หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1004 แผ่นศิลาสีดำ

เมื่อมู่เฉินผ่านรัศมีแสงเข้ามายังชั้นสี่ของเจดีย์ฝึกพลังกาย

แสงที่เบื้องหน้าก็ดำมืดลง แต่ไม่กี่อึดใจความมืดก็ถดถอย เมื่อความมืดหายไปภาพทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายของมู่เฉินก็คือภาพที่เห็นไม่ใช่สภาพแวดล้อมเลวร้าย แต่เป็นจัตุรัสเก่าแก่ที่มีขนาดประมาณหนึ่งพันจั้ง เขาพลิ้วตัวลงที่มุมหนึ่งของจัตุรัสโดยมีอีกสี่คนอยู่ไม่ไกลจากกัน

“นี่คือชั้นสี่ของเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณเหรอ?”

มู่เฉินอึ้งไปเมื่อกวาดตามองสภาพแวดล้อม จัตุรัสแห่งนี้เก่ามากซึ่งมีร่องรอยแห่งกาลเวลาถูกทิ้งไว้ ความอ้างว้างแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่

ช่างแตกต่างจากสภาพแวดล้อมเลวร้ายทั้งสามชั้นก่อนหน้ามาก จัตุรัสนี้เงียบสงบ ดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรพิเศษเมื่อมองแวบแรก ดังนั้นภาพเบื้องหน้านี้จึงทำให้เกิดความสงสัยขึ้นในหัวใจเขา

“ที่นี่คือชั้นสี่ของเจดีย์” เสียงดังก้องข้างๆ มู่เฉิน มั่วเฟิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางเฉยเมย

มู่เฉินอึ้งไปพลางขมวดคิ้ว “สถานที่นี้มีอะไรพิเศษไหม?”

ในเมื่อที่นี่เป็นชั้นสี่ของเจดีย์ฝึกพลังกาย ก็ไม่มีทางดูง่ายเหมือนบนพื้นผิวหรอก

มั่วเฟิงพยักหน้าจากนั้นก็ชี้ไปที่ศูนย์กลางของจัตุรัสโบราณ “ดูนั่นสิ”

มู่เฉินพุ่งสายตาไป จากนั้นดวงตาก็หดเกร็งลง เพราะเขาสังเกตเห็นแผ่นศิลาสีดำที่ใจกลางจัตุรัสโบราณ

แผ่นศิลาสีดำนี้ไม่ใหญ่นัก จึงถูกละเลยได้ง่ายในจัตุรัสกว้างใหญ่นี้ ดังนั้นกระทั่งมู่เฉินยังไม่สังเกตเห็นก่อนหน้า

แต่…การทดสอบชั้นสี่ของเจดีย์คือแผ่นศิลาสีดำรึ?

มู่เฉินสับสน

“นี่คือศิลาพลังยุทธ์” มั่วเฟิงอธิบาย

“ศิลาพลังยุทธ์?” มู่เฉินรู้สึกปวดหัวหนึบ เนื่องจากตัวเขามีความเข้าใจน้อยมากเกี่ยวกับดินแดนเสินโซ่

“ที่จริงกฎการทดสอบชั้นสี่ง่ายมาก แค่ชกศิลานี้ด้วยพลังกายของเจ้าก็เรียบร้อย”

มั่วเฟิงกล่าวต่อ “เห็นตะเกียงทองแดงตรงหน้าศิลาไหม?”

มู่เฉินพยักหน้า ตอนที่สังเกตแผ่นศิลาสีดำ เขาก็พบตะเกียงทองแดงเก้าดวงวางอยู่ที่เบื้องหน้า เว้นแต่ว่าพวกมันดำสนิทไม่มีเปลวไฟใดๆ

“นี่คือการทดสอบความแข็งแกร่งของพลังกาย ซึ่งขีดสูงสุดคือตะเกียงทั้งเก้าส่องสว่าง แต่โดยทั่วไปแล้วมันเป็นไปไม่ได้ เพราะนี่เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ยังไม่สามารถทำได้”

ริ้วความตื่นตะลึงวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน แม้แต่ความแข็งแกร่งเต็มรูปแบบของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ไม่สามารถทำให้ตะเกียงสว่างได้ทั้งเก้าดวงรึ? ศิลาพลังยุทธ์ที่ดูแสนธรรมดานี้สามารถทนต่อพลังที่น่ากลัวเพียงนั้นได้จริงเหรอ?

“ตามกฎแล้วตราบใดที่สามารถทำให้ตะเกียงส่องสว่างครบหกดวงก็ผ่านชั้นสี่ได้”

“ตะเกียงหกดวงรึ?” มู่เฉินกำหมัดแน่นด้วยความกระตือรือร้นวูบไหวในดวงตา หากใช้เพียงพลังกาย เขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าใครในที่นี่ นอกจากนี้เขาก็อยากทดสอบว่าพลังกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดจากวิชากายามังกรหงส์

เมื่อมั่วเฟิงเห็นท่าทางมู่เฉินก็อดเตือนไม่ได้ “อย่าประมาท จากข่าวที่ข้าได้รับ ปีก่อนๆ อัจฉริยะแปดถึงเก้าส่วนล้มเหลวในชั้นนี้”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เขาไม่ได้คิดดูถูกอะไรเลย แต่คำพูดของมั่วเฟิงก็ยิ่งทำให้เขาตกใจ ดูเหมือนความยากลำบากในการทำให้ตะเกียงส่องสว่างหกดวงจะไม่ใช่งานเล็กเลย

“การผ่านชั้นสี่มีประโยชน์อะไรบ้างเหรอ?” มู่เฉินถามคำถามที่สำคัญที่สุด สามชั้นแรกมีสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายเพื่อชำระพลังกาย แล้วชั้นสี่ล่ะ? เขาจะได้อะไรถ้าสามารถจุดตะเกียงทองแดงหกดวงได้? ตามกฎของเจดีย์ฝึกพลังกายก็ไม่น่าจะปล่อยให้ผู้ท้าชิงกลับไปมือเปล่าหรอกมั้ง?

“ผลประโยชน์ก็มาจากแผ่นศิลานั่นไง” มั่วเฟิงยิ้มจ้องมองที่แผ่นศิลาสีดำ มู่เฉินไม่รู้ว่าตนเองมองอะไรพลาดไปรึเปล่า แต่เขาสามารถเห็นไฟลุกโชนขึ้นในดวงตาของมั่วเฟิง

ดูท่าศิลานี้จะไม่ง่ายเหมือนที่เห็นภายนอกแล้ว

“เจ้ารู้ไหมว่าศิลานี้ทำมาจากอะไร?” มั่วเฟิงถาม

มู่เฉินส่ายหัว เขาไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่งที่นี่

“ทำมาจากร่างเทพอสูรกลืนฟ้า”

“เทพอสูรกลืนฟ้า?” มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นท่าทางก็สั่นเทิ้ม ในตำนานเล่าว่าเทพอสูรกลืนฟ้าเป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่เกิดมาระหว่างฟ้าดิน ไม่ได้เกิดมาจากสายเลือดใดๆ ดังนั้นความบริสุทธิ์จึงเหนือกว่ามหาอสูรเผ่าพันธุ์อื่นๆ ยิ่งกว่านั้นก็ปรากฏตัวเพียงในสมัยโบราณเท่านั้น ไม่มีใครเคยได้ยินถึงการปรากฏตัวในปัจจุบันเลย

เทพอสูรกลืนฟ้า ถ้าอยู่ในความโกรธคลั่งสามารถกลืนกินท้องฟ้าได้เลยทีเดียว ซึ่งแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังหวาดกลัว

มู่เฉินเคยเห็นข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับพวกมันในตำราโบราณ แต่เขาไม่คิดว่าศิลาที่ดูแสนธรรมดานี้จะทำจากร่างเทพอสูรกลืนฟ้า

“ยากที่จะจินตนาการ” มู่เฉินถอนหายใจ เทพอสูรกลืนฟ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แม้แต่มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ยังหวาดกลัว

“เมื่อส่งกระบวนท่ากระแทกลงบนศิลาพลังยุทธ์ แก่นโลหิตบริสุทธิ์ของเทพอสูรกลืนฟ้าจะไหลซึมออกมา แก่นโลหิตนี้จะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งในการโจมตี… พูดง่ายๆ ก็คือยิ่งตะเกียงทองแดงสว่างเท่าไร ความแข็งแกร่งของแก่นโลหิตที่ได้รับก็มากเท่านั้นและนี่คือประโยชน์ของชั้นสี่ เจ้าเข้าใจหรือยัง?” มั่วเฟิงจ้องมองด้วยสายตาทวีความร้อนขึ้นขณะที่พูดช้าๆ

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน จากนั้นก็พยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม แก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้า… หากเขาสามารถดูดซับได้ คงเห็นได้ชัดว่าจะน่าตกใจเพียงใดสำหรับการปรับแต่งพลังทางกายภาพของตนเอง

นี่เป็นสิ่งที่มีพลังยิ่งใหญ่กว่าแก่นสายฟ้าเสียอีก มิน่าล่ะกระทั่งมั่วเฟิงยังถูกล่อลวงไปด้วย

เจดีย์ฝึกพลังกายนี้แต่ละชั้นเป็นสมบัติยอดเยี่ยมแท้จริง…

ขณะที่มั่วเฟิงพูดคุยกับมู่เฉิน หานซัน จงเถิงและสีคุนก็ฉายความโลภและความเคร่งขรึมบนใบหน้า ขณะที่จ้องมองแผ่นศิลาสีดำ ก่อนที่ทั้งห้าจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเข้ามาใกล้ มู่เฉินก็พบว่าแผ่นศิลาสีดำถูกปกคลุมด้วยรอยฝ่ามือหนาแน่น ซึ่งเห็นได้ชัดจากผู้ที่มาเยี่ยม ณ ที่แห่งนี้ในอดีต

ศิลาพลังยุทธ์มีความทนทานเป็นอย่างยิ่งจนถึงจุดที่ดูเหมือนไม่ได้ทำมาจากเลือดเนื้อ ทว่าสีดำมะเมื่อมก็ปลดปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา ทำเอากระแสโลหิตถึงกับปั่นป่วนเลยทีเดียว

มู่เฉินรู้ว่านี่เป็นรัศมีที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพอสูรกลืนฟ้า แค่เพียงเศษเสี้ยวก็ทำเอาพวกเขาหายใจไม่ออกแล้ว

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มู่เฉินอึ้งทึ่งไปอีกก็คือความจริงที่ว่าเมื่อเขาขยับเข้าใกล้แผ่นศิลามากขึ้น เขาก็พบว่าคลื่นหลิงในร่างกายค่อยๆ แข็งทื่อจนถึงจุดที่ยากจะหมุนเวียน ราวกับว่าถูกระงับโดยสนามพลังทรงศักยภาพ จนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

“คลื่นหลิงถูกระงับไว้โดยสิ้นเชิง…ที่นี่ใช้ได้เพียงพลังกายที่แข็งแกร่งเท่านั้นจริงๆ” มู่เฉินกำมือ ยากมากสำหรับเขาที่จะหมุนเวียนพลังงานในร่างกาย

เมื่อมองไปที่คนอื่นๆ เขาก็พบว่าคลื่นหลิงที่พวยพุ่งรอบตัวพวกเขาหายไปอย่างสมบูรณ์เช่นกัน ทว่าพวกเขาก็ยังอยู่ในอาการสงบ ชัดว่าต่างคาดการณ์ไว้แล้ว

แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ต่อหน้าแผ่นศิลาสีดำ ก็ไม่มีใครขยับเขยื้อน ทุกคนนั่งลงเพื่อปรับสภาพตนเอง

เนื่องจากตามกฎทุกคนมีโอกาสครั้งเดียวเท่านั้น การออกกระบวนท่าโดยไร้ความคิดจะทำให้พวกเขาถูกดีดออกจากเจดีย์ทันที

เพราะฉะนั้นหมัดนี้จะต้องเป็นที่สุดของที่สุดที่พลังกายของพวกเขาจะระเบิดออกมาได้

ก่อนลงมือจะต้องรวมพลังให้ถึงขีดสุด การปะทะทุกอย่างไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ

ดังนั้นทุกคนที่นี่จึงมีความสามัคคีกันอย่างน่าประหลาดใจ ไม่มีใครเปิดเผยความเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้อื่น ทั้งหมดนั่งลงปรับสภาพอย่างรวดเร็วเพื่อปรับสภาพให้ดีสุด

ด้วยเหตุนี้จัตุรัสโบราณจึงเงียบลงอย่างผิดปกติในเวลานี้ มีเพียงลมหายใจของทั้งห้าที่ดังสะท้อนออกมา…

ขณะที่ทั้งห้านั่งลงเพื่อปรับสภาพ

ที่ด้านนอกเจดีย์ฝึกพลังกายบรรยากาศยามนี้ก็คึกคึกอย่างยิ่ง สายตามากมายจ้องมองที่หน้าจอชั้นสี่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หน้าจอแสดงภาพภายใน ดังนั้นทุกคนที่อยู่ข้างนอกจึงเห็นว่าพวกเขากำลังปรับสภาพกันอย่างกลมกลืน

“นั่นคือศิลาพลังยุทธ์ในตำนานใช่ไหม?”

“ว่ากันว่ามีเพียงจอมยุทธ์ที่สามารถทำให้ตะเกียงสว่างหกดวงขึ้นไปที่มีคุณสมบัติผ่านชั้นสี่..”

“ในอดีตอัจฉริยะส่วนใหญ่ถูกหยุดที่ชั้นนี้ ไม่ง่ายที่จะทำให้เกิดแสงตะเกียงหกดวง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็มีโอกาสสูงที่จะล้มเหลว”

“ใช่เลย ไม่รู้ว่าครั้งนี้ในห้าคนจะผ่านกันได้เท่าไร?”

“หานซันมีโอกาสสูง สำหรับคนอื่นก็ขึ้นอยู่กับวิธีการที่มี แม้ว่าจะใช้กำลังกายของตนเองล้วนๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีช่องโหว่ เพราะสุดท้ายก็ใช้ได้เพียงหมัดเดียว มีวิชาลับบางอย่างที่สามารถเพิ่มขีดความแข็งแกร่งให้กับร่างกายได้ชั่วคราว ข้าว่าแต่ละคนน่าจะเตรียมการณ์ไว้แล้ว”

“…”

เสียงซุบซิบดังสะท้อน เพราะถึงยังไงก็ยังมีบางคนที่มีสายตาแหลมคม ดังนั้นคำพูดก็สมเหตุสมผลดี

จิ่วโยวและมั่วหลิงแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นพวกนางก็มองเงาร่างทั้งสองในชั้นสี่ ชั้นนี้เป็นการแข่งขันความแข็งแกร่งของพลังกายล้วนๆ บางทีเมื่อมองจากพื้นผิวมู่เฉินอาจอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบเพราะเป็นมนุษย์ แต่หลังจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นคงไม่มีใครคิดว่าร่างกายของเขาในฐานะมนุษย์จะอ่อนแอกว่าเทพอสูรแล้ว

ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถทำนายผลลัพธ์ของการทดสอบนี้ได้

ในขณะที่ทุกคนที่อยู่ข้างนอกกำลังคาดเดาจนหัวจะแตก จอมยุทธ์ทั้งห้าในชั้นสี่ก็ลืมตาขึ้นในเวลาเดียวกัน

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป ‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้ แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์ แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง? ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน… The Great Thousand World. It is a place where numerous planes intersect, a place where many clans live and a place where a group of lords assemble. The Heavenly Sovereigns appear one by one from the Lower Planes and they will all display a legend that others would desire as they pursue the road of being a ruler in this boundless world. In the Endless Fire Territory that the Flame Emperor controls, thousands of fire blazes through the heavens. Inside the Martial Realm, the power of the Martial Ancestor frightens the heaven and the earth. At the West Heaven Temple, the might of the Emperor of a Hundred Battles is absolute. In the Northern Desolate Hill, a place filled with thousands of graves, the Immortal Owner rules the world. A boy from the Northern Spiritual Realm comes out, riding on a Nine Netherworld Bird, as he charges into the brilliant and diverse world. Just who can rule over their destiny of their path on becoming a Great Ruler? In the Great Thousand World, many strive to become a Great Ruler.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset