หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 997 การคัดออกอันโหดเหี้ยม

ภายนอกเจดีย์ฝึกพลังกาย

หน้าจอลอยอยู่เบื้องหน้า ขณะนี้จุดแสงหนึ่งกำลังกะพริบรุนแรงขณะพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่น่ากลัว ในเวลาไม่กี่นาทีก็เข้าใกล้ปราการด่านมุ่งสู่ชั้นสามแล้ว

จอมยุทธ์รอบข้างต่างตะลึงกับฉากนี้ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดจากอาการตกตะลึงเมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ หลังจากนั้นคลื่นความปั่นป่วนที่น่าตกใจก็ดังก้อง

“นี่…เกิดอะไรขึ้น? ทำไมความเร็วของมู่เฉินถึงเพิ่มขึ้นขนาดนั้น?!”

“เร็วอะไรปานนี้! ความเร็วของเขาเกินกว่าทุกคน สวรรค์… เขาไปถึงปราการเข้าสู่ชั้นสามแล้ว!”

“โอ้ เร็วจนน่าสะพรึง!”

“…”

เสียงไม่อยากจะเชื่อดังขึ้น จอมยุทธ์จากเผ่าต่างๆ ต่างตะลึงงัน เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคาดว่ามู่เฉินที่ดูเหมือนจะยอมแพ้ไปแล้วจะระเบิดการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาดังกล่าว

ฝั่งเผ่ากระเรียนฟ้าก็มีอาการตื่นตะลึงฉาบทั่วใบหน้าโดยเฉพาะหลิ่วชิง รอยยิ้มมั่นอกมั่นใจที่แขวนอยู่บนใบหน้าก็แข็งค้าง สายตานางยึดติดอยู่บนจุดแสงที่กะพริบอย่างบ้าระห่ำ ราวกับว่านางอยากจะกลืนแสงนั่นเข้าไปให้หมดจด

“ไอ้บ้านั่น! เป็นไปได้ยังไง?!”

หัวใจของหลิ่วชิงกระเด้งขึ้นพร้อมกับระลอกคลื่น นางฉายสีหน้าเขียวคล้ำขณะกัดฟันกรอด “มันต้องใช้ทักษะลับบางอย่างแน่ ซึ่งไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้นาน แต่เป็นไปไม่ได้ที่มันจะพึ่งสิ่งนี้ฝ่าฟันปราการเข้าสู่ชั้นสามได้!”

ทว่าทันทีที่นางพูดจบ ความปั่นป่วนก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง

“เขาเข้าไปปราการชั้นสามแล้ว!”

“น่ากลัวอะไรขนาดนี้ เขายังไม่ลดความเร็วเลย!”

“ปราการไม่สามารถกีดขวางเขาได้เหรอ?”

จุดแสงบนหน้าจอที่มุ่งเข้าสู่ชั้นสามยังคงกะพริบอย่างรุนแรง นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อก็คือความจริงที่ว่าความเร็วไม่ลดลงกลับเพิ่มขึ้น!

บรรยากาศภายนอกเจดีย์ราวกับแข็งค้างไป

แม้แต่หลิ่วชิงยังอ้าปากพะงาบๆ คำพูดติดอยู่ในลำคอ รูปลักษณ์ของนางยามนี้ตลกมาก

ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อหรือไม่ พวกเขาก็ได้แต่ยอมรับความจริงที่โหดร้ายนี้…

จุดลึกสุดของชั้นสามในเจดีย์ฝึกกาย

พื้นที่ตรงนี้มืดสนิทปกคลุมไปด้วยชั้นเมฆพายุจนถึงจุดที่แม้แต่ท้องฟ้ายังถูกปกคลุมหนาแน่นไปด้วยมังกรสายฟ้าขนาดใหญ่ที่ฉีกเส้นขอบฟ้าออกจากกัน พลังอำนาจของสายฟ้าทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน

ยามนี้ขณะที่สายฟ้าทำลายล้างพุ่งลงมา เงาร่างคนกลุ่มหนึ่งก็ยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างของพวกเขา สลายสายฟ้าที่ฟาดลงมาไม่ยั้ง

จงเถิง หานซันและมั่วเฟิงยืนอยู่หน้าสุดพร้อมกับจ้องมองไปเบื้องหน้า

บริเวณนั้นเมฆสายฟ้าราวกับก่อเป็นลานก้อนเมฆมหึมาขนาดหลายพันหมื่นจั้ง เบื้องหลังลานมิติเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่สามารถมองเห็นเส้นแสงนับไม่ถ้วนบินว่อนอยู่ภายในราวกับดาวหาง

แต่ละคนจ้องมองไปที่ดาวหางเหล่านั้น ดวงตาอดไม่ได้ที่หดเกร็ง นั่นเป็นเพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงหยดของเหลวที่วูบไหวด้วยประกายสายฟ้าอยู่ภายในนั้น

พลังงานบริสุทธิ์ที่มีความรุนแรงมากเล็ดลอดออกมาจากพวกมัน

“นั่นคือ…แก่นสายฟ้า?”

ความโลภพุ่งพรวดบนใบหน้าของพวกเขาทันที สิ่งที่เรียกว่าแก่นสายฟ้าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากสายฟ้าได้รับการขัดเกลาในระดับหนึ่งซึ่งมีผลในการทำความสะอาดไขกระดูกและกระดูก นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการปรับแต่งร่างกายที่ไม่ด้อยไปกว่าโคลนโลหิตเลย

แต่ละคนละฉายสายตาโลภออกมา แก่นสายฟ้าอยู่หลังลานเมฆสายฟ้า ดังนั้นพวกเขาจะต้องผ่านลานเมฆน่าสะพรึงนี้ไปก่อน ถ้าพวกเขาต้องการที่จะได้รับแก่นสายฟ้านี้

ซึ่งที่นี่เป็นปราการที่จะเข้าสู่ชั้นสี่

คนที่สามารถผ่านที่นี่ไปได้ถึงจะสามารถเข้าสู่ชั้นสี่ของเจดีย์ฝึกพลังกายได้!

เมื่อพวกเขามองไปด้านหลังลานเมฆสายฟ้าก็เห็นว่ามีเบาะห้าผืนที่วูบวาบด้วยเกลียวสายฟ้า พอมองไปดวงตาของพวกเขาก็ส่องประกาย

นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าเบาะทั้งห้าแสดงถึงจำนวนคนที่สามารถไปต่อในชั้นสี่ได้

หมายความว่าลานแห่งนี้จะกำจัดคนครึ่งหนึ่งที่นี่ออก

ช่างเป็นการกำจัดที่โหดร้ายนัก

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ สีหน้าของจงเถิง หานซันและมั่วเฟิงก็ยังคงไม่แยแส แต่กลับมีความมั่นใจรวมตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าตัวเองจะเป็นหนึ่งในห้านั่น

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ขณะที่พวกเขารอคอยเสียงลมฉีกอากาศก็ดังก้องขึ้นเป็นครั้งคราวจากด้านหลัง มองเห็นร่างน่าสมเพชหลายร่างเคลื่อนเข้ามา

พวกเขาก็คือจอมยุทธ์อัจฉริยะจากเผ่าอื่นๆ ที่ตามหลังทั้งสามมา เมื่อพวกเขาเห็นเบาะทั้งห้า ม่านตาก็หดลง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นหลายส่วน

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าใจถึงความยากลำบากในการยึดหนึ่งในห้าที่นั่งนี้

ขณะที่สายฟ้าสร้างหายนะไปในมิติ ร่างเงาก็ยืนกระจายตัวอยู่บนท้องฟ้าห่างไกลกันมาก พวกเขาต่างเฝ้าระแวงกันและกัน

ดวงตาจงเถิงที่หลับลงก็ลืมขึ้นพลางมองจำนวนคนที่อยู่ที่นี่ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้น อย่างที่เขาคาดไว้มีเพียงเก้าคนที่มาถึงที่นี่

มู่เฉินจากเผ่าวิหคโลกันต์ถูกคัดออกแล้วจริงๆ

“น่าขำให้ฟันร่วง”

จงเถิงพึมพำกับตัวเองจากนั้นก็ส่ายหัว ไม่คิดจะใส่ใจกับคนที่ล้มเหลวนั่นอีกแล้ว เขากวาดสายตารอบๆ จ้องมองคู่แข่งทั้งแปดคนแล้วก็หัวเราะ “ทุกคน ได้เวลาแล้ว เราเข้าสู่ลานเมฆสายฟ้าด้วยกันเลยไหม? จากนั้นก็พึ่งพาวิธีของตนเองเพื่อให้ได้รับที่นั่งไป”

ไกลออกไป หานซัน สีคุนและคนอื่นๆ ก็พยักหน้าอย่างเฉยเมย

มีเพียงมั่วเฟิงเท่านั้นที่ขมวดคิ้วมองกลับไปด้านหลังจากนั้นก็ถอนหายใจ หากมู่เฉินยังมาไม่ถึง เขาก็จะถูกกำจัดเป็นคนแรกแล้วจริงๆ

เมื่อจงเถิงเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน เขาก็ยิ้มก้าวออกไป ทว่าขณะที่กำลังจะเข้าสู่ลานเมฆสายฟ้าสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปกะทันหัน เขาหันขวับก่อนจะมองออกไปในระยะไกลด้วยความตกใจและประหลาดใจ

ในเวลาเดียวกันดวงตาของหานซันและมั่วเฟิงก็หดลง นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังที่เปล่งออกมาจากด้านหลัง

“มีใครกำลังมาอีกเรอะ?!” เมื่อสัมผัสถึงความผันผวนนี้ ทุกคนก็ตกใจไปก่อนที่จะแลกเปลี่ยนสายตากัน

“นั่นมู่เฉิน! เขาตามมาทันแล้ว!”

แววตะลึงพรึงเพริดฉาบบนใบหน้าของหานซัน เขามองไปทางด้านหลังที่ห่างไกล เสียงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “รวดเร็วอะไรอย่างนี้ เขาไม่กลัวสายฟ้าในสถานที่นี้เหรอ?”

เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกเช่นกันว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่พุ่งตรงมาไม่มีความกังวลว่าจะถูกฟ้าผ่าตายเลย

ครืน!

ขณะที่หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน สายฟ้าที่ด้านหลังก็รุนแรงยิ่งขึ้น เพียงช่วงเวลาไม่กี่สิบลมหายใจทุกคนก็เห็นแสงสีทองแยกความมืดออกแล้วพุ่งเข้ามา

สายฟ้าผ่าลงมาจากท้องฟ้ากระแทกร่างแสงสีทองจังใหญ่ ทว่าเกลียวสายฟ้าเหล่านั้น ทำให้ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยเท่านั้นโดยที่ความเร็วไม่ได้ลดลงเลย

ฟิ้ว!

ขณะที่แสงสีทองกะพริบวาบ ร่างคนคนหนึ่งก็เผยตัวนอกลานเมฆสายฟ้า ครั้นแสงสีทองกระจายออกไป ชายหนุ่มที่ดูอ่อนเยาว์ก็ปรากฏอยู่ในครรลองสายตาของทุกคน

แสงสีทองจางลง มู่เฉินก็ยืนไว้สง่าบนท้องฟ้าพลางมองคนอื่นก่อนที่จะยิ้มบาง “ทำให้พวกเจ้ารอนานซะแล้ว”

มู่เฉินยืนอยู่บนแสงสีทอง บนร่างสูงโปร่งผิวหนังไหลเวียนด้วยแสงสีทอง ทว่าเผชิญหน้ากับมู่เฉินที่มาพร้อมกับพายุสายฟ้า กระทั่งจอมยุทธ์ทรงพลังอย่างจงเถิงและหานซันยังต้องหดเกร็งดวงตา เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามคลุมเครือที่มาจากมู่เฉิน

“ทำไมเขาเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเดิม?!” จงเถิงไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่ก็อดกำหมัดไม่ได้ เขาสัมผัสได้ว่ามู่เฉินตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

หานซันจ้องมองมู่เฉินลึกล้ำก่อนจะกวาดสายตา “ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่ เราก็เริ่มกันเถอะ ส่วนใครจะไปถึงชั้นสี่ได้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเองแล้ว”

ขณะที่พูดเขาก็ไม่ลังเลขยับตัวกลายเป็นร่างแสงพลิ้วลงบนลานเมฆสายฟ้า สองมือไพล่ไว้ด้านหลัง ปลดปล่อยรัศมีที่น่ากลัวออกมา

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

หลังจากหานซันเข้าไป คนอื่นก็พลิ้วตัวลงบนลานเมฆสายฟ้า ทว่าแต่ละคนก็ยังรักษาระยะห่างระหว่างกัน

มู่เฉินก็พลิ้วตัวลงมา จากนั้นสายตาวูบไหว ตัดสินจากมุมมองชั้นสี่คงจะเป็นการประลองกัน ไม่ว่าอย่างไรมีเพียงห้าคนเท่านั้นที่จะยืนอยู่บนลานเมฆสายฟ้าและมีคุณสมบัติเข้าสู่ชั้นสี่ได้

“ครึ่งหนึ่งจะถูกคัดออกรึ?”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง จากนั้นแสงก็รวมตัวกันที่ปลายนิ้ว

ขณะที่แสงค่อยๆ รวมตัวกันที่ปลายนิ้วของมู่เฉิน ดวงตาของจงเถิงก็หรี่ลง ก่อนที่เขาจะหันกลับมองไปในทิศทางหนึ่ง

ชายเสื้อคลุมดำคนหนึ่งกำลังจ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาเย็นชาเช่นกัน เขาก็คือจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่าอีกาสายฟ้าที่พวกมู่เฉินเคยสู้ด้วยบนวงแหวนอุกกาบาต

ชายเสื้อคลุมสีดำแลกเปลี่ยนสายตากับจงเถิง จากนั้นก็เหมือนจะตกลงบางอย่างกัน เขายิ้มน่าขนลุกสาวเท้าตรงไปหามู่เฉิน

มั่วเฟิงรับรู้ถึงเจตนาของจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าที่มีต่อมู่เฉิน เขาขมวดคิ้วก่อนที่จะขยับตัว

ทว่าจังหวะที่มั่วเฟิงขยับ ร่างร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวเบื้องหน้า จงเถิงยืนอยู่พร้อมกับยิ้มไม่เชิงยิ้ม

“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าพี่มั่วเป็นเสาหลักในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่าวิหคโลกันตร์ วันนี้มีโอกาสได้พบกัน ข้าหวังว่าจะได้รับคำชี้แนะบ้าง”

สายตามั่วเฟิงเย็นชาลงหลายส่วนเมื่อจ้องมองจงเถิงที่เข้ามาขวาง ชัดว่าอีกฝ่ายต้องการขัดขวางเขาเพื่อซื้อเวลาให้จอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าจัดการกับมู่เฉิน

“เจ้าคิดว่าแค่กักข้าไว้จะสามารถกำจัดมู่เฉินได้เหรอ? ไร้เดียงสาไปแล้ว” มั่วเฟิงเค้นเสียงเย็นเยือก

“จริงเหรอ?”

เมื่อจงเถิงได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้ม “หากไม่มีเวลาสร้างค่ายกลแค่ระดับจื้อจุนขั้นหกจะมีความหมายอะไร?”

เขาหันไปมองที่ชายเสื้อคลุมสีดำที่ปรากฏตรงหน้ามู่เฉินแล้ว รอยเยาะเย้ยก็ปรากฏในดวงตา ไอ้บ้านี้ไล่ตามมาอย่างเต็มกำลัง แต่ก็คงจะเป็นคนแรกที่ถูกกำจัด

ถ้าเป็นเช่นนั้น…ก็ตลกน่าดู

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป ‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้ แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์ แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง? ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน… The Great Thousand World. It is a place where numerous planes intersect, a place where many clans live and a place where a group of lords assemble. The Heavenly Sovereigns appear one by one from the Lower Planes and they will all display a legend that others would desire as they pursue the road of being a ruler in this boundless world. In the Endless Fire Territory that the Flame Emperor controls, thousands of fire blazes through the heavens. Inside the Martial Realm, the power of the Martial Ancestor frightens the heaven and the earth. At the West Heaven Temple, the might of the Emperor of a Hundred Battles is absolute. In the Northern Desolate Hill, a place filled with thousands of graves, the Immortal Owner rules the world. A boy from the Northern Spiritual Realm comes out, riding on a Nine Netherworld Bird, as he charges into the brilliant and diverse world. Just who can rule over their destiny of their path on becoming a Great Ruler? In the Great Thousand World, many strive to become a Great Ruler.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset