หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 289 ไสยศาสตร์ (3)

ตอนที่ 289 ไสยศาสตร์ (3)

ขณะที่ลูกน้องคนนั้นกำลังฝันหวานว่าจะได้สาวๆ มาห้อมล้อมอยู่นั้นเอง ใบหน้าก็ถูกตบไปหนึ่งฉาดโดยไม่ทันตั้งตัว และฝ่ามือนี้ก็ออกแรงฟาดไปเต็มที่ จนตัวเขาล้มกลิ้งลงไปกับพื้นเลย

“ลูกพี่ ตบผมทำไมล่ะเนี่ย?”

ลูกน้องที่ถูกตบไปหนึ่งฉาดจนสมองมึนนั้นตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา แล้วอ้าปากถุยฟันออกมาสองซี่ ร้องตวาดออกมาด้วยสีหน้าเจ็บช้ำและโมโห

“มือ…มือฉัน มือขวาฉันขยับไม่ได้แล้ว!”

แต่ที่ลูกน้องคนนั้นคาดไม่ถึงคือ เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ เฟ่ยเฮ่อเหว่ยก็แผดร้องออกมาดังลั่น เสียงร้องนั้นดูจะดังโหยหวนยิ่งกว่าเสียงของเขาเสียอีก

“พี่เหว่ย เป็นอะไรไปครับพี่?” ต้าหลงที่อยู่ใกล้กับเฟ่ยเฮ่อเหว่ยที่สุดเข้าไปโอบร่างเขาไว้

“มือฉัน มือขวาฉันเหมือนจะหักไปแล้ว เจ็บ เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”

เฟ่ยเฮ่อเหว่ยสีหน้าอมเหลือง หยาดเหงื่อโตเท่าเม็ดถั่วไหลลงมาจากหน้าผากอย่างไม่ขาดสาย แขนข้างขวาที่ฟาดหน้าลูกน้องไปเมื่อครู่นั้น ตอนนี้กลับอ่อนปวกเปียกห้อยอยู่ข้างตัว ขยับเขยื้อนไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“พี่เหว่ย อยู่เฉยๆ ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะเนี่ย?”

เมื่อเห็นสีหน้าอันทรมานของลูกพี่ บรรดาลูกน้องที่ล้อมวงอยู่รอบๆ ต่างก็เริ่มงงขึ้นมา นี่ก็ดื่มเหล้ากันอยู่ดีๆ แท้ๆ แล้วมือของลูกพี่เฟ่ยจะหักไปได้ยังไงกันล่ะ? หรือเพราะที่ตบไปหนึ่งฉาดเมื่อกี้ออกแรงหนักไป?

ลูกน้องที่โดนฟาดหน้าไปคนนั้นยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าอันบวมแดงของตัวเอง นี่มันก็แค่เนื้อนี่หว่า? ไม่น่าจะกระแทกมือของลูกพี่เฟ่ยจนหักได้เลยนี่นา?

“เจ็บฉิบหาย เรียกคนมาหน่อย ส่งฉันไปโรงพยาบาลที เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”

ขณะนั้นเฟ่ยเฮ่อเหว่ยรู้สึกราวกับมีคนเอามีดมาฟันแขนของเขาทิ้งก็ไม่ปาน ความเจ็บปวดแสนสาหัสนั้นแทบจะทำให้เขาหมดสติไป จึงร้องโหยหวนออกมาดังลั่นอย่างสุดจะทนทาน เสียงอันทรมานนั้นดังก้องไปทั่วห้องขัง

ต้าหลงถีบลูกน้องที่กำลังอึ้งอยู่ข้างๆ ลงไปบนพื้น แล้วตวาดว่า “เร็วหน่อย รีบไปเรียกผู้คุมมาเร็ว!”

“ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ!”

ขณะที่ลูกน้องคนนั้นกำลังถลาไปที่ประตูห้องขังอย่างโซซัดโซเซ เฟ่ยเฮ่อเหว่ยก็แผดเสียงออกมาอีก ทันใดนั้นมือซ้ายที่ตอนแรกกำลังประคองแขนขวาอยู่ก็ปล่อยหมัดใส่หน้าของต้าหลงที่อยู่ตรงหน้า

หลายปีก่อนสมัยที่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยติดตามชิวเหวินตงอยู่ ก็เคยฝึกร่างกายโดยการยกหินถ่วงน้ำหนักทุกวัน ถึงเขาจะอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว แต่พวกหนุ่มๆ เหล่านี้ก็ไม่มีใครที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลยสักคน

ดังนั้นพอหมัดนี้ชกออกไป ก็มีเสียง “แคร่ก” ดังขึ้นทันที เพราะกระดูกดั้งจมูกของต้าหลงถูกเขาชกจนหักไปแล้ว เลือดสดๆ พรั่งพรูออกมาจากรูจมูกทั้งสองข้างของต้าหลง ย้อมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขานุ่งอยู่จนกลายเป็นสีแดง

“ลูก…ลูกพี่ นี่…นี่พี่ทำ…ทำอะไรของพี่เนี่ย?” พอต้าหลงถูกเฟ่ยเฮ่อเหว่ยชกไปหนึ่งหมัดก็มึนไปเลย ผ่านไปเป็นนานสองนานถึงจะกุมจมูกพลางถามขึ้นมา

“อ๊าก เจ็บโว้ย เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”

เฟ่ยเฮ่อเหว่ยไม่ได้ฟังคำถามของต้าหลงเลย ความเจ็บปวดที่แล่นมาตามแขนทั้งสองข้างนั้น ทำให้เขาสุดที่จะทนทานได้ และตัวเขาเองก็รู้ดีว่า สติของเขาใกล้จะขาดผึงอยู่รอมร่อแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น? วุ่นวายอะไรกันหา? อยากจะเข้าไปอยู่ในทัณฑสถานข้างๆ แทนใช่ไหม?”

เฟ่ยเฮ่อเหว่ยเอะอะอาละวาดเสียงดังมาก ลูกน้องคนนั้นยังไม่ทันวิ่งไปถึงประตู ผู้คุมก็มาถึงก่อนแล้ว ในเรือนจำแห่งนี้กักขังคนไว้มากมาย จะแบบไหนก็มีหมด เวลาที่พวกคนติดยาเกิดลงแดงขึ้นมา ก็ยังคลุ้มคลั่งโกลาหลยิ่งกว่านี้อีก

“เปิดประตู ส่งฉันไปโรงพยาบาลที ส่ง…ส่งฉันไปโรงพยาบาล!” พอได้ยินเสียงของผู้คุม เฟ่ยเฮ่อเหว่ยก็โดดลุกขึ้นมาจากพื้นโดยที่สองแขนห้อยอยู่ข้างตัว สาวเท้าไม่กี่ก้าวก็ไปถึงประตูห้องขัง แล้วกระแทกศีรษะใส่ประตูเหล็กอย่างไม่คิดชีวิต

ผู้คุมเห็นเฟ่ยเฮ่อเหว่ยคลุ้มคลั่งแบบนั้นก็ตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าวติดๆ กัน แล้วดุด่าว่า “แก…แกจะทำอะไรน่ะ? กักตัวแค่สิบห้าวันก็ปล่อยออกไปแล้ว ยังคิดจะแหกคุกอีกเรอะ?”

“แหกคุกแม่เอ็งสิ เจ็บจะตายห่าอยู่แล้ว รีบส่งไปโรงพยาบาลเร็ว ฉีดยาแก้ปวดให้ที!”

เฟ่ยเฮ่อเหว่ยขยับมือไม่ได้ทั้งสองข้าง ได้แต่โขกศีรษะใส่ประตูเหล็กอย่างไม่คิดชีวิต โลหิตไหลอาบหน้า รวมกับท่าทางบ้าคลั่งนั้นแล้ว ดูราวกับผีร้ายอาฆาตก็ไม่ปาน

“ทนไว้ ทนไว้ก่อนนะ ฉันจะไปเรียกคนมาฉีดยาให้!” เมื่อเห็นเฟ่ยเฮ่อเหว่ยเลือดท่วมหน้า ผู้คุมก็เริ่มลนลานขึ้นมา

พอเฟ่ยเฮ่อเหว่ยโขกศีรษะเสร็จ ก็เริ่มใช้เท้าเตะประตูเหล็กต่อ พลางตวาดด่าว่า “ทนกะแม่เอ็งสิ รีบเปิดประตูสิวะ เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”

“พวกแกน่ะ รีบจับตัวมันไว้เร็ว นี่มันอาการของคนติดยาอาละวาดชัดๆ เลย!” พอผู้คุมได้ยินเฟ่ยเฮ่อเหว่ยพูดแบบนั้น ก็กลับกลายเป็นใจเย็นลง คนติดยาเวลาลงแดงก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น แค่ประคับประคองไว้สักพักเดี๋ยวก็หายเอง

“พี่เหว่ย อดทนไว้ อดทนไว้นะ!”

พวกต้าหลงโถมเข้าไปพร้อมกัน ช่วยกันมะรุมมะตุ้มจับเฟ่ยเฮ่อเหว่ยกดลงไปกับพื้น พวกเขาก็กำลังงงอยู่เหมือนกัน เมื่อกี้ลูกพี่ก็เพิ่งจะบอกอยู่ว่า ถ้าพวกตนจะลงแดงขึ้นมาก็ให้อดทนไว้ แล้วทำไมตอนนี้เขากลับมาออกฤทธิ์ออกเดชเสียเองล่ะ?

“เวรเอ๊ย ปล่อยนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้ เจ็บจะตายอยู่แล้วโว้ย!”

เฟ่ยเฮ่อเหว่ยซึ่งโดนจับกดลงกับพื้นอยากจะร้องไห้ก็ยังร้องไม่ออก ทันใดนั้นที่ต้นขาข้างขวาก็เกิดเจ็บแปลบขึ้นมาอีก ความเจ็บปวดรวดร้าวนั้นทำให้เขาเกิดมีแรงขึ้นมาจากไหนไม่ทราบ ถึงกับผลักคนกลุ่มนั้นออกไปล้มกลิ้งกับพื้นกันหมด

“น่าสังเวชจริง นี่แหละนะผลของการเสพยา มันน่าถ่ายฉากนี้ไว้แล้วส่งไปให้ศูนย์บำบัดคนติดยาเสียจริง คงจะเป็นสื่อการสอนให้คนรุ่นหลังได้อย่างดีเลยละ!”

ผู้คุมที่อยู่นอกประตูเหล็กเห็นอย่างนั้นก็จุ๊ปากหลายที เขาทำงานที่นี่มายี่สิบกว่าปีแล้ว เคยเห็นคนติดยาอาละวาดมาก็ไม่น้อย แต่วันนี้เพิ่งจะเคยเจอคนที่อาการดุเดือดแบบนี้เป็นครั้งแรก

“เปิดประตูสิวะไอ้เวร ลูกพี่กูไม่ได้เสพยา ไม่ได้เป็นคนติดยานะโว้ย!”

ขณะที่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยกำลังกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น ต้าหลงก็โถมไปที่ประตู แล้วตวาดใส่ผู้คุมเสียงดัง เขารู้ว่าเฟ่ยเฮ่อเหว่ยไม่เคยแตะยาเสพติดมาก่อนเลย เห็นสภาพแบบนี้แล้ว จะต้องมีสาเหตุอย่างอื่นอยู่แน่นอน

“ไอ้หนุ่ม คิดจะหลอกใครกัน? แกเห็นมันน้ำลายฟูมปากแบบนั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะติดยาแล้วจะเป็นอะไรได้อีกเล่า?” ผู้คุมโต้กลับอย่างไม่สบอารมณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าคนกลุ่มนี้จ่ายเงินเยอะ เขาก็ยังอยากจะลากตัว พวกนี้ออกมาอบรมสักยกหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว กูไม่อยากอยู่แล้วโว้ย!!!”

ขณะที่ต้าหลงกำลังเจรจากับผู้คุม ทันใดนั้นเฟ่ยเฮ่อเหว่ยที่กลิ้งเกลือกอยู่ก็แผดเสียงร้องออกมาอย่างสยดสยอง ลุกขึ้นมายืนด้วยขาข้างเดียว แล้วใช้ขาซ้ายข้างนั้นถีบพื้นอย่างแรงสุดชีวิต โขกศีรษะใส่ผนังห้องขังฝั่งตรงข้าม

“พรวด!”

เมื่อศีรษะของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยกระแทกกับผนังห้องขัง เสียงเหมือนลูกแตงโมถูกปาใส่กำแพงก็ดังขึ้น โลหิตสาดกระเซ็น เสียงร้องโหยหวนของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยหยุดลงทันที ร่างอ่อนยวบทรุดกับกำแพงแล้วล้มลงไปกับพื้น

เพื่อป้องกันไม่ให้นักโทษหนีออกไป ห้องขังของเรือนจำจึงสร้างเหมือนกับที่ทัณฑสถาน ผนังห้องขังนี้เป็นโครงเหล็กฉาบปูนซีเมนต์แข็งแกร่ง การที่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยเอาศีรษะโขกกำแพง ก็เหมือนกับเอาไข่ไก่ไปกระทบกับก้อนหิน

เฟ่ยเฮ่อเหว่ยที่ล้มลงไปกองกับพื้นนั้น กระโหลกศีรษะถูกกระแทกจนแตกร้าวไปทั้งหัว โลหิตสีแดงฉานและไขสมองสีขาวไหลนองผ่านเส้นผมลงไปบนพื้น ร่างกายที่ประสาทสัมผัสยังไม่หยุดทำงานนั้น กำลังกระตุกโดยอยู่เหนือการควบคุม

“ฆ่า…ฆ่าตัวตาย?”

ผู้คุมที่อยู่นอกประตูก็ตะลึงอึ้งไปเหมือนกัน เขานึกไม่ถึงเลยว่าผลจะออกมาแบบนี้ จึงรีบกดปุ่มสัญญาณเตือน ที่ข้างประตู แสงไฟทั่วทั้งเรือนจำสว่างโร่ขึ้นมาในพริบตา แล้วตำรวจติดอาวุธที่ประจำอยู่ที่นี่ก็เรียงแถวแห่กันมาทันที

………………

“โธ่เว้ย อุตส่าห์เสียแรงไปตั้งขนาดนั้น แต่จะใช้ได้ผลรึเปล่าก็ไม่รู้เนี่ย?”

ในเรือนสี่ประสานที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตรนั้น เยี่ยเทียนก็กำลังนั่งหมดแรงเหงื่อท่วมหัวอยู่บนพื้นเช่นกัน หุ่นหยกที่ตอนแรกวางอยู่บนโต๊ะนั้น ตอนนี้กลับแตกหักยับเยิน แม้แต่ส่วนศีรษะก็แตกหักไปครึ่งหนึ่ง

การทำหุ่นหยกขึ้นมานั้นที่จริงก็ไม่ได้เปลืองแรงเยี่ยเทียนเท่าไรนัก แต่ตอนที่ใช้อาคมปลุกเสกหุ่นตัวแทนนี้ กลับแทบจะสูบพลังของเยี่ยเทียนไปจนหมด

“น่าจะสำเร็จแล้วมั้ง? ไม่อย่างนั้นมันจะกินแรงขนาดนี้เลยรึ?”

หลังจากนั่งปรับลมปราณอยู่บนพื้นไปพักใหญ่ๆ เยี่ยเทียนถึงจะฟื้นพลังกายกลับมาได้บ้าง เขายื่นมือไปหยิบหุ่นหยกที่เหลือร่างอยู่เพียงครึ่งเดียวนั้นขึ้นมา เมื่อเยี่ยเทียนลองสัมผัสดู ก็พบว่าไอปราณที่อยู่ภายในหุ่นนั้นสลายหายไปหมดแล้ว

ถึงอย่างไรขั้นตอนทุกอย่างก็ทำตามศาสตร์ลับที่ตกทอดมาไปหมดแล้ว จะสำเร็จหรือไม่นั้น ตอนนี้เยี่ยเทียนเองก็ไม่อาจตัดสินได้ ได้แต่เก็บกวาดเศษหยกบนพื้น แล้วจากนั้นก็ไปเข้านอน

……

“ลุงครับ ผมมาส่งของให้คนในนี้น่ะครับ”

เมื่อถึงเช้าวันต่อมา เยี่ยเทียนก็หยิบผ้าห่มในบ้านมาผืนหนึ่ง แล้วมุ่งตรงไปที่เรือนจำประจำเขตตงเฉิง แล้วเริ่มสนทนากับคุณลุงที่เป็นยามเฝ้าประตู

เมื่อวานหมดพลังไปตั้งมากมาย ในใจเยี่ยเทียนก็ยังสงสัยอยู่ไม่หาย จนนอนไม่หลับทั้งคืน วันนี้พอถึงแปดโมงเขาก็รีบมาที่เรือนจำทันทีเลย

“จะส่งของให้ใครล่ะ? มาลงทะเบียนก่อน!”

คุณลุงยามเฝ้าประตูหาวขึ้นมา เขาเกษียณจากเรือนจำไปแล้วมาสมัครทำงานต่อ แต่เดิมก็มีชีวิตสงบสุขดี แต่เมื่อวานเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาเสียใหญ่โต จนทั้งคืนไม่ได้หลับสบายๆ เลยสักงีบ

เยี่ยเทียนใส่หมวกอยู่ใบหนึ่ง ก้มหน้าตอบว่า “คนนั้นชื่อเฟ่ยเฮ่อเหว่ยครับลุง คนที่บ้านเขาฝากผมเอาผ้าห่มมาส่งให้น่ะ!”

“เฟ่ย…เฟ่ยเฮ่อเหว่ย?”

เมื่อชายชราได้ยินก็นิ่งอึ้งไปทันที แล้วโพล่งออกมาว่า “เจ้าหมอนั่นเมื่อวานมันฆ่าตัวตายไปแล้ว ตอนนี้ศพส่งไปไว้ที่ห้องดับจิตในโรงพยาบาลแล้วละ!”

ชายชราพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีคนเดินเข้ามาในห้องเวรยามอีกคนหนึ่ง ชายคนนั้นมองหน้าชายชรา อย่างไม่พอใจแล้วพูดว่า “เหล่าวัง นั่นคุณพูดอะไรน่ะ? อย่าเอาเรื่องในเรือนจำไปพูดซี้ซั้วสิ คุณเองก็เป็นตำรวจเก่า เรื่องแค่นี้ยังไม่รู้อีกหรือ?”

การที่มีคนฆ่าตัวตายในเรือนจำนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย อย่างน้อยๆ ผู้บริหารก็จะต้องมีส่วนรับผิดชอบ และเงินรางวัลเรือนจำปลอดภัยประจำปีก็เป็นอันอดไป

“อ้าว สารวัตรหลิว ก็มันหลุดปากไปเองนี่นา ถึงยังไงจะช้าจะเร็วพวกญาติๆ เขาก็ต้องรู้กันอยู่ดีนั่นแหละ”

ชายชราอาศัยที่ตัวเองอาวุโสกว่า จึงไม่ได้ใส่ใจคนที่เข้ามาทีหลัง หันกายกลับไปพูดว่า “พ่อหนุ่ม เจ้าคนที่ชื่อเฟ่ยเฮ่อเหว่ยนั่นน่ะเมื่อวานเกิดลงแดงอยากยาขึ้นมาจนฆ่าตัวตายไปแล้ว อ้าว ไปไหนแล้ว? พ่อหนุ่มคนเมื่อกี้ล่ะ?”

ชายชราพูดไปตั้งนานถึงเพิ่งจะสังเกตว่า ตำแหน่งที่เยี่ยเทียนยืนอยู่เมื่อครู่นั้นไม่มีใครอยู่แล้ว จึงรีบตามออกมาดูข้างนอก แต่บริเวณด้านหน้าเรือนจำอันโล่งกว้างนั้น กลับไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่เงา

“โว้ย ทำไมมันพิลึกอย่างนี้นะ? หรือว่าที่เรือนจำนี่จะมีผีสิงจริงๆ?”

ถึงชายชราจะเคยพบเห็นอะไรมามาก ยามนี้ก็ยังอดขนลุกชันไปทั้งตัวไม่ได้ ชายคนเมื่อวานนั้นออกจะตายอย่างพิสดารอยู่ แล้วเจ้าหนุ่มที่มาเมื่อกี้ก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่เลย

 ………….

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset