หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 369 ค่าตอบแทน (1)

ตอนที่ 369 ค่าตอบแทน (1)

บทสนทนาของเยี่ยเทียนกับปรมาจาย์ซิงหยุน ทำให้ถังเหวินหย่วนและกงเสียวเสี่ยวตั้งใจฟัง เยี่ยเทียนขอโทษซิงหยุนต่อหน้าสาธารณชน ถ้าหากมีการเผยแพร่ออกไป ก็จะทำให้ทุกคนตกใจ

“พระอาจารย์ ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี ๆ หลังจากนี้อีกสองปีพวกเรายังคงได้เจอกันอีก ถึงเวลานั้นค่อยกลับมาอภิปรายกับท่านอีก”

โก่วซินเจียคือคนที่ค่อนข้างสบาย ๆ ง่าย ๆ ไม่อยากให้ซิงหยุนลงไปส่งเขา แต่ว่าซิงหยุนก็ยังคงตั้งใจมุ่งมั่นที่จะไปส่ง จึงทำให้ตอนนี้มีพิธีการของการส่งคนที่จะเดินทาง

มือทั้งสองของซิงหยุนประสานกันค่อย ๆก้มโค้งคำนับให้โก่วซินเจีย พูดนำเสียงเบา ๆว่า

“โชคดี พี่หยวนหยาง อาตมาจะเฝ้าให้วันนั้นมาถึง”

เพื่อนเก่าที่รู้จักกันมาหกสิบปีต้องแยกจากกัน ภายในใจพระอาจารย์ใหญ่ก็เกิดอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา เพียงแต่ท่านรู้ว่าคำทำนายของโก่วซินเจียนั้นถูกต้อง เมื่อตกลงกันไว้ว่าสองปี นั้นหมายความว่าจะได้เจอกันอีกอย่างแน่นอน”

มองลึกเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาบนภูเขาแห้งแล้ง โก่วซินเจียโบกสะบัดเสื้อคลุม หันหลังเดินออกไปจากประตูวัด พร้อมกับร้องออกมาว่า “เมฆขาวอยู่บนท้องฟ้า ภูเขาเล็ก ๆที่ทอดยาวถึงกัน แม้ระยะทางจะห่างกันไกล หากภูเขาสายน้ำและเมล็ดพันธุ์พืชยังคงอยู่ จะได้กลับมาอีกครั้ง”

เมื่อได้ยินบทเพลงเมฆขาวและเห็นท่าทางที่สบาย ๆของนักบวชเต๋า เยี่ยเทียนก็เกิดอาการตกตะลึง เหมือนกับว่าได้เห็นภาพอาจารย์ที่เสียชีวิตไปแล้ว ช่างเหมือนเหลือเกิน

ส่ายหัวแล้วครุ่นคิด เยี่ยเทียนประสานมือคารวะปรมาจารย์ซิงหยุน หันหลังนำหน้าไปก่อน ส่งศิษย์พี่ขึ้นรถตู้ที่อาติงเป็นคนขับ

รอให้รถตู้ที่เยี่ยเทียนนั่งออกไปแล้ว ก็มีรถคันเล็กที่อยู่ห่างไปไกลสิบเมตร จากประตูวัดคันหนึ่งคอยตามไปอยู่อย่างเงียบ ๆ

 เป็นซ่งเหวยหลันที่ว่าจ้างให้มาราไกย์คอยคุ้มกันปกป้องเยี่ยเทียน

“อากาศเปลี่ยนแปลงไปมากเลยนะ”

มองเห็นสภาพอากาศนอกหน้าต่าง สภาพจิตใจของโก่วซินเจียเหมือนกับคลื่น ไม่กี่ปีมานี้เขายังไม่เคยลงมาจากภูเขาฝ่อกงซานเลยแม้แต่ก้าวเดียว นอกจากจะได้ยินซิงหยุนพูดถึงเรื่องราวของโลกภายนอกเท่านั้น แต่กับโลกปัจจุบันนี้ไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น

หลังจากที่รถมาถึงโรงแรมแล้ว สถาพจิตใจของโก่วซินเจียก็คืนสู่สภาพเดิม แต่ก่อนเขาเพลิดเพลินกับการมีชื่อเสียงเงินทอง ในวัยกลางคนก็มีการเปลี่ยนแปลง กลับยากจนอีกสิบกว่าปี แค่มองจากภายนอกก็ทะลุปรุโปร่งแล้ว

“อาจารย์หยวนหยาง ไม่รู้ว่าท่านต้องการอาหารและเครื่องดื่มอะไรเป็นพิเศษไหม”

มาถึงโรงแรมก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี ตอนที่อยู่ในรถถังเหวินหยวนได้รู้ถึงฐานะของโก่วซินเจียแล้ว เมื่อจะจัดเตรียมงานเลี้ยง จึงสอบถามความคิดเห็นของโก่วซินเจีย

โก่วซินเจียโบกมือไปมา หัวเราะแล้วพูดว่า “การใช้ชีวิตของคนในชนบท กินอะไรก็เหมือนกันอยู่ดี ขอแบบสดใหม่หน่อยก็พอ”

“ตกลง ถ้าอย่างนั้นผมจะเตรียมเรียกคนแล้วนะ” ถังเหวินหย่วนพยักหน้าเรียกเจ้าหน้าที่ ให้เขาสั่งเหล้าและอาหารในงานเลี้ยงนี้ ถามด้วยตัวเองว่าเหล้าและอาหารในงานเลี้ยง ในโลกหากเทียบลำดับอาวุโสแล้ว น่ากลังจะมีอยู่แค่สามคนที่มีอาวุโสมากว่าเขา

หลังจากกินมื้อกลางวันที่ไม่ได้มากมายและหรูหรา แต่เป็นมื้อกลางวันที่อร่อยมาก ถังเหวินหย่วนเดินไปกับเยี่ยเทียนมาถึงห้องชุดใหญ่ของโรงแรม พวกเขาพักอยู่ที่นี่อีกชั่วโมงกว่า ก็จะเดินทางตรงไปที่สนามบินเพื่อที่จะกลับฮ่องกงได้แล้ว

“เยี่ยเทียน จางจือซวน ตอนนี้ถูกหวาเซิงคุมตัวไว้ที่ฮ่องกง เธอเตรียมจะจัดการเขาอย่างไร”

ถังเหวินหย่วนโกรธมากที่เกิดเรื่องครั้งนี้กับเยี่ยเทียน  เขาใช้อิทธิพลและความสัมพันธ์ที่มีมามากว่าสิบปีจัดการเรื่องนี้ เมื่อวานเขาก็ได้รับสายจากหวาเซิง เลยรู้ว่าตอนนี้จางจือซวนอยู่ที่ฮ่องกงแล้ว

เยี่ยเทียนส่ายศีรษะ พูดว่า “ฉันกับเขาไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน ตอนนั้นลงโทษเขานิดหน่อยเท่านั้น แต่ว่าจิตใจของเขาเต็มไปด้วยเจตานาร้ายที่อยากฆ่าฉัน ให้หวาเซิงทำตามกฎเกณฑ์ของยุทธภพไปก็แล้วกัน จะได้จบปัญหา”

ออกมาจากประเทศจีนในครั้งนี้ เยี่ยเทียนได้พบกับความโหดร้ายและทารุณมาก แม้ว่าร่างกายจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่ก็ไม่มีผลกระทบอะไร ภายในใจของเยี่ยเทียนกลับมีความรู้สึกเหนื่อยล้า

“ตกลง จางจือซวนแต่ก่อนก็คือคนในแก๊ง ก็ทำตามกฎใหม่ของพวกเขาในการลงโทษ ฉันจะกลับไปบอกหวาเซิง”

ถังเหวินหย่วนพยักหน้า เขาก็ไม่อยากเห็นเยี่ยเทียนลงมือ เพราะว่าพวกศพที่ไม่มีหัวหรือว่าการผ่าหน้าอกและผ่าท้อง ทำให้รับไม่ได้จริง ๆ

“ใช่แล้ว เหล่าถัง ศิษย์พี่ของฉันเมื่อหลายปีก่อนออกจากบ้าน และไม่ได้ออกมาดูโลก ถ้าถึงฮ่องกงแล้วช่วยจัดการพวกบัตรประชาชนให้เขาหน่อย อ้อ จะดีมากถ้าเกิดสามารถเปลี่ยนศาสนาให้เป็นฐานะนักบวชเต๋า”

ไม่รู้ว่าอาจารย์หยวนหยางชื่อจริงๆของเขาคืออะไร ถังเหวินหย่วนตอบกลับไป” ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ เพียงแค่ยกมือก็เสร็จแล้ว”

เยี่ยเทียนได้ยินเขาพูดจึงมองไปที่โก่วซินเจียที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ตรงโซฟา ถามว่า  “ศิษย์พี่ พี่คิดว่าเรียกชื่ออะไรดี”

ตอนนี้คนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับคดีทองน่าจะใกล้ตายหมดแล้ว แต่ยังไงเมื่อหลายปีก่อนโก่วซินเจียก็น่าจะเป็นคนที่ต้องตายไปแล้วเช่นกัน จึงไม่เหมาะที่จะปรากฎออกมาในโลกปัจจุบัน

อย่าประเมินความคิดของหยวนหยางต่ำไป แต่ก็ไม่เคยเห็นคนถามชื่อแซ่คนอื่นแบบนี้ หลังจากได้ยินเยี่ยเทียน                ถังเหวินหย่วนก็คิดขึ้นในใจ

“แซ่หลี่ ชื่อเจียซิน รบกวนน้องถังแล้ว”

โก่วซินเจียคิดชื่อขึ้นมาเอง ไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอทีวี ที่กำลังฉายการ์ตูน เรื่องทอมแอนเจอร์รี่

เยี่ยเทียนหัวเราะออกมา พูดว่า “ศิษย์พี่ของฉันมีจิตใจที่เป็นเด็ก เหล่าถัง เรื่องนี้คงต้องไหว้วานคุณแล้ว”

“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อย”

ถังเหวินหย่วนโบกมือไปมา วานให้อาติงหยิบไปกล้องถ่ายรูปมา ถ่ายรูปโก่วซินเจียสองใบ หลังจากนั้นก็มอบหมายสั่งงานกับอาติง ให้เขาติดต่อกับคนในฮ่องกง

อาติงที่เพิ่งเดินออกไป กงเสียวเสี่ยวก็เดินเข้ามาจากด้านนอก มาถึงข้าง ๆโซฟา ใบหน้าที่รู้สึกเสียใจมองไปที่เยี่ยเทียน พูดว่า “ปรมาจารย์เยี่ย จริง ๆแล้วเสี่ยวเสี่ยวต้องกลับไปฮ่องกงกับท่าน แต่ว่าต้องอยู่ไต้หวันเพื่อจัดการเรื่องของกฎหมายก่อน ต้องใช้เวลาถึงเจ็ดวันจึงจะสามารถเคลื่อนย้ายอาอี้ได้ ความจริงแล้วก็คืออยากขอโทษ”

ก่อนหน้าที่พบเยี่ยเทียน กงเสียวเสี่ยวได้ว่าจ้างทีมอาจารย์ประกอบพิธีไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ประกอบพิธีกรรมใด ๆ เลย ทำตอนนี้พบเยี่ยเทียนแล้ว เรื่องพาสามีของเธอกลับจึงไม่สามารถยืดเวลาออกไปได้อีกแล้ว

“ไม่เป็นไร คุณนายกง ผมเสียใจด้วย”

เยี่ยเทียนมีความเคารพและนับถือน้ำใจของผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างมาก ตั้งแต่ที่สามีเสียชีวิต เธอผู้หญิงตัวเล็กที่ไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ คาดไม่ถึงว่าจะนำพาธุรกิจให้เจริญรุ่งเรืองขนาดนี้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถทำได้

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน กงเสียวเสี่ยวก็ยื่นมือไปหยิบซองเอกสารส่งให้เยี่ยเทียน พูดว่า “ปรมาจารย์เยี่ย นี้คือน้ำใจเล็ก ๆของเสี่ยวเสี่ยว รบกวนท่านช่วยเซ็นชื่อให้หน่อย”

“นี่คืออะไร?” เยี่ยเทียนเกิดอาการงงอยู่ครู่หนึ่ง เปิดซองเอกสารแล้วมองดูอยู่พักหนึ่ง เนื้อหาของเอกสารทั้งหมดล้วนแล้วเป็นภาษาอังกฤษ มีความหนาประมาณสี่ห้าสิบหน้า

กงเสียวเสี่ยวหยิบกระดาษที่อยู่บนสุดออกมาหนึ่งแผ่น พูดว่า “ปรมาจารย์เยี่ย เมื่อปีที่แล้วฉันซื้อบ้านหลังหนึ่งอยู่ที่อ่าวรีพัล ไม่เคยได้ย้ายไปอยู่เลย คิดได้ว่าท่านอยู่ฮ่องกงยังไม่มีที่พักอาศัย เพราะฉะนั้นบ้านหลังนี้เลยอยากโอนให้เป็นชื่อของท่าน

“นี่..นี่่คือเอกสารเกี่ยวกับโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินและบ้านเรือน” เยี่ยเทียนก็เริ่มเข้าใจแล้ว ซากกระดูกของฝูอี้ก็ถูกพบแล้ว ตอนนี้กงเสียวเสี่ยวกำลังให้ค่าตอบแทนกับตัวเอง

ตอนแรกเยี่ยเทียนคิดว่ากงเสียวเสี่ยวจะออกเป็นเช็คเงินสดให้ ไม่คิดเลยว่ากงเสียวเสี่ยวจะให้ค่าตอบแทนเป็นบ้าน

เพราะว่าการตามหาซากกระดูกของฝูอี้ เยี่ยเทียนก็ออกแรงไปไม่น้อยเลย แต่ก็คุ้มค่ากับการที่ตัวเองจะได้บ้านหลังนี้ ทันทีก็ไม่เกรงใจ รับเอกสารนั้นมา แล้วถามกลับไปว่า

“คุณนายกง บ้านหลังนี้มีพื้นที่กี่ตารางเมตร”

“พื้นที่ชั้นเดียวคือ 620 ตารางเมตร ทั้งหมดมีสามชั้น ถ้ารวมกับสวนดอกไม้และบ่อน้ำน่าจะประมาณ 3,000 กว่าตารางเมตร น่าจะเพียงพอสำหรับปรมาจารย์ในการใช้ชีวิตอยู่”

กงเสียวเสี่ยวที่กำลังอธิบายไปด้วย และดึงกระดาษออกมาด้วยหนึ่งแผ่น

“นี้คือแผนภาพภายในตัวบ้าน ปรมาจารย์เยี่ยท่านลองดู ถ้าเกิดว่าไม่พอใจแล้วก็ เสียวเสี่ยวยังมีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่บนภูเขา”

“สาม..สามพันกว่าตารางเมตร”

เยี่ยเทียนกำลังตกใจกับตัวเลขพวกนั้น เขาอยู่ที่ฮ่องกงไม่กี่วัน มีความเข้าใจทุกพื้นที่และราคาที่ดินในฮ่องกง แต่กับพื้นที่ 3,000 กว่าตารางเมตร ต้องใช้เงินเท่าไหร่กัน

เมื่อได้ยินว่ากงเสียวเสี่ยวจะโอนบ้านให้เยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนก็แทรกขึ้นมาว่า “บ้านของเสี่ยวเสี่ยวฉันไปมาแล้ว ถือว่าไม่เลวเลย ดีกว่าบ้านของฉันหน่อย เวลานั้นที่กงเสียวเสี่ยวซื้อราคาตลาดอยู่ที่ 120 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง”

เมื่อเยี่ยเทียนได้ยินจำนวนตัวเลข เยี่ยเทียนก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลย ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่เคยเห็นคนมีเงิน แต่ว่ามีมหาเศรษฐีมามอบบ้านราคาหลายล้านให้ นี่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเคยเจอ

ต้องรู้ว่า เถ้าแก่เหวินชอบซื้อบ้านพักตาอากาศเพื่อจีบพวกดาราสาวดาวรุ่ง ราคาในตลาดก็อยู่เพียงแค่ประมาณยี่สิบหรือสามสิบล้าน

“เกิดอะไรขึ้น ปรมาจารย์เยี่ยท่านไม่ชอบหรือคะ”

เยี่ยเทียนนิ่งเงียบไปนาน กงเสียวเสี่ยวขมวดคิ้ว พูดว่า “ฉันกับสามีเราเคยมีบ้านอยู่บนภูเขาก็จะใหญ่กว่านี้หน่อย เพียงแต่ว่าสิทธิ์ในการครอบครองทรัพย์สินค่อนข้างเป็นปัญหา การโอนกรรมสิทธิ์ก็ไม่ค่อยง่าย”

“ไม่ ไม่ใช่ คุณหญิงกง คุณเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าบ้านเล็กเกินไป แต่ว่ามันใหญ่เกินไป รู้สึกละอายใจ”

เยี่ยเที่ยนโบกมือขึ้นมา ตอนแรกเขาคิดว่าจะเรียกเก็บได้ 20-30 ล้านสำหรับธุรกิจนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้ที่มีหน้าเหมือนตุ๊กตา จะใจกว้างขนาดนี้

กงเสียวเสี่ยวพยักหน้า แล้วพูดอย่างตั้งใจว่า “ปรมาจารย์เยี่ย ถึงแม้ว่าจะนำบ้านทั้งหมดมาแลกเปลี่ยนกับการ ตามหาสามีที่หายไป เสียวเสี่ยวก็ยินดีหมด ดังนั้นบ้านหลังนี้อย่างไรท่านก็ต้องรับไว้้’’

ถังเหวินหย่วนที่อยู่ข้าง ๆคอยช่วย “เยี่ยเทียน ตอนนี้เสียวเสี่ยวกำลังทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เธอตั้งใจให้ คุณก็รับไว้เถอะ’’

หลังจากที่กงเสียวเสี่ยวดูแลธุรกิจต่อจากสามี การปรับกลยุทธ์ของบริษัทของเธอส่วนใหญ่เข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตอนนี้จึงกลายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของฮ่องกง

บ้านของกงเสียวเสี่ยวมีมูลค่าสูงถึงสามพันล้านดอลลาร์ฮ่องกง ดังนั้นถ้าโอนบ้านหลังนี้ออกไป ในความคิดของ       ถังเหวินหย่วนก็เท่ากับว่าเธอไม่ได้เสียอะไรมากมาย

“ถ้าอย่างนั้นตกลง ฉันก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ”

หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็รีบรับเอกสารนั้นมา ในใจคิดกับตัวเองว่าเพื่อนในฮ่องกงมีความใจกว้างกว่าในไต้หวัน ในปีนั้นที่ช่วยเหลียวเฮ่าเต๋อหาหลุมศพของแม่ ได้รับค่าตอบแทนแค่สองหมื่น

เยี่ยเทียนยอมรับข้อเสนอ กงเสียวเสี่ยวก็หยิบเอกสารอีกฉบับหนึ่งออกมา พูดว่า “ปรมาจารย์เยี่ย ในนี้ยังมีเอกสารสิทธิของผู้ถือหุ้นอีกหนึ่งชุด ฉันต้องการที่จะให้ท่านหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของหุ้นในกลุ่ม”

“อะไรนะ เสียวเสี่ยว เธอต้องการที่จะโอนหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของหุ้นในกลุ่มหวาเม่าให้เยี่ยเทียนเหรอ”

ถังเหวินหย่วนที่คอยอยู่ข้าง ๆเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ของกงเสียวเสี่ยว ทนไม่ได้ลุกขึ้นมา มีสีหน้าแปลกใจบนใบหน้าของเขา

 ……….

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset