หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – 969 ค่ายกลระดับเทียน

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 969 ค่ายกลระดับเทียน

ม้วนภาพทั้งห้าเปล่งแสงประหลาดตาออกมา

ขณะที่ลอยเอื่อยอยู่ตรงหน้ามู่เฉิน ภาพทั้งห้ากำจายระลอกคลื่นลึกล้ำพร้อมกับอักขระซับซ้อนวาดไว้บนพื้นผิวของม้วนกระดาษ

ค่ายกลระดับเทียน

สายตาของมู่เฉินร้อนแรงขึ้นทีละเล็กละน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นแผนภาพระดับนี้ ดังนั้นเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ คว้าม้วนกระดาษทั้งห้ามาในฝ่ามือของเขา

คลี่นหลิงทบทวีคูณบนฝ่ามือของมู่เฉินแล้วไหลเข้าสู่ม้วนภาพทั้งห้า ก่อนที่ข้อมูลจำนวนมากจะฉายเข้ามาในห้วงแห่งจิตราวกับพายุคลั่ง

ค่ายกลระดับตี้ขั้นสูง ค่ายกลดาบบงกชไพลิน

ค่ายกลระดับตี้ขั้นสูง ค่ายกลตาข่ายฟ้า

ค่ายกลระดับตี้ขั้นสูง ค่ายกลระฆังทองไร้พ่าย

สามม้วนแรกที่ปรากฏขึ้นในห้วงแห่งจิตของเขาเป็นค่ายกลระดับตี้ขั้นสูง ระดับของค่ายกลเหล่านี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็หวาดกลัว

ในสามค่ายกล ภาพหนึ่งเป็นค่ายกลโจมตี ภาพสองเป็นค่ายกลควบคุมและภาพสามเป็นค่ายกลป้องกัน ซึ่งพลังอำนาจแต่ละภาพน่าประทับใจมาก ชัดว่ามั่นถัวหลัวใช้ความตั้งใจในการรวบรวมภาพค่ายกลเหล่านี้มาก

แต่ค่ายกลทั้งสามก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นระรัว ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ แสงสีทองก็เบ่งบานในหัวสมอง ก่อร่างเป็นตัวอักษร

ค่ายกลระดับเทียนขั้นต่ำ ตราประทับคิริเทวโลก

ค่ายกลระดับเทียนขั้นต่ำ ค่ายกลเทพเผาผลาญ

มู่เฉินหลับตารับรู้ข้อมูลจำนวนมากที่พล่านในห้วงแห่งจิตก่อนที่จะลืมตาขึ้น ความปีติที่ไม่สามารถบดบังได้วูบไหวในดวงตา เขากำม้วนภาพไว้แน่นพูดพึมพำว่า “ค่ายกลระดับเทียน…”

แม้ว่าภาพค่ายกลระดับเทียนจะอยู่ในขั้นต่ำ แต่ถ้าจัดตั้งได้สำเร็จ ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็ต้องได้รับบาดเจ็บหนัก

“ข้าก็อยากหาค่ายกลขั้นสูงกว่านี้ให้เจ้านะ แต่เวลากระชั้นมากเกินไป… ส่วนใหญ่ภาพค่ายกลเหล่านี้อยู่ในมือหลิงเจิ้นซือ พวกเขามองภาพค่ายกลสำคัญเท่ากับชีวิต ปกติไม่ค่อยยอมเอาออกมาขายกันเลย” มั่นถัวหลัวกล่าว

“แค่นี้ก็พอแล้ว”

มู่เฉินพยักหน้า ด้วยพลังในปัจจุบันของเขา ต่อให้เป็นจัดเรียงค่ายกลระดับเทียนขั้นต่ำก็ยังยากที่จะทำ ดังนั้นเขายังจำเป็นต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงจะสร้างค่ายกลระดับนี้ได้อย่างแท้จริง

ดังนั้นต่อให้มั่นถัวหลัวจะหาค่ายกลระดับเทียนขั้นกลางหรือขั้นสูงมาให้มู่เฉินได้ในเวลานี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสร้างค่ายกลขึ้นมา

“ในภาพค่ายกลระดับเทียนทั้งสอง ภาพสุดท้ายทรงพลังอย่างยิ่ง ตอนซื้อมาราคาเกินกว่าอีกค่ายกลไปเท่าตัวเลย” มั่นถัวหลัวมองม้วนกระดาษซ้ายสุดในมือของมู่เฉินพลางพูดขึ้นมา

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบวูบวาบ เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวกำลังพูดถึงค่ายกลเทพเผาผลาญ หลังจากได้อ่านข้อมูลในห้วงแห่งจิตแล้ว ดวงตาของเขาก็หดเกร็งทันที

“ค่ายกลเทพเผาผลาญยังไม่สมบูรณ์…” มู่เฉินกล่าวช้าๆ ขณะที่ประกายแสงในดวงตาเขาเข้มข้นยิ่งขึ้น

“นี่เป็นม้วนภาพโบราณจากยุคดึกดำบรรพ์ ทั้งหมดน่าจะมีสามม้วน ค่ายกลเทพเผาผลาญเป็นเพียงหนึ่งในนั้น หากเจ้ารวบรวมภาพทั้งสามภาพได้ ก็สามารถฆ่าได้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย”

เมื่อสามจอมพลได้ยินคำพูดนาง ริ้วความตื่นตะลึงก็วาบบนใบหน้าของพวกเขา ค่ายกลที่สามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ อย่าบอกนะว่าเป็นค่ายกลระดับจงซือในตำนาน?

“แต่น่าเสียดาย… ค่ายกลเทพเผาผลาญนี้อ่อนแอที่สุดในบรรดาภาพโบราณทั้งสาม ดังนั้นจึงถูกเผยแพร่ออกมา แต่อีกสองภาพหายากมาก โอกาสในการรวบรวมมีไม่สูงนัก” มู่เฉินส่ายหัวขณะที่รู้สึกเสียดาย

หากสามารถรวบรวมทั้งสามภาพราคาก็คงไม่ด้อยไปกว่าพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ เพราะสำหรับหลิงเจิ้นจงซือ ค่ายกลระดับจงซือดึงดูดใจมากกว่า

“แต่แม้ว่าค่ายกลเทพเผาผลาญจะอ่อนแอที่สุดในบรรดาภาพทั้งสาม พลังก็ยังแข็งแกร่งกว่าค่ายกลระดับเทียนขั้นต่ำทั่วไป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมราคาถึงสูงมาก ช่างคุ้มค่านัก” มู่เฉินยิ้ม ดูท่าเขาจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับค่ายกลเทพเผาผลาญอย่างละเอียดถี่ถ้วนซะแล้ว ค่ายกลนี้จะเป็นไพ่ตายสังหารที่ดีทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็มีความมั่นใจในการบุกตะลุยดินแดนเสินโซ่เพิ่มอีกหลายส่วน

การพัฒนาในครั้งนี้ ทำให้ความมั่นใจของมู่เฉินเพิ่มขึ้นไม่น้อย ด้วยพลังในปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ค่ายกลใดๆ ก็สามารถรับมือกับหลิ่วชิงโดยไม่เป็นปัญหาแล้ว

“ยังมีเวลาครึ่งเดือนกว่าจะถึงเวลากำหนด เจ้าฝึกปรับเสถียรภาพในร่างอีกสักสิบวันก่อน จากนั้นเราค่อยมุ่งหน้าไปเผ่าวิหคโลกันตร์กัน!” มั่นถัวหลัวบอก

“ตกลง”

มู่เฉินพยักหน้า ตอนนี้เขาเพิ่งจะบรรลุขุมพลังก็ต้องใช้เวลาหลายวันเพื่อสร้างเสถียรภาพของพลังที่เติบโตในร่างเสียก่อน ในเวลาเดียวกันเขาก็ต้องทำความเข้าใจในการสร้างค่ายกลไปด้วย

เมื่อตัดสินใจมู่เฉินก็ไม่ชักช้า ร่างเขากลายเป็นริ้วแสงทะยานกลับไปที่หอวิหคโลกันตร์ เข้ามาในส่วนที่ลึกที่สุด

ครึ่งเดือนต่อไปมู่เฉินไม่ได้ก้าวเท้าออกจากหอวิหคโลกันตร์เลย เขาใช้เวลาทั้งหมดในการรับรู้คลื่นหลิงในร่างกายและศึกษาวิเคราะห์ค่ายกลระดับเทียน

ในขั้นตอนการทำความเข้าใจค่ายกลชั้นสูงนี้ มู่เฉินก็พยายามทดลองสร้างค่ายกล แต่ในช่วงเริ่มต้นการทดลองของเขาจบลงด้วยความล้มเหลว ทุกครั้งที่ล้มเหลวก็ทำให้เกิดคลื่นกระแทกรุนแรงระเบิดขึ้นในจุดลึกของหอวิหคโลกันตร์ สิ่งนี้ทำให้จอมยุทธ์หลายคนหวาดหวั่น เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ว่าการระเบิดของคลื่นหลิงนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังไม่สามารถทนได้

ทว่าความล้มเหลวก็กินเวลาสิบวันก่อนที่จะเริ่มลดลง การระเบิดจากค่ายกลมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น จนประมาณสองวันสุดท้ายการระเบิดก็หายไปอย่างสมบูรณ์ ในเวลาเดียวกันคลื่นหลิงเชี่ยวกรากก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในส่วนลึกของหอวิหคโลกันตร์ ขณะที่แสงหลิงเบ่งบานไปทุกทิศทาง ก็เหมือนมีสิ่งน่าสะพรึงกลัวควบรวมอย่างรวดเร็ว…

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำเอาเหล่าจอมยุทธ์หอวิหคโลกันตร์หวาดผวาตามกัน หลายคนแอบจับตามองไปที่ส่วนลึกของหอ แต่ท่ามกลางความหวาดกลัวถึงขีดสุด สุดท้ายสิ่งที่ควบรวมก็ไม่ได้ระเบิดออก แต่หายไปอย่างเงียบๆ

สถานการณ์นี้ทำให้ผู้คนมากมายต้องมองหน้ากันและคิดว่านี่เป็นความล้มเหลวของมู่เฉินอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ต้องถอนหายใจด้วยความเสียดาย…

ขณะที่ทุกคนกำลังเห็นอกเห็นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินที่อยู่ในสวนกว้างของส่วนลึกหอวิหคโลกันตร์ก็ยืนสองมือไพล่หลัง สายตามองไปที่คลื่นหลิงกระเพื่อมไหวที่กำลังสลายตัวลง นัยน์ตาก็วูบไหวพลางยิ้ม ท่าทางไม่มีความเสียใจกับความล้มเหลวเลย มีแต่ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง

“ค่ายกลระดับเทียนเรอะ…” มู่เฉินก้มศีรษะลงมองมือตนเองและยิ้มเสียงเบา

หลังจากพยายามมาเกือบครึ่งเดือน แม้ส่วนมากจะล้มเหลว แต่มู่เฉินก็เริ่มสัมผัสได้ถึงพลังของค่ายกลระดับเทียน ซึ่งแข็งแกร่งกว่าค่ายกลระดับตี้ไม่รู้เท่าไร

ไม่เสียแรงที่พยายามค้นหาโอกาสท่ามกลางความล้มเหลว

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจในหัวใจ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็สะท้อนมาจากนอกสวน เขาแย้มยิ้ม ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดเขาก็ร้องว่า “เข้ามาเถอะ”

ทั้งสองคนที่เดินเข้ามาในสวนก็คือสองพี่น้องถังปิงและถังโหยว ในสองปีนี้ถังปิงทำหน้าที่ประหนึ่งพ่อบ้านจัดการงานในหอวิหคโลกันตร์อย่างดี มีตำแหน่งต่ำกว่ามู่เฉินกับจิ่วโยวเท่านั้น ซึ่งการอยู่ในตำแหน่งนี้ ทำให้นางที่มีนิสัยเยือกเย็นอยู่แล้ว ยิ่งมีบรรยากาศเหินห่างเพิ่มขึ้น

ส่วนถังโหยวยังเป็นคนขี้อายเหมือนเดิม แม้ว่านางจะคุ้นเคยกับมู่เฉินมากแล้ว แต่ใบหน้าของนางก็ยังเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำหลังจากเห็นรอยยิ้มในดวงตาของมู่เฉินที่ส่งมา

“หลายวันมานี่เจ้าคิดจะถล่มหอวิหคโลกันตร์ของเราเลยนะ…” ถังปิงกลอกตาใส่มู่เฉินเมื่อเดินเข้ามา

เผชิญหน้ากับถังปิงซึ่งเป็นคนจริงจังมากในการจัดการเรื่องราวต่างๆ มู่เฉินก็ทำได้เพียงยิ้มแห้งให้ แม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งสูงในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่เขาก็ปฏิบัติต่อสองพี่น้องในฐานะเพื่อนอย่างจริงใจ ดังนั้นเขาจึงไม่สร้างแรงกดดันเหมือนอย่างที่อยู่กับคนอื่น

“ท่านประมุขแจ้งให้เจ้าเตรียมพร้อมที่จะไปเผ่าวิหคโลกันตร์ในวันพรุ่งนี้” ถังปิงเป็นคนทำอะไรรวดเร็ว เมื่อเจอหน้าก็บอกเรื่องหลักเลย

เมื่อมู่เฉินได้ยิน สายตาก็หดลงเล็กน้อยจากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ

ถังปิงกัดริมฝีปากสีแดงชาด ใบหน้าที่ดูเฉยชาค่อยๆ จางหายก่อนที่นางจะจ้องมองมู่เฉินแล้วขึ้นพูดเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่จิ่วโยวจะกลับมาอีกไหม?”

หอวิหคโลกันตร์ตั้งขึ้นโดยจิ่วโยว พวกนางได้รับการดูแลจากจิ่วโยวมาตลอด ดังนั้นพวกนางจึงมองที่นี่เป็นบ้านของตน ถ้าจิ่วโยวออกจากหอวิหคโลกันตร์ไปจริงๆ แม้ว่ามู่เฉินจะสามารถดำเนินงานต่างๆ ได้ แต่ก็มีความรู้สึกที่ขาดหายไปในสถานที่นี้…

มู่เฉินมองไปที่ถังปิงที่มีอาการเศร้าโศก และถังโหยวที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เขาก็จมลงในความเงียบ การจากไปในช่วงนี้ของจิ่วโยวคงส่งผลกระทบหนักต่อพวกนาง ทว่าพวกนางมักไม่เปิดเผยความกังวล แต่ตอนนี้มู่เฉินกำลังจะไปด้วยเช่นกัน ทำให้พวกนางแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา

มู่เฉินพอมองไปที่สองสาว ยื่นมือตบเบาๆ บนไหล่ของพวกนาง รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา “วางใจเถอะ ข้าจะพาจิ่วโยวกลับมา”

ถังปิงและถังโหยวเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เฉิน แม้ว่าอีกฝ่ายมักมีท่าทางอ่อนโยน แต่พวกนางก็สัมผัสได้ถึงความตั้งมั่นในน้ำเสียงของเขา

ดังนั้นทั้งสองจึงยิ้มออกมาและพยักหน้าหนักแน่น

“ใช่ เจ้าเอานี่ไปด้วย…”

ถังปิงถอดกำไลข้อมือออกแล้วส่งให้มู่เฉิน “นี่คือของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านห้าแสนหยด เป็นสิ่งที่ข้าพยายามรวบรวมให้ได้มากที่สุดแล้ว ข้าหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเจ้านะ…”

มู่เฉินมองสร้อยข้อมือก็อึ้งไป เขารู้ชัดเจนว่าถังปิงเก่งแค่ไหนในฐานะผู้ดูแล การใช้ของเหลวจื้อจุนทั้งหมดในหอวิหคโลกันตร์อยู่ในการคิดคำนวณของนาง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้หอวิหคโลกันตร์ค่อยๆ ขยายและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อก่อนเป็นเรื่องยากมากสำหรับมู่เฉินที่จะได้รับของเหลวจื้อจุนจากนาง ดังนั้นเมื่อเขาเห็นนางให้ของเหลวจื้อจุนจำนวนมาก ก็อดตกใจไม่ได้

“ถ้าหอวิหคโลกันตร์สูญเสียทั้งเจ้าและพี่ใหญ่จิ่วโยว เราจะมีของเหลวจื้อจุนไว้เพื่ออะไร?”

ถังปิงเหมือนจะรู้ว่ามู่เฉินคิดอะไรอยู่ นางเม้มริมฝีปากก่อนถลึงตาใส่มู่เฉินแล้วเอ่ยต่อ “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าแอบเรียกว่ายัยขี้งกมาหลายครั้งแล้วนะ”

มู่เฉินยิ้มแหยแต่ไม่ได้ปฏิเสธ นั่นเป็นเพราะของเหลวจื้อจุนสำคัญมากสำหรับเขาจริง เพียงแต่ตอนที่เขาเก็บกำไลข้อมือ ก็เอ่ยเสียงเบาขึ้นอีกครั้ง “ข้าจะพานางกลับมาแน่ ข้าสัญญา!”

“พวกเราเชื่อเจ้า… และ… เจ้า…เจ้าก็ต้องระวังตัวด้วยนะ” คำพูดติดขัดประโยคหนึ่งหลุดออกมาจากปากถังโหยวจอมขี้อาย นางมองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความเชื่อใจ

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกพลางเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปในทิศที่จิ่วโยวจากไปก่อนที่จะกำมือแน่น

จิ่วโยว ดูท่าครั้งนี้ข้าจะเชื่อฟังเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าต้องไปเผ่าวิหคโลกันตร์แน่!

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป ‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้ แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์ แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง? ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน… The Great Thousand World. It is a place where numerous planes intersect, a place where many clans live and a place where a group of lords assemble. The Heavenly Sovereigns appear one by one from the Lower Planes and they will all display a legend that others would desire as they pursue the road of being a ruler in this boundless world. In the Endless Fire Territory that the Flame Emperor controls, thousands of fire blazes through the heavens. Inside the Martial Realm, the power of the Martial Ancestor frightens the heaven and the earth. At the West Heaven Temple, the might of the Emperor of a Hundred Battles is absolute. In the Northern Desolate Hill, a place filled with thousands of graves, the Immortal Owner rules the world. A boy from the Northern Spiritual Realm comes out, riding on a Nine Netherworld Bird, as he charges into the brilliant and diverse world. Just who can rule over their destiny of their path on becoming a Great Ruler? In the Great Thousand World, many strive to become a Great Ruler.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset