หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1247 พอหรือยัง?

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1247 พอหรือยัง?

คลื่นพวยพุ่งจากมหาสมุทรไร้ขอบเขต

พร้อมกับเจตนาฆ่ากระจายไปทั่วบริเวณนี้

มีสายตาจับจ้องมาจากบนเกาะ มองไปที่มหาสมุทรที่ถูกย้อมสีเลือดแดง เมื่อพวกเขาเห็นเงาทั้งสองยืนอยู่บนยอดคลื่น สายตาของพวกเขาสั่นไหว

“เสี่ยหลิงจื่อเชิญอาจารย์ผีมาเพื่อจัดการมู่เฉินเชียวรึ…”

“แบบนี้มู่เฉินแพ้แน่นอน”

“อาจารย์ผีเป็นหลิงเจิ้นจงซือที่มีชื่อเสียงมานานในทวีปซีเทียน ดังนั้นคงไม่ยากที่เขาจะจัดการกับค่ายกลของมู่เฉิน”

“…”

เสียงกระจายออกไปเงียบๆ มีคนชื่นชมในความโชคร้ายของผู้อื่น หลายคนรู้สึกไม่พอใจที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปจัดการกับมู่เฉินในช่วงสองสามวันมานี้ เพราะมู่เฉินแสดงความหยิ่งยโสในทวีปซีเทียนเกินไป เขาเมินเฉยต่อเหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลาย

ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้สึกสงสารมู่เฉินเลยสักนิด

ท่ามกลางสายตาที่มองมานับไม่ถ้วน เสี่ยหลิงจื่อยืนบนคลื่นโลหิต ขณะที่มองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก “ถ้าอยู่ข้างนอกข้าคงทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่ไม่มีความเมตตาใดในสนามรบ แม้ว่าเจ้าจะตายที่นี่ เทพจักรพรรดิอัคคีก็ทำอะไรข้าไม่ได้”

สายตาของเขาเต็มไปด้วยไอสังหารเย็นชาขณะที่มองไปที่มู่เฉิน เขากลัวมู่เฉินมาก เนื่องจากชายหนุ่มคนนี้สามารถเดินไปทั่วสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายทั้งที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น หากมู่เฉินก้าวเข้าสู่ระดับเดียวกับเขาละก็ พลังไม่ได้หมายความจะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้เลยเรอะ?

คนประเภทนี้เป็นสัตว์ประหลาด ในเมื่อพวกเขาก็มีเรื่องไม่ลงรอยกัน ดังนั้นเขาจึงต้องคิดหาวิธีลบภัยคุกคามนี้ออกไปจากชีวิต

ทว่าฟังเสียงเสี่ยหลิงจื่อซึ่งเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า มู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการเช่นกัน”

เสี่ยหลิงจื่ออยากฆ่ามู่เฉิน ก็เหมือนกับมู่เฉินที่คิดไม่ต่างกัน เขาต้องการกำจัดตัวอันตรายให้กับตระกูลลั่วเสิน ช่วงเวลาที่เสี่ยหลิงจื่อตาย ตระกูลเสี่ยเสินระส่ำระสายแน่ สถานการณ์กับตระกูลลั่วเสินก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ทว่าตอนนั้นเสี่ยหลิงจื่อซ่อนตัวอยู่แต่ในตระกูลพร้อมกับผู้คุ้มกันมากมาย บวกกับความได้เปรียบเรื่องพื้นที่ แม้ว่ามู่เฉินจะนำกองทัพตำหนักมู่ไปด้วย ก็ไม่ง่ายที่จะฆ่าไอ้หมาเก่าตัวนี้

ดังนั้นสนามรบแห่งนี้เหมาะสำหรับเขาที่จะทำเช่นนั้น

เมื่อเห็นไอสังหารพวยพุ่งในดวงตาของมู่เฉิน เสี่ยหลิงจื่อก็เย้ยหยัน “ช่างไม่เจียมกะลาหัว แกมีสิทธิ์อะไรที่มาพูดแบบนี้!”

เขาไม่อยากพูดกับมู่เฉินให้เมื่อยปาก จึงหันไปหาอาจารย์ผี “ท่านอาจารย์ เราจะเข้าไปในค่ายกลนี้ด้วยกัน เจ้าช่วยสกัดค่ายกลไว้ ข้าฆ่าไอ้เด็กเหลือขอนี่เอง”

หากไม่มีการช่วยเหลือของค่ายกล มู่เฉินก็เปรียบเสมือนพยัคฆ์ไร้เขี้ยวในสายตาของเสี่ยหลิงจื่อ

“ตกลง”

อาจารย์ผีแสยะยิ้มด้วยดวงตาหรี่แคบลงพลางพยักหน้า แม้ว่าค่ายกลเบื้องหน้าเขาจะดูไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่ยากที่จะยับยั้งด้วยพลังที่มี นอกจากนี้เขาเพียงแค่จำกัดวงของค่ายกล ไม่ได้เสี่ยงชีวิต เพราะที่เหลือเป็นหน้าที่ของเสี่ยหลิงจื่อเอง

ทั้งสองก้าวเดินออกมาในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ภายใต้สายตาที่จ้องมองนับไม่ถ้วน

ตู้ม!

เมื่อก้าวเข้าไปคลื่นหลิงรุนแรงก็ผันผวน แปรสภาพเป็นมังกรเก้าตัวซึ่งสร้างแรงกดดันทรงพลังเล็งเป้าไปที่ร่างเสี่ยหลิงจื่อและอาจารย์ผี

“ค่ายกลนี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง” อาจารย์ผีมองมังกรเก้าตัวก็ถอนหายใจด้วยความชื่นชม “มู่เฉินมีความสามารถโดดเด่นในศาสตร์ค่ายกลทั้งที่อายุเพียงเท่านี้”

แสงเย็นวาบผ่านดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อ ยิ่งมู่เฉินแสดงความสามารถแข็งแกร่งมากเท่าไร ความตั้งใจในการฆ่าในใจเขาก็มากขึ้นเท่านั้น

“อาจารย์ผี เจ้าสามารถสกัดได้หรือไม่?” เสี่ยหลิงจื่อถาม

อาจารย์ผียิ้มอย่างภาคภูมิใจ “แม้ว่าค่ายกลนี้จะไม่ธรรมดา แต่ก็ทำอะไรข้าไม่ได้”

ฟิ้ว!

จากนั้นอาจารย์ผีก็โบกแขนเสื้อ สัญลักษญ์หลิงยิ่งพวยพุ่งออกมารวมเข้ากับมิติที่อยู่รอบๆ

ฮึ่ม!

เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิ่งรวมเข้าในอากาศ ค่ายกลก็ก่อตัวขึ้นรอบร่างอาจารย์ผีอย่างรวดเร็ว อึดใจมิติก็บิดเบี้ยว โซ่คลื่นหลิงขนาดใหญ่เก้าเส้นถูกสร้างขึ้น ฉีกมิติเข้าโอบล้อมมังกรทั้งเก้า

“ค่ายกลกุญแจมังกรสามารถยับยั้งค่ายกลนี้ได้สบาย”

อาจารย์ผียิ้ม ตราประทับก็เปลี่ยนแปลงไปมา หมอกหลิงในค่ายกลค่อยๆ หายไปเกิดเป็นเส้นทางขึ้น

“ไปทางนั้น ช่วงเวลานี้ค่ายกลจะไม่สามารถรบกวนเจ้าได้ เมื่อไรที่เจ้าสามารถฆ่าไอ้เด็กนั่นได้ ค่ายกลนี้ก็จะแหลกสลายไปเอง”

ดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อวูบไหว เขารู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง เขาคิดว่าอาจารย์ผีจะสามารถทำลายค่ายกลของมู่เฉินได้อย่างง่ายดาย ไม่คิดเลยว่าไอ้เฒ่านี่ทำได้เพียงยับยั้งไว้เท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าแม้จะอ้างว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ง่ายเลยที่จะทำลายค่ายกลนี้

ทว่าแม้จะรู้สึกไม่พอใจ เสี่ยหลิงจื่อก็ไม่พูดมาก ตราบใดที่อาจารย์ผีสามารถยับยั้งค่ายกลของมู่เฉินได้ชั่วคราว เป้าหมายของเขาก็สำเร็จได้แล้ว

เสี่ยหลิงพยักหน้าให้กับอาจารย์ผี ก่อนที่ร่างจะเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานไปตามทาง ไม่กี่ลมหายใจวิสัยทัศน์ก็เปิดกว้าง ภาพภูเขาผุดขึ้นมาจากผิวน้ำในมหาสมุทรมีมู่เฉินนั่งอยู่ที่นั่น สายตาจ้องมองมาที่เขาอย่างเฉยเมย

“ไอ้เด็กเวร ข้าจะดูสิว่าเมื่อไม่มีค่ายกล แกจะพลิกสถานการณ์ได้ยังไง!” เสี่ยหลิงจื่อลอยตัวขึ้นปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉินพร้อมกับหัวเราะเยาะ

มู่เฉินหลุบตาลงกล่าวว่า “เดี๋ยวได้ลองแล้วก็จะรู้เอง”

“กำลังจะตายแล้วยังมาเสแสร้งอีก!”

“เท้าเทพโลหิตสะเทือนสวรรค์!”

สายตาของเสี่ยหลิงจื่อเย็นชาลง เขากระทืบฝ่าเท้าลงไป เลือดไหลลงกวาดออกไปอย่างช้าๆ กลายเป็นเท้าสีแดงเข้มขนาดใหญ่ที่มีรัศมีทำลายล้างสูงและมีฤทธิ์กัดกร่อนเมื่อบดขยี้ไปที่มู่เฉิน

ตู้ม!

เท้ากระทืบลงมาราวกับอุกกาบาต มู่เฉินสูดหายใจเข้าเจดีย์ผลึกแก้วใสก็ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของดวงตา เขาเทคลื่นหลิงไร้ขอบเขตภายในร่างลงในเจดีย์ เปลี่ยนเป็นคลื่นหลิงคริสตัลไหลไปทั่วร่างกาย

เขายกมือขึ้น คลื่นหลิงคริสตัลก็ก่อตัวเป็นกำแพงกั้นขวางอยู่บนท้องฟ้า

ตึง!

เท้ากระแทกบนกำแพงอย่างหนัก คลื่นกระแทกที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากวาดอาละวาดออกไป ทำให้มิติโดยรอบยุบตัวลงอย่างต่อเนื่อง

ครืนๆๆๆ!

แม้ว่ากำแพงนี้จะสามารถสกัดเท้ายักษ์ไว้ได้ แต่พลังน่าสะพรึงกลัวที่เบื้องหลังก็ทำให้ภูเขาด้านล่างพังทลายลง ในเวลาไม่กี่อึดใจร่างของมู่เฉินก็ตกลงบนพื้นผิวมหาสมุทรพร้อมกับการพังทลายของภูเขา

มู่เฉินยืนอยู่บนมหาสมุทรขณะที่มองเท้าสีแดงเข้มที่ค่อยๆ หายไปก็หดตาลง ดูเหมือนว่าแม้จะมีเจดีย์ผลึกแก้วใส แต่เขาก็ยังอ่อนแอกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในแง่ของพลังงาน

เสี่ยหลิงจื่อยืนบนท้องฟ้าอย่างภาคภูมิใจขณะมองไปที่มู่เฉิน ริ้วเยาะเย้ยแขวนอยู่ที่มุมปาก “ไอ้หนูตอนนี้แกรู้ช่องว่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายกับขั้นต้นหรือยัง? เมื่อไม่มีค่ายกล คลื่นหลิงของแกก็ยังไม่เพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย”

เขารู้ว่าคลื่นหลิงของมู่เฉินแปลกประหลาด ดังนั้นจึงไม่ให้โอกาสมู่เฉินเข้าใกล้ เขาเลือกโจมตีระยะไกล เพราะจะสามารถนำข้อได้เปรียบของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายมาใช้ได้เต็มที่

“เรียกร่างเวทสวรรค์ออกมาซะ มิฉะนั้นจะไม่มีโอกาสแล้ว”

เผชิญหน้ากับการเยาะเย้ยของเสี่ยหลิงจื่อ มู่เฉินก็ยิ้มอ่อน “แค่จัดการแก ยังไม่จำเป็นต้องใช้ร่างเวทสวรรค์หรอก”

“โอ้? เวลานี้ยังกล้าปากดีอีกเรอะ?” เสี่ยหลิงจื่อตอบอย่างเย็นชา

มู่เฉินยิ้มไม่พูดกับเสี่ยหลิงจื่ออีกต่อไป ทันใดนั้นเท้าเขาก็กระทืบลงที่มหาสมุทร เงาร่างหนึ่งพันร่างโผล่ออกมารวมตัวกันอยู่ด้านหลังมู่เฉิน

เมื่อร่างทั้งหนึ่งพันปรากฏขึ้น รัศมีของพวกเขาก็รวมเข้าด้วยกัน รัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตกวาดออกมาราวกับมหาสมุทร

เมื่อมองไปที่กองทัพ เสี่ยหลิงจื่อก็หรี่ตาแคบลงพลางเยาะเย้ย “ในที่สุดก็เอากองทัพนี้ออกมาแล้วเรอะ? แต่แกไร้เดียงสาเกินไปที่คิดว่าสามารถใช้พวกมันจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย!”

กองทัพที่มู่เฉินเรียกออกมาคือกองทัพสังหารวิญญาณ เสี่ยหลิงจื่อเคยเห็นมู่เฉินใช้ทหารเหล่านี้เพื่อจับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นของตระกูลเสี่ยเสินมาก่อน

แต่นั่นก็เป็นขีดสุดของกองทัพแล้ว ถ้ามู่เฉินต้องการใช้เพื่อจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายละก็ เสี่ยหลิงจื่อจะทำให้มู่เฉินซึ้งถึงความหมายของความจริง

ทว่าเมื่อประจันหน้าอาการเยาะเย้ยของเสี่ยหลิงจื่อ มุมปากมู่เฉินค่อยๆ โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มแปลกประหลาด “ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถ…งั้นก็เพิ่มอีกหนึ่งกองทัพ”

ตู้ม!

ขณะที่มู่เฉินพูดจบ รัศมีจั้นยี่ที่น่ากลัวก็ระเบิดออกมาจากมหาสมุทรอีกครั้ง พลังของรัศมีจั้นยี่ทำให้ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนไป

เสาน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนยิงออกมาจากมหาสมุทร เงาร่างเริ่มปรากฏอยู่ด้านหลังมู่เฉินอย่างเงียบๆ

จำนวนนักรบประมาณหนึ่งพันคน ทุกร่างสวมชุดเกราะหนาถือเคียวสีดำ พวกเขามีลวดลายโบราณสักไว้บนร่างกาย

รัศมีจั้นยี่ที่ระเบิดออกมาจากร่างกายพวกเขาเหนือกว่ากองทัพสังหารวิญญาณอีก!

กองทัพนี้เป็นกองทัพที่ดีที่สุดของจอมพลหนึ่งแห่งวังสรรค์บรรพกาลซึ่งก็คือกองทัพดับปีศาจ!

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าซีดเซียวของเสี่ยหลิงจื่อด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนที่เสียงจะดังก้องไปทั่วมหาสมุทรอย่างช้าๆ

“ตอนนี้…พอหรือยัง?

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป ‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้ แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์ แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง? ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน… The Great Thousand World. It is a place where numerous planes intersect, a place where many clans live and a place where a group of lords assemble. The Heavenly Sovereigns appear one by one from the Lower Planes and they will all display a legend that others would desire as they pursue the road of being a ruler in this boundless world. In the Endless Fire Territory that the Flame Emperor controls, thousands of fire blazes through the heavens. Inside the Martial Realm, the power of the Martial Ancestor frightens the heaven and the earth. At the West Heaven Temple, the might of the Emperor of a Hundred Battles is absolute. In the Northern Desolate Hill, a place filled with thousands of graves, the Immortal Owner rules the world. A boy from the Northern Spiritual Realm comes out, riding on a Nine Netherworld Bird, as he charges into the brilliant and diverse world. Just who can rule over their destiny of their path on becoming a Great Ruler? In the Great Thousand World, many strive to become a Great Ruler.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset