใจไปครู่หนึ่ง
ส่วนคุณนายเฟิงกับลู่ซือหยี่ก็มีสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดีนัก
เฟิงซู่ไม่ได้สนใจพวกเธอและพูดขึ้นมาอีกว่า “คนรับใช้ที่รู้จักขโมยของแบบนี้ ไล่ออกจากบ้านตระกูลเฟิงไปซะก็สิ้นเรื่อง”
เมื่อเหอหลินกับหัวหน้าจางได้ยินดังนั้นแล้วก็อ้าปากค้าง ไม่รู้ควรพูดอะไรดี และมองไปที่กู้ฉางฉิง
อย่างไรก็ตามก่อนที่กู้ฉางฉิงจะว่าอะไรขึ้นมาอีก ลู่ซือหยี่ก็รีบแสดงออกขึ้นมาทันที
เธอหันมาสบตาและพูดจาอย่างเรียบร้อยต่อหน้าเฟิงซู่ว่า “ในเมื่อคุณลุงพูดแบบนี้ เรื่องนี้ก็ให้มันจบแบบนี้เถอะค่ะ ส่วนคุณป้าหมิงก็รีบหายโกรธเถอะนะคะ อย่าเสียอารมณ์เพราะคนนอกเพียงคนเดียวเลยค่ะ ไม่คุ้มกันเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ คุณนายเฟิงก็ตบไหล่เธอเบา ๆ “ซือหยี่เป็นเด็กที่กตัญญูที่สุด ไม่เหมือนคนบางคน ไม่แยกแยะคนในคนนอก”
เธอพูดพลางมองไปที่กู้ฉางฉิง
สีหน้าของกู้ฉางฉิงแข็งขึ้น เกือบจะหลุดขำออกมาด้วยความโกรธ
จะดีจะเลวพวกเธอก็พูดเองเออเองหมด ในสายตาของพวกเธอเธอเหมือนไม่ใช่คน
เฟิงจิ่งเหยาถึงกับขมวดคิ้วเมื่อฟังพวกเธอพูดจาเหน็บแนมกันไปมา
โดยเฉพาะเมื่อเห็นแววตาประชดประชันของกู้ฉางฉิงที่บ่งบอกถึงความอึดอัดมาก
สัญชาตญาณบอกเขาว่า เรื่องราวมันไม่ง่ายอย่างที่เห็น
เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็กวาดสายตาไปที่เหอหลินและหัวหน้าจางที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พูดด้วยเสียงเข้มว่า “คุณพ่อครับ มีการขโมยเกิดขึ้นในบ้าน หากเราปล่อยไปง่าย ๆ แบบนี้ ต่อไปพวกคนรับใช้ก็จะพากันทำตาม แล้วบ้านนี้จะกลายเป็นอะไร เรื่องนี้จำเป็นต้องสอบสวนอย่างรอบคอบ”
เมื่อเฟิงซู่ได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกมีเหตุผล พยักหน้าพูดว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เรื่องนี้ก็ให้ลูกจัดการก็แล้วกัน”
เฟิงจิ่งเหยาพยักหน้ารับคำ
แล้วเขาก็มองไปที่กู้ฉางฉิง และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไหนคุณเล่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรอย่างละเอียดให้ผมฟังสิ ผมจำได้ว่าคุณเป็นคนพาสองคนนี้มาจากบ้านสกุลกู้นิ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หัวใจของกู้ฉางฉิงก็หนักอึ้ง
คำพูดนี้ทำให้เธอเข้าใจว่าเฟิงจิ่งเหยากำลังเข้าข้างคุณนายเฟิงกับลู่ซือหยี่

สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา

สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา

ก่อนแต่งงานแทนน้องสาวเข้าไปในตระกูลเฟิง กู้ฉางชิงได้ยินว่าเฟิงจิ่งเหยาเป็นคนที่เฉยเมย ต่อมาถึงได้รู้ว่าข่าวลือล้วนเป็นเรื่องโกหก คุณเฟิงไม่เพียงแต่ไม่เย็นชา กลับเป็นคนที่อบอุ่น แต่กระตือรือร้นเป็นพิเศษในการมีทายาท มีคนพูดเป่าหูต่อหน้าเขา “คุณเฟิง ก่อนคุณจะกลับประเทศ ในทุกๆคืนภรรยาของคุณจะไม่กลับบ้าน เพราะออกไปเมาข้างนอก” เฟิงจิ่งเหยา “หลังจากฉันกลับประเทศ ตอนค่ำภรรยาของฉันจะมาอยู่ที่ห้องฉัน ปรนนิบัติฉันไม่นอนทั้งคืน” มีคนพูดอีกว่า “ก่อนคุณจะกลับมา ภรรยาของคุณช้อปปิ้งทั้งวัน เปลี่ยนรถยี่ห้อหรูไม่หยุด แถมยังมีหนุ่มคอยอยู่เธอตลอดเวลา” เฟิงจิ่งเหยา พูดต่อว่า “หลังจากฉันกลับประเทศ บัตรเครดิตทุกใบของฉัน ฉันก็อยากให้ภรรยาฉันใช้ แต่เธอไม่ต้องการ ไปกลับจากที่ทำงานก็ให้ฉันไปรับแค่คนเดียว” สำหรับคนที่เย็นชา เมื่อมีภรรยาจะคลั่งรักเป็นพิเศษ

Options

not work with dark mode
Reset